27 มิ.ย. 2021 เวลา 13:00 • การศึกษา
❗️แชร์วิธีการฝึกภาษาทั้ง 4 ด้านของผม 🇬🇧🇺🇸
สวัสดีครับทุกคน วันนี้เป็นวันอาทิตย์กันแล้ว
จะว่าไปสุดสัปดาห์นี่ก็หมดไปไวเหมือนกันนะครับ วันเวลาไม่เคยหยุดเพื่อรอใครจริงๆอย่างที่ทุกคนรู้กันอยู่แล้ว
และเช่นเดียวกัน วันนี้อีกแค่ 3 วันก็หมดครึ่งปี 2021 แล้ว!
ก่อนที่จะเข้าเนื้อหา ก่อนอื่นผมต้องขออธิบายภาพกว้างของภาษาอังกฤษว่าประกอบไปด้วยกันอยู่ 4 ด้านก็คือ
1. การฟัง
2. การพูด
3. การอ่าน
4. การเขียน
3
ซึ่งเอาเข้าจริงแล้วไม่มีพาร์ทไหนสำคัญที่สุด เพราะทุกพาร์ทถือว่าสำคัญพอกันอยู่ที่ว่าเราจะได้ใช้พาร์ทนั้นในสถานการณ์ไหนแค่นั้นเอง
ถ้าเกิดคุณเป็นนักธุรกิจที่ต้องติดต่อซื้อชายกับชาวต่างชาติด้วยการพูดและการฟังเป็นหลักล่ะก็ พาร์ทที่สำคัญที่สุดก็คงเป็นการฟังและการพูด 2 หัวข้อ
แต่ถ้าคุณเป็นนักธุรกิจที่ต้องมีการเขียนอีเมลล์เป็นหลักเพื่อติดต่อสื่อสาร ดีลงานใหญ่ การเขียนและการอ่านอีเมลล์ที่สำคัญ ก็จะกลายเป็นเรื่องสำคัญที่สุดในการฝึกภาษาอังกฤษใน 2 พาร์ทนี้
1. การฟัง
ผมจะขอพูดก่อนทุกบทความว่าการที่เราจะฝึกทักษะอะไรสักอย่างนั้นแน่นอนว่ามันจะต้องใช้ "เวลา" เป็นอย่างมาก เนื่องด้วยเราอยู่ในโลกของความเป็นจริงที่เราจะต้องใช้เวลาในการฝึกอะไรอย่างหนึ่งเป็นอย่างมสก ฉะนั้น เราต้องทำความเข้าใจในเรื่องของเวลา ไม่มีสิ่งไหนที่จะเกิดขึ้นมาได้อย่างปรึ่บปรับ เพราะนี่คือโลกของความเป็นจริงครับ
1
"การฟัง"
ผมเริ่มจากการที่เปลี่ยนสภาวะแวดล้อมจากปกติที่ในชีวิตประจำวันจะใช้ภาษาไทยเป็นหลัก ทั้งการฟังด้วยสภาวะแวดล้อมบางส่วนที่ควบคุมไม่ได้ แต่ก็จะมีอีกสภาวะแวดล้อมหนึ่งที่สามารถควบคุมได้เหมือนกันก็คือสภาวะแวดล้อมของตัวเอง
การดำเนินชีวิตในแต่ละวันของผมจึงเริ่มเปลี่ยนตั้งแต่ตอนตื่นนอน หรืออาจจะเป็นอุปกรณ์ที่ไกล้ตัวเรามากที่สุดนั่นก็คือ "โทรศัพท์" ผมเริ่มที่จะเปลี่ยนเป็นภาษาอังกฤษก่อนเลย ซึ่งช่วงแรกมีปัญหาแน่นอนเพราะเวลาจะใช้อะไรที่เฉพาะทางจะต้องใช้การจำตำแหน่งเอาว่ามันอยู่ตรงไหนกันนะไอ้ปุ่มเนี่ย 55555555
กลับไปที่เริ่มต้นวันด้วยการที่ตื่นมาตอนเช้า ผมจะเลือกเปิดข่าวจากช่อง cnn หรือ bbc เพื่อฟัง ผมเน้นว่าผมเน้นฟังเพื่อให้คุ้นเคยกับสำเนียง คุ้นเคยกับจังหวะ การขึ้นลงของเสียงที่นักข่าวได้อธิบายมา ฉะนั้นการฟังของผมจึงมุ่งเน้นไปเพื่อการฟังเพื่อเลียนแบบเท่านั้น ไม่ใช่ฟังเพื่อเข้าใจ
ระหว่างเดินทางไปทำงานผมเลือกที่จะฟังเรื่องราวต่างๆอาจจะเริ่มเป็นเนื้อหาที่ง่ายมากขึ้น เพราะเปลี่ยนเป็นการฟังแบบเข้าใจมากขึ้น อาจจะเป็นนิทานสนุกๆที่มีการเล่าเรื่องจากอาจาร์ยสอนภาษานั้นๆ ซึ่ง ณ ตอนนี้ก็คือภาษาอังกฤษ ที่ผมต้องการจะฝึก เรื่องโปรดของผมก็คือ "ลูกหมูสามตัว" นั่นเอง 555555
ในช่วงตอนทำงานด้วยความที่ทำงานในบริษัทต่างชาติ การติดต่อสื่อสารขององค์กรเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด ฉะนั้นผมเลยไม่ได้ฝึกฝนในช่วงนี้เป็นพิเศษ การเลือกใช้ศัพท์ภาษอังกฤษบางคำแทนที่ภาษาไทยบางคำอาจจะตีความได้ค่อนข้างดีกว่า และถือว่าเป็นการฝึกฝนไปในตัวด้วย
หลังจากเลิกงานแล้วก็อาจจะทำเหมือนกับตอนเช้าในสถานการณ์เดียวกันครับ จนถึงเวลาที่จะต้องไปยิม ไปฟิตเนส เพลงที่ใช้ฟังแน่นอนก็เป็นภาษาอังกฤษ เพราะนั่นคือสภาวะแวดล้อมเดียวที่เราสามารถควบคุมได้มากที่สุด นี่อาจจะเป็นข้อดีของการที่เราอยู่คนเดียวด้วยครับ เพราะทุกสถานการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดในชีวิตเราสามารถควบคุมได้เองเกือบทั้งหมด โดยเฉพาะการฝึกฝนทักษะหนึ่งๆในชีวิต
กลับจากฟิตเนสตอนเย็นก็แน่นอนครับ เหมือนเดิม รายการในยูทูปช่องต่างๆที่เราได้กดติดตามเอาไว้ก็เริ่มที่จะเปลี่ยนเป็นคนที่เค้าใช้ภาษาอังกฤษในการติดต่อสื่อสาร การแสดงออกทางสีหน้าต่างๆการเสพสื่อต่างๆเหล่านี้ผ่านการฟังก็จะช่วยเราได้เยอะครับ
สำหรับการฟังเป็นพาร์ทที่ค่อนข้างจะทรมานมากที่สุดพอๆกับการเขียนเลยนะครับสำหรับตัวผมเอง
ผมคิดว่าการฟังที่ดีนั้น อาจจะต้องฟังแบบฝืนๆไปบ้างในช่วงแรกๆครับ มันจะวัดกันก็ช่วงอาทิตย์ที่ 1-3 นี่แหละครับว่าใครจะอยู่หรือจะไป หลังจากอาทิตย์ที่ 3 ไปก็จะเริ่มสบายแล้วล่ะครับ(ฟังไม่รู้เรื่องเลยหลังจากนั้น ฮ่าๆ)
2. การพูด
ปกติแล้วตามธรรมชาติของมนุษย์เองนั้น ตั้งแต่เกิดมาประสาทการรับรู้ที่เราไม่สามารถจะควบคุมได้ก็คือหูของเราใช่ไหมครับ ซึ่งผมได้เขียนไปด้านบนแล้วว่าเจ้าหูสองข้างใบเล็กแนบหัวเรานี่แหละครับ เป็นตัวที่ดีเลยในการฝึกการฟังของภาษา
และก็ตามธรรมชาติของมนุษย์เช่นเดียวกัน หลังจากที่เราพอฟังมากขึ้น การที่จะเกิดสภาวะที่เราเรียกว่า "การลอกเลียนแบบ" นั้นจึงได้ก่อเกิดเริ่มขึ้นนับจากนี้
การพูด
การพูดนั้น จะเกิดมาจากการที่เราฟังคำๆหนึ่งแล้วเรารู้สึกว่าเห้ย เราถูกใจคำนี้ คำนี้นี่แหละเวลาที่เราพูดแล้ว มันรู้สึกดีหรือเท่มากเลยกับคำๆนี้ ฉะนั้นจึงเกิดเป็นการเลียนแบบการที่เราจะพูดให้เหมือนกับตัวอย่างมากที่สุดครับ ไม่ว่าตัวอย่างนั้นจะมาจากในทีวี คนจริงๆหรือการ์ตูนที่เราดูตอนเด็กๆก็ตาม
การฝึกพูดของผมจะฝึกมาจากหนังหรือซีรีย์ที่ผมดูอยู่ในช่วงนั้นครับ โดยคำหรือประโยคไหนที่เราคิดว่าทำไมเขาพูดได้ไหลลื่นขนาดนั้น ผมจะพูดย้ำไปย้ำไปมาทวนแล้วทวนอีกหลายรอบมาก เพื่อให้สมองของผม ได้จำกับการประกบกันของริมฝีปาก(ซึ่งนั้นเป็นศาสตร์ที่เริ่มจะลึกซึ้งละในร่างกายของมนุษย์) เอาเป็นว่ามันเกี่ยวข้องกับกลไกของร่างกายทั้งหมดครับ
พอเราเริ่มที่จะเลียนแบบประโยคหรือคำพูดจากตัวอย่างแล้ว แน่นอนเลยมันจะค่อนข้างลำบากในช่วงแรกคือ เราไม่สามารถที่จะนึกคำพูดจากภาษาไทยให้เป็นภาษาอังกฤษได้ทันที ทำให้เกิดการตะกุกตะกัก การสะดุดบ้างในบางครั้งของการพูด เพราะว่าเรามีช่วงหน่วงตรงนี้นี่แหละครับ สมองเราไม่สามารถประมวลคำในสมองได้ทัน เราเข้าใจเป็นภาษาไทยแล้วเราก็ต้องเอาไปแปลงเป็นภาษาอังกฤษอีกทีเพื่อที่จะสื่อออกมาเป็นคำพูด
เห็นอะไรในประโยคด้านบนที่ผมได้บอกไปไหมครับ ?
"มันมี 2 ขั้นตอนอยู่ข้างใน"
สมองของมนุษย์เราเนี่ยครับ มันค่อนข้างที่จะขี้เกียจมาก ฉะนั้นการที่เราป้อนขั้นตอนให้มีสองขั้นตอนนั้นให้กับสมองของเราจะถือว่าค่อนข้างที่จะใช้เวลาละ สมองเริ่มที่จะประมวลไม่ทัน เกิดอาการที่กระตุกๆก่อนจะพูดหรือระหว่างพูดประโยคต่อประโยคครับ
วิธีแก้ที่ง่ายที่สุดเลยก็คือ เราจะต้องป้อนข้อมูลชุดภาษาอังกฤษให้กับสมองของเราเป็นแบบแค่ขั้นตอนเดียวไปเลย คือพูดง่ายๆ อย่าพยายามที่จะแปลจากภาษาไทยไปเป็นภาษาอังกฤษ ให้แปลจากอังกฤษเป็นอังกฤษไปเลย
อย่าพยายามสร้างขั้นตอนให้กับสมองมากจนเกินไปครับ เพราะสมองของเราเนี่ยมันเป็นสิ่งมีชีวิตที่โครตจะขี้เกียจเลย
3. การอ่าน
โดยปกติแล้วในชีวิตประจำวันของเรานั้นค่อนข้างที่จะเจอกับภาษาอังกฤษค่อนข้างจะมากเลย ไม่ว่าอย่างที่ผมบอกก็คือโทรศัพท์ของเรานี่แหละ ถาดข้อความเข้าของอีเมลล์เอยอะไรเอย ภาษาอังกฤษล้วนๆทั้งนั้น ไม่สามารถที่จะกระโดดหลบได้
เพราะฉะนั้นแล้วสำหรับพาร์ทอ่านของผมนั้นค่อนข้างที่จะเป็นงานที่เรียกได้ว่า "หินผา" ครับ
เพราะผมเกลียดการอ่านมาก แต่ไม่สามารถที่จะหลบเลี่ยงมันได้ จะต้องพุ่งเข้าไปชนกับหินผาก้อนนี้อย่างหลบเลี่ยงไม่ได้แบบจริงจัง
การฝึกภาษาอังกฤษของผมในช่วงพาร์ทการอ่านนั้นจึงเริ่มมาจากการที่ผมจะต้องอ่านหนังสือหรือข้อความทีาผมสนใจในเรื่องนั้นเป็นพิเศษ สมมติว่าช่วงนี้ผมต้องการหางานวิจัยเพื่อเอามาเป็นความรู้ในการทำงานเกี่ยวกับการเงินการลงทุน บทความที่ผมจะเลือกมาอ่านช่วงนั้นก็จะเป็นภาษาอังกฤษล้วนๆเลยครับ ซึ่งถ้าบอกว่าตัวการอ่านเป็นงานหิน แต่งานหินตัวนี้ผมแก้ได้ด้วยการเอาเรื่องที่ผมชอบมาลบล้างครับ ฉะนั้นผมจึงค่อนข้างที่จะอ่านมันได้อย่างสนุก
แต่ข้อควรระวังสำหรับวิธีที่ผมทำก็คืออย่างที่บอกครับ ว่ามันเอาเรื่องที่เราชอบในช่วงเวลานั้นมางัดกับงานที่หิน ในตอนสุดท้ายเราอาจจะไม่ชอบสิ่งที่เราอ่านเลยก็ได้นะครับ แล้วก็อาจจะทำให้เราท้อกับการที่เราต้องอ่านมันอีกทั้งๆที่มันเป็นภาษอังกฤษ ฉะนั้นต้องค่อยๆเป็น ค่อยๆไปนะครับ อย่าพึ่งรีบใจเย็นๆกันก่อน
4. การเขียน
สุดยอดพาร์ทที่ผมจะไม่ชอบแล้วใช้เวลาในการฝึกฝนนานที่สุดในการฝึกภาษาอังกฤษ
แน่นอนล่ะครับว่าการเขียนบมความหรือแม้กระทั่งแกรมม่าเอยอะไรเอยค่อนข้างที่จะเป็นงานหินสำหรับผมมากเพราะด้วยความที่เรานั้นรู้สึกที่จะมีอคติกับการเรียนภาษอังกฤษมาตั้งแต่ยังเด็ก พาร์ทที่เลี่ยงง่ายที่สุดก็คือพาร์ทนี้นี่แหละครับ การเขียน วิชาที่คุณครูสอนแล้วถึงกับโดนตีมือเป็นประจำเลย เพราะไม่ชอบน่ะนะ มันไม่ได้เขียนง่ายเหมือนกับภาษาไทยที่ผมกำลังเขียนอยู่แบบตอนนี้นี่ครับ มันคนละเรื่องกันเลย
วิธีการฝึกเขียนของผมคือเริ่มมาจากการที่ผมจะต้องเขียนอีเมลล์ตอบกลับกับชาวต่างชาติอย่างเป็นประจำ แม้กระทั่งคนไทยด้วยกันบางครั้งยังต้องเขียนเป็นภาษาอังกฤษเลย นั่นหมายความว่าการเขียนของผมจะถูกฝึกด้วยการที่มันจะต้อง "ผิดก่อน" ทำใจยอมรับว่าเราจะได้รับการติในบางครั้งหรือหลายๆครั้ง เพราะนั่นมันคือสิ่งที่เรากำลังฝึกฝน
การเขียนอีมเลล์นั้นค่อนข้างจะเป็นการฝึกที่มีประสิทธิภาพมากเพราะว่า มันช่วยให้เราได้รู้จักการเรียบเรียงสิ่งต่างๆที่อยู่ในหัวหลและสิ่งที่ต้องการจะสื่อสารไปให้กับบุคคล กลุ่มบุคคลได้รับรู้
ฉะนั้นแล้วการฝึกเขียนอีเมลล์เป็นภาษาอังกฤษจะทำให้เราได้เรียนรู้ในพาร์ทนี้สูงมากครับ
***ถึงแม้ว่าในปัจจุบันจะมีแอพต่างๆที่ช่วยในการพิมพ์ของเราให้ถูกต้องมากขึ้น แต่การที่เราสามารถเขียนได้ด้วยตัวเอง ผมว่าก็น่าจะเป็นอะไรที่ดีกว่ามากในส่วนของการฝึกในการเขียน เพราะยิ่งถ้าเราใช้โปรแกรมมากเท่าไหร่ เราก็จะฝึกฝนน้อยลงเท่านั้น จะดีกว่ามากครับ ถ้าเกิดเราสามารถรู้ได้ด้วยตัวเองว่า ที่โปรแกรมหรือแอพนี้มันช่วยให้เราเขียนถูกได้แบบนี้มันเป็นเพราะอะไรกันนะ
ทั้ง4 วิธีที่ผมพูดถึงมาทั้งหมดก็ถือว่าน่าจะช่วยให้เพื่อนๆที่กำลังอยากจะตั้งเป้าหมายในครึ่งปีหลัง 2021 นี้ ถ้าเกิดว่ามีเรื่องภาษอังกฤษเข้ามาล่ะก็ ผมคงคิดว่าบทความนี้น่าจะช่วยได้เยอะเลยในการพัฒนาทักษะตรงนี้ ฉะนั้นแล้วก็ฝากบทความนี้ไว้ในอ้อมอกอ้อมใจของเส้นทางการฝึกฝนครั้งนี้ด้วยนะครับ
ผมหวังว่าวันนึงคุณผู้อ่านจะสามารถใช้ภาษาอังกฤษได้อย่างคล่องแคล่วโดยมีบทความของผมเป็นส่วนเล็กในการพัฒนาครั้งนี้ด้วย
ถ้าคิดว่าบทความนี้มีประโยชน์ก็กดไลค์ กดแชร์ กดติดตามเพจเอาไว้(เป้ะเลย ประโยคเดียวกับยูทูป55555555)เพื่อที่จะได้ไม่ต้องพลาดบทความใหม่ๆที่ผมจะเขียนเอาไว้ตลอดให้เพื่อนๆได้อ่านกันเพื่อพัฒนาทักษะในชีวิตของตัวเองนะครับ
ไว้เจอกันบทความต่อไปนะครับ
รักษาสุขภาพกันด้วย
โฆษณา