29 มิ.ย. 2021 เวลา 03:30 • หนังสือ
#25 เล่ม 3 บทที่ 4 หน้า 118 ~ 122
...
N : แต่บนโลก เราไม่มีทางได้ทุกอย่างที่เราปรารถนา เช่นอยู่สองที่ได้ในเวลาเดียวกันเป็นต้น แล้วมันก็มีอะไรอีกหลายอย่างที่เราปรารถนาแต่ไม่มีทางได้มา เพราะบนโลกเราทุกคนมีข้อจำกัดอยู่มาก
...
...
...
G : ฉันรู้ว่าเธอเข้าใจแบบนั้น และมันก็จะเป็นความจริงของชีวิตเธอ เพราะมีเรื่องหนึ่งที่เป็นจริงตลอดกาลก็คือ : ✴️เธอจะได้รับประสบการณ์ที่เธอเชื่อว่าตัวเองจะได้รับเสมอ✴️
📌 ฉะนั้น ถ้าเธอบอกว่าตัวเองไม่สามารถอยู่สองที่ได้ในเวลาเดียวกัน เธอก็จะทำไม่ได้ — แต่ถ้าเธอบอกว่าเธอสามารถไปปรากฏอยู่ที่ไหนก็ได้ตามใจปรารถนาด้วยความเร็วเท่าความคิด และแม้กระทั่งสามารถทำให้ตัวเองปรากฏตัวได้มากกว่าหนึ่งที่ในเวลาใดก็ได้ เธอก็จะทำอย่างนั้นได้
N : ถึงตรงนี้พระองค์เข้าใจหรือยังว่าบทสนทนานี้มันทำให้ผมรู้สึกยังไง ผมก็อยากจะเชื่อเหลือเกินว่าข้อมูลนี้ส่งตรงมาจากพระเจ้า แต่พอพระองค์พูดอะไรแบบนี้ออกมา มันทำให้ผมอยากจะคลั่งตาย เพราะยังไงผมก็ไม่เชื่อ ผมหมายความว่าผมไม่เชื่อว่าเรื่องที่พระองค์พูดมานั้นเป็นเรื่องจริง เพราะไม่มีประสบการณ์ของมนุษย์คนไหนสามารถยืนยันในสิ่งที่พระองค์พูดได้
G : ตรงกันข้ามเลย เหล่านักบุญและเหล่าผู้บรรลุธรรมทั้งหลายของทุกศาสนาได้รับการกล่าวขานว่าสามารถทำทั้งสองอย่างนั้นได้
ซึ่งมันต้องอาศัยความเชื่อในระดับสูงมากไหม❓
ความเชื่อในระดับที่ไม่ธรรมดาน่ะ❓
ความเชื่อในระดับที่พันปีจะมีสักคน❓
"ใช่แน่นอน" แล้วหมายความว่ามันเป็นไปไม่ได้ใช่ไหม❓ "ไม่ใช่เลย"
N : แล้วผมจะสร้างความเชื่อแบบนั้นขึ้นมาได้ยังไงครับ❓ ผมต้องทำยังไงถึงจะไปถึงความเชื่อในระดับนั้นได้❓
1
G : ✨เธอไม่อาจทำสิ่งใดเพื่อไปให้ถึงจุดนั้น เธอทำได้แค่เพียงอยู่ตรงจุดนั้นอยู่แล้ว✨
1
และฉันก็ไม่ได้กำลังเล่นสำบัดสำนวนกับเธอ แต่ฉันหมายความตามนั้นจริงๆ
ความเชื่อในระดับนั้น ซึ่งฉันเรียกมันว่า 🔸การรู้แจ้ง🔸 (Complete Knowing)
✴️ไม่มีทางเกิดขึ้นจากการใช้ความพยายามเพื่อให้ได้มา (หรือจากการใช้ความพยายามเพื่อไปให้ถึง)
1
✴️ในความเป็นจริงแล้วไม่ว่าเธอจะใช้ความพยายามอย่างไรก็ไม่มีทางได้มา
✨เพราะมันคือภาวะแห่งการเป็น✨
✨เธอเพียงเป็นตัวความรู้นั้น
✨เธอเพียงเป็นตัวสภาวะนั้น
✨สภาวะแห่งการรู้แจ้ง✨ นี้เป็นผลมาจาก 🔸สภาวะแห่งการตื่นรู้โดยสมบูรณ์🔸 และการรู้แจ้งจะเกิดขึ้นจากสภาวะนี้เพียงเท่านั้น
💢หากเธอพยายามที่จะทำบางสิ่งเพื่อเข้าถึงสภาวะนี้ เธอก็ไม่มีทางที่จะเข้าถึงสภาวะนี้ได้💢
เหมือนกับการพยายามสูง (เป็น) หกฟุตให้ได้โดยที่เธอสูงสี่ฟุตเก้านิ้วนั่นล่ะ ไม่มีทางที่เธอจะสูงหกฟุตได้ เธอทำได้แค่เป็น (สูง) อย่างที่เป็นอยู่ นั่นคือ สี่ฟุตเก้านิ้ว เธอจะสูงหกฟุตได้ก็ต่อเมื่อเธอโตไปจนถึงจุดนั้นแล้วนั่นล่ะ เมื่อเธอสูงหกฟุตเธอก็จะสามารถทำทุกสิ่งที่คนสูงหกฟุตทำได้ เช่นเดียวกับเมื่อเธออยู่ในสภาวะตื่นรู้โดยสมบูรณ์ เธอก็จะสามารถทำทุกสิ่งที่ผู้ตื่นรู้โดยสมบูรณ์ทำได้
1
ฉะนั้น 🔹จงอย่าพยายามเชื่อ🔹ว่าเธอสามารถทำเรื่องพวกนี้ได้ —🔸หากจงพยายามเข้าสู่ "สภาวะตื่นรู้โดยสมบูรณ์" แทน🔸
แล้วความเชื่อจะไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป "การรู้แจ้ง" จะเป็นคนจัดการสิ่งอัศจรรย์ทุกอย่างเอง
1
N : มีอยู่ครั้งหนึ่งตอนที่ผมทำสมาธิ ผมเกิดประสบการณ์เป็นหนึ่งเดียวกับทุกอย่าง เกิดความตื่นรู้อย่างเต็มที่ มันเป็นความรู้สึกที่สุดยอดมาก เกิดปิติอย่างบอกไม่ถูก หลังจากนั้นผมก็พยายามจะมีประสบการณ์แบบนั้นอีก ผมนั่งสมาธิแล้วก็พยายามจะให้เกิดความตื่นรู้อย่างเต็มที่อย่างคราวนั้นอีกครั้ง แต่ก็ไม่เคยทำได้อีกเลย
เป็นเพราะเหตุนี้หรือเปล่าครับ❓ ที่พระองค์บอกว่าถ้าผมยังคงพยายามที่จะมีอะไรสักอย่าง ผมก็ไม่มีทางมีมันได้ ✴️เพราะการพยายามไขว่คว้าคือคำประกาศว่าผมยังไม่มีสิ่งนั้นอยู่✴️ ซึ่งเป็นความเข้าใจ (หรือปัญญาญาณ) ที่พระองค์พูดให้ผมฟังมาตลอดการพูดคุยนี้
G : ใช่แล้ว ใช่แล้ว ตอนนี้เธอเข้าใจแล้วใช่ไหม กระจ่างขึ้นแล้วใช่ไหม นี่คือเหตุผลว่าทำไมถึงต้องพูดวกไปเวียนมา คือเหตุผลที่ต้องพูดซ้ำและย้อนกลับมาพูดซ้ำอีกเรื่อยๆ เพราะมันอาจทำให้เธอเข้าใจตอนที่ได้ฟังรอบที่สาม ที่สี่ หรือที่ห้า
N : ผมดีใจครับที่ถามคำถามนี้ขึ้นมา เพราะมันเป็นเรื่องที่หมิ่นเหม่อยู่เหมือนกัน เรื่อง "เธออยู่ได้สองที่ในเวลาเดียวกัน" หรือ "เธอสามารถทำอะไรก็ได้ที่เธออยากทำ" เรื่องอะไรทำนองนี้สามารถทำให้คนวิ่งขึ้นไปบนยอดตึกเอ็มไพร์สเตทพร้อมกระโดดลงมาแล้วตะโกนว่า "ฉันคือพระเจ้า❗ ดูให้ดีนะ❗ ฉันเหาะได้❗"
G : เธอควรอยู่ใน "สภาวะตื่นรู้โดยสมบูรณ์" เสียก่อนที่จะทำอย่างนั้นนะ
หากเธอต้องพิสูจน์ว่าตัวเองเป็นพระเจ้าด้วยการต้องโอ้อวดให้คนอื่นเห็น นั่นก็แสดงว่าจริงๆแล้วเธอ "ยังไม่รู้" ว่าตัวเองเป็นอย่างนั้น และ "การไม่รู้" นี้ 🔹ก็จะแสดงตัวออกมาในโลกความจริงของเธอ🔹
พูดง่ายๆก็คือ เธอจะร่วงลงมาหัวปักพื้นไปต่อหน้าต่อตาตัวเอง
📌 พระเจ้าไม่ต้องพยายามพิสูจน์อะไรกับใคร เพราะไม่จำเป็นต้องทำ พระเจ้าเพียงเป็นเช่นนั้น และเป็นอยู่อย่างนั้น
📌 คนที่รู้ว่าตัวเองเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า หรือมีประสบการณ์ภายในถึงพระเจ้า ไม่มีความจำเป็น (หรือต้องพยายาม) ต้องไปพิสูจน์อะไรกับใคร ✴️แม้แต่กับตัวเอง✴️
พอถูกเหยียดหยามว่า "หากแกเป็นบุตรของพระเจ้าจริง ก็ลงมาจากกางเขนให้ได้สิ❗" บุรุษที่ถูกเรียกว่าเยซูก็ไม่ได้ทำอะไร
ทว่าสามวันต่อมา...ด้วยความเงียบเชียบและมิได้ป่าวประกาศต่อผู้ใด เมื่อไม่มีพยานรู้เห็น ไม่มีฝูงชนห้อมล้อม และไม่มีใครให้ต้องพิสูจน์ เขาก็ทำบางสิ่งที่ยิ่งกว่าน่าตะลึง★ แล้วโลกก็กล่าวขานมาจนถึงทุกวันนี้
★พระเยซูได้ฟื้นขึ้นมาจาก "ความตาย" ~ ผู้แปล
📌 ในปาฏิหาริย์นี้เองที่เธอจะได้พบทางรอด เพราะเธอไม่เพียงประจักษ์ถึงความจริงของเยซู หากยังประจักษ์ถึงความจริงของตัวเธอเองด้วยเช่นกัน และเธออาจรอดพ้นจากคำเท็จเกี่ยวกับตัวเธอ ซึ่งเธอไปรับมาจากคนอื่นและยอมรับมันว่าเป็นความจริงของตัวเอง
✴️พระเจ้าจะปลุกกระตุ้นและดลใจเธอสู่ความคิดสูงสุดที่เธอมีต่อตัวเองเสมอ✴️
🔸ในเวลานี้มีหลายคนบนโลกที่แสดงถึงการคิดขั้นสูงนี้ในหลายรูปแบบ🔸
⏺️ทั้งการเสกวัตถุให้ปรากฏหรือหายไป
⏺️ทำให้ตัวเองปรากฏหรือหายไป
⏺️แม้กระทั่ง "มีชีวิตที่เป็นอมตะ" อยู่ในรูปกาย หรือ
⏺️ฟื้นคืนชีพจากความตายเพื่อกลับมาใช้ชีวิตอีกรอบ
1
ทั้งหมดนี้...ทุกอย่างตรงนี้ เกิดขึ้นได้เพราะ (เป็นไปได้เพราะ) ✨ศรัทธา✨ และ ✨ความรู้ความเข้าใจที่พวกเขามี✨
และเป็นเพราะ ✨ความกระจ่างแจ้งที่คนเหล่านี้มีต่อวิถีแห่งความเป็นไปของสรรพสิ่ง✨ รวมถึง ✨วิถีทางที่สรรพสิ่งถูกมุ่งหมายให้เป็น✨★
★หรือจะบอกว่าเป็นเพราะพวกเขารู้แจ้งในสรรพสิ่งหรือตื่นรู้อย่างสมบูรณ์แล้วก็ได้ ~ แอดมิน
ในอดีตหากมีใครทำเรื่องทำนองนี้ เธอจะเรียกเหตุการณ์เหล่านั้นว่าปาฏิหาริย์และยกให้เขาเป็นนักบุญและพระผู้ช่วยให้รอด
✴️ ทว่าคนเหล่านี้มิได้เป็นนักบุญและพระผู้ช่วยให้รอดมากไปกว่าเธอ
✴️ พวกเธอทุกคนเป็นนักบุญและพระผู้ช่วยให้รอดกันทั้งนั้น
✨นี่คือสารที่พวกเขานำมามอบให้เธอ✨
N : ผมจะเชื่อเรื่องแบบนี้ได้ยังไงครับ❓ ผมอยากจะเชื่อจนสุดหัวใจ อยากจะเชื่อออกมาจากใจจริงๆ แต่ผมทำไม่ได้ ผมทำใจให้เชื่อเรื่องแบบนี้ไม่ได้
G : ไม่ได้หรอก เธอใช้ "ความเชื่อ" กับเรื่องแบบนี้ไม่ได้หรอก🔸เธอต้องรู้🔸 เท่านั้น
N : แล้วผมจะรู้ได้ยังไงครับ❓ ผมจะเข้าถึงการรู้นี้ได้ยังไง❓
G : ✴️สิ่งใดที่เธอเลือกให้ตัวเองจงมอบสิ่งนั้นให้ผู้อื่น✴️
✴️หากเธอยังเข้าไม่ถึงการรู้นี้ ก็จงช่วยให้ผู้อื่นเข้าถึง✴️
✨ จง "บอก" ผู้อื่นว่าพวกเขามีสิ่งนั้นอยู่แล้ว (รู้อยู่แล้ว)
✨จง "ชื่นชม" พวกเขา "สรรเสริญ" พวกเขาในสิ่งที่พวกเขา🔸เป็น🔸
📌 นี่คือคุณค่าของการมีคุรุในชีวิต
📌 คุรุมีไว้เพื่อการนี้
คนในซีกโลกตะวันตกรู้สึกไม่ดีกับคำว่า "คุรุ" (guru) กันมาก จนเกือบจะเป็นคำต้องห้ามไปแล้ว การเป็น "คุรุ" ให้ความหมายไปในทางนักต้มตุ๋น และการอุทิศตนต่อคุรุกลายเป็นการยกพลังอำนาจของตนให้กับคุรุไป
การเคารพบูชาคุรุของตนมิได้เป็นการยกพลังอำนาจของตนให้กับคุรุ แต่เป็นการ "รับ" พลังต่างหาก เพราะเมื่อเธอเคารพบูชาคุรุ เมื่อเธอยกย่องสรรเสริญครูบาอาจารย์ที่เป็นผู้นำชีวิตของเธอ ก็เท่ากับเป็นการบอกว่า 🔸ฉัน/ผมเห็นท่าน🔸
✴️และสิ่งที่เธอเห็นในตัวผู้อื่น เธอก็จะเริ่มเห็นสิ่งนั้นในตัวเธอเอง✴️
🌟 มันคือประจักษ์พยาน (หรือหลักฐาน) ภายนอกของ "ความจริงภายในของเธอ"
🌟 คือข้อพิสูจน์ภายนอกของ "สัจธรรมที่อยู่ภายในตัวเธอ"
🌟 มันคือความจริงของ "สิ่งที่เธอเป็น"
📌 นี่คือ 🔸ความจริง🔸 ที่ถูกส่งผ่านเธอมายังหนังสือที่เธอเขียนขึ้น...
. . .
. . .
. . .

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา