มีคนเคยพูดไว้ว่า การเจอเห็ดนั้น มันเป็นเรื่องของโชคชะตาที่ฟ้าดินกำหนด(ว่าเข้าไปนั่นเลย) คนมีโชคเท่านั้นถึงจะเจอเห็ด และก็เจออย่างไม่น่าจะเจอ
บางคนเดินมาดีๆ อยู่ๆก็เกิดปวดหนักปวดเบาขึ้นมาจนทนไม่ไหวขึ้นมาเสียเฉยๆ เมื่อต้องแวะเข้าข้างทางเพื่อจะจัดการธุระให้เสร็จ
เขาก็กลับไปเอาเจอเห็ดโคนกอเบ้อเริ่มเทิ่มขึ้นอยู่ตรงหน้าที่เขานั่งทำธุระนั่นเอง !!
ไม่มีใครอธิบายได้ว่า ทำไมต้องเป็นเขา ? ทำไมเขาต้องเกิดปวดอะไรขึ้นมาตอนนั้นและตรงนั้น ? ทำไมคนๆนั้นจึงไม่ทนปวดไปก่อนเพื่อให้ถึงบ้าน หรือถึงที่หมายซึ่งเป็นที่เป็นทางกว่า ? และทำไมคนที่เดินผ่านไปผ่านมารวมทั้งคนที่เดินหาเห็ดอยู่ก่อนหน้านั้น ถึงได้ไม่เห็นเห็ดกอใหญ่ขนาดนั้น ?
กับอีกบางคนในสวน แต่งตัวเดินออกไปทำงานที่โรงน้ำมันสามทหารแถวช่องนนทรี เขามีหน้าที่กลิ้งถังน้ำมันที่คนในสวนถือว่ามีอนาคต เพราะมีรายได้ถึงวันละ เจ็ดบาท แต่จะด้วยโชคหรือเคราะห์ บุญหรือบาปก็สุดจะเดา ระหว่างทางที่ต้องเดินลัดเลาะไปตามทางเดินในสวนเพื่อไปทำงานนั้น เขาเดินไปสะดุดเห็ดโคนเข้ากอใหญ่เข้าจังๆ
เขาถอดเสื้อตัวหล่อออกปูบนพื้น บรรจงเก็บเห็ดนั่น ใส่จนเต็มเสื้อแล้วบ่ายหน้ากลับบ้าน งานการเป็นอันต้องหยุด เพราะมีงานด่วนกว่าที่ต้องกลับไป แกงเขียวหวานเนื้อใส่เห็ดโคนและใบเปราะ กินฉลองเทศการเห็ดที่กำลังมาถึง
นั่นทำให้เขาต้องเกือบออกจากงาน เพราะวันนั้นนายฝรั่งดันมาตรวจงาน แล้วพบว่างานล่าช้าเนื่องจากคนกลิ้งถังขาดงานไปหลายคน
แต่กับอีกคนที่เป็นญาติของฉันเอง เขาทำงานที่เดียวกัน หน้าที่เดียวกัน และตอนเช้าออกไปทำงานก็เจอเห็ดเข้าเหมือนกันอีก เพียงแต่เป็นคนละวันเดือนปีกัน
แต่ญาติฉันคนนี้แกเป็นมวยกว่า แกถอดเสื้อออกห่อเห็ดที่ขุดได้ไปให้หัวหน้างานแกที่ๆทำงาน แม้วันนั้นนายฝรั่งจะไม่ได้ไปตรวจ แต่เขาก็ได้เลื่อนเป็นหัวหน้าคนกลิ้งถังที่ไม่ต้องกลิ้งถังอีกแล้วหลังจากนั้นไม่กี่เดือน
ส่วนประกอบ: เนื้อวัว(เนื้อสะโพก) ½ กก. - กะทิที่คั้นจากมะพร้าวขูด ½ กก. 3-4 ถ้วยตวงข้าวสาร -เห็ดโคน 3-5 ขีด -ใบเปราะสด 8- 10 ใบ (ใบเปราะหาได้ตามตลาดสดใหญ่ๆ หรือซื้อยกกระถางจากตลาดต้นไม้สวนจตุจักรมาปลูกไ ว้) -มะเขือพวง 30 เม็ด -พริกชี้ฟ้าสดเขียว-ม่วง-แดง 4- 5 เม็ด -ใบมะกรูด 4- 5 ใบ -ใบโหระพาเด็ด 2- 3 กิ่ง -น้ำปลา - น้ำตาลปี๊บ -น้ำพริกแกง
น้ำพริกแกง:ข่าหั่นแว่นบางๆ 4 -5 แว่น –ตะไคร้ซอยละเอียด1 ต้น – ผิวมะกรูดฝานเอาแต่ผิวเขียว ¾ ลูก – พริกขี้หนูสวนเม็ดเล็กจิ๋วเขียว-ม่วง-แดง 50 เม็ด – พริกขี้หนูใหญ่เขียว-ม่วง-แดง 15-20 เม็ด – พริกเหลือง 1-2 เม็ด – กะปิ ½ โต๊ะ – หอมแดง 3 หัว – กระเทียมไทย 10 กลีบ – เครื่องเทศ
เครื่องเทศ :รากผักชี 3-4 ราก – พริกไทย 2 ช้อนชา - หัวเปราะแห้ง 2 แว่น –โป๊ยกั๊ก 2 กลีบ – กานพลู 2 ดอก – เม็ดผักชี 1 ช้อนชา – เม็ดยี่หร่า ½ ช้อนชา –เอาทั้งหมดโขลกละเอียด
การเตรียม : เนื้อหั่นเป็นชิ้นขวางเส้นลวนพอให้เปื่อยนุ่มตามชอบ – กะทิตั้งไฟกลางพอแตกมัน –เห็ดโคนฝานเจียนรากให้หมดเศษดินล้างสะอาด ดอกใหญ่ผ่า 2 –ผักทุกอย่างล้างสะอาด -มะเขือพวงเด็ดก้าน – พริกชีฟ้าหั่นเป็นท่อนเฉียงหรือหั่นแฉลบ – ใบมะกรูดดเรียงซ้อนกันไว้ – ใบโหระพาเด็ดเป็นใบรวมทั่งยอดและดอก(ถ้ามี) – ใบเปราะซอยหยาบ
การแกง :ผัดน้ำพริกแกงกับหัวกะทิจนหอมฉุน มีน้ำมันสีเหลืองแสดแยกออกมาพอประมาณ – ใส่เนื้อลงผัดให้เข้ากัน – เติมกะทิลง 2 ใน 3 ของที่เหลือ – รอให้เดือดใส่มะเขือพวงใบมะกรูดฉีก -ใส่เห็ด – กะน้ำแกงให้พอราดขนมจีนได้ด้วยการเติมกะทิหรือหัวกะทิที่เหลือ- ปรุงด้วยน้ำปลา น้ำตาลปี๊บให้ได้รสเค็มและหวานเล็กน้อย –ใส่ใบโหระพากดให้จมน้ำแกง แล้วยกลง
แกงหม้อนี้ถ้าแกงกันในปัจจุบันราคาคงไม่เบา แต่ก็คุ้มถ้าเอามันราดลงบนข้าวหรือขนมจีน แต่ฉันชอบราดบนข้าวผสมขนมจีน กินกับปลาช่อนเค็มทอด หรือปลากระดี่วงทอดกรอบที่กินได้ทั้งตัวก็ไม่เลว ที่สำคัญอย่ากินร่วมกับเครื่องควบเคียงที่มีรสหรือกลิ่นแรงนัก เพราะงานนี้เราจะเน้นกันที่กลิ่นของเห็ดโคนกับใบเปราะเป็นสำคัญ
เห็ดโคนเป็นของแพงและค่อนข้างหายากแม้จะอยู่ในฤดูกาล ถ้าได้มาน้อย ก็อาจจะใช้เห็ดฟางดอกตูมๆมาเพิ่มปริมาณด้วยก็ได้ /