30 มิ.ย. 2021 เวลา 15:15 • อาหาร
แกงเขียวหวานเนื้อ
เพียงแค่เห็นชื่อก็ดูเหมือนจะมีปัญหาในเรื่องวัตถุดิบเสียแล้ว แต่ก็อย่างที่เคยกล่าวไว้แล้วนั่นแหละว่า เมนูกับข้าวของชาวสวนนั้น มันมักจะออกมาตามฤดูกาล เมื่อถึงหน้าที่มี กุ้งใหญ่ ลอยเต็มชายแม่น้ำ เมนูในสวนก็จะอัดแน่นไปด้วยกุ้ง กุ้งต้มยำ พล่ากุ้ง กุ้งเผาสะเดาน้ำปลาหวาน กุ้งย่างกับน้ำปลามะกอกและกุ้งใหญ่เค็มไปจนถึงหน้ากุ้ง(คล้ายๆที่กินกับข้าวเหนียว) หรือเมื่อเข้าหน้ากระท้อนก็แกงกระท้อน หน้ามะไฟก็แกงมะไฟอะไรกันไปตามเรื่อง
หรือถ้าไม่ตรงกับหน้าอะไรเลย คนในสวนก็ยังพอจะปีนขึ้นไปเก็บลูกมะพร้าว เอากะลาอ่อนของมันมาแกงเป็นแกงกรุบมะพร้าว ก็ยังได้อีก
ซึ่งก็แน่นอน ที่พอถึงหน้าเห็ดโคน คนในสวนบางโพงพางก็จะกินเห็ดโคนกันทั้งบาง แกงเผ็ดเห็ดโคน เห็ดโคนยำ เห็ดโคนตีน้ำมัน กินกันจนหมดฤดูหรือวายไปตามวงรอบชีวิตของมัน
ในช่วงปลายฝนแต่ยังไม่ถึงต้นหนาว คือราวๆเดือนสิงหาคมต่อกันยายน และเมื่อยามใดที่ฝนเกิดทิ้งช่วงไปสักอาทิตย์สองอาทิตย์ อากาศในช่วงนั้นก็จะร้อนอบอ้าวเหมือนอยู่ในเตาอบ ยิ่งฝนทิ้งช่วงไปนานเท่าไร ความร้อนระอุอบอ้าวก็ดูเหมือนจะทวีความรุนแรงขึ้นเท่านั้น มันร้อนทรมานกว่าความร้อนในฤดูร้อนที่ยังพอมีลมพัดผ่านร่มไม้ใบบังมาให้คลายร้อนได้บ้าง
และก็ในท่ามกลางความร้อนที่เหมือนจะหลอมผู้คน และสิ่งมีชีวิตต่างๆภายใต้ครอบฟ้า ให้ละลายไปเหมือนชีสบนพิซซ่าไปตามๆกันนั่นเอง เชื้อเห็ดโคน ที่ฝูงปลวกในอานาจักร์ใต้ดินของมันได้แพร่กระจายไว้อย่างไม่ได้ตั้งใจ ก็พร้อมที่จะงอกขึ้นสู่ผิวดิน
และก็เป็นกฎตายตัวของเขตมรสุมอย่างหนึ่ง คือเมื่อร้อนจัดขนาดนั้น ไม่ช้าไม่นานฝนก็จะเทลงมา ทันทีที่ดินอ่อนพอ เชื้อเห็ดที่คอยท่าอยู่ ก็จะแทงหมวกแหลมสีน้ำตาลแกมดำ รูปร่างเหมือนร่มหุบๆ พร้อมต้นเท่าก้านไม้ขีดโผล่พ้นดินขึ้นมาเหนือเมืองใต้ดินอันมโหฬารของมันทันที
เพียงชั่วไม่ทันข้ามวัน เห็ดเหล่านั้นก็จะเบ่งตัวเองโตขึ้นเป็นเห็ดต้นอวบงาม พร้อมๆกับที่มีคนเจอเห็ดที่โน่นที่นี่กันถี่ขึ้น
และนั่นก็จะถือว่า มหกรรมเห็ดโคน ของสวนบางโพงพางได้ถูกประกาศขึ้นแล้ว !!
นักหาเห็ด ทั้งมืออาชีพและมือสมัครเล่น ต่างก็ออกเดินหาเห็ดกันเหมือนมีการแข่งขัน ทางเดินตามสวน หรือบางครั้งบนร่องสวน ถูกนักล่าเห็ดผู้ไม่เปิดเผยนามย่ำกันไว้เป็นเทือก
แหล่งเห็ดแต่ละแหล่งจะขึ้นเป็นหย่อมใหญ่ ขนาดวงแขนหรือสองวงแขนของผู้ใหญ่ หรือบางที่อาจจะขึ้นเป็นทางยาว หรือตามรูปแบบของรังปลวกใต้ดินบริเวณนั้น มันชอบขึ้นอยู่ตามที่ๆรกไปด้วยเศษใบไม้แห้งผุ ครึ้มและอับลม แต่ก็เอาแน่ไม่ได้ บางทีมันขึ้นขวางทางเดินเตียนๆเลยก็ยังมี แต่ที่แน่ๆ มันจะขึ้นซ้ำที่เดิมเสมอ
สำหรับเห็ดโคนที่ขึ้นตามสวนสมัยที่ฉันยังอยู่ในสวนนั้น ต่างถือเป็นกฎ-กติการ่วมกันว่า มันจะไม่มีเจ้าของ ไม่ว่ามันจะขึ้นอยู่ในสวนของใคร คนที่พบเข้าไม่ว่าจะโดยการตั้งใจออกหาหรือเป็นการพบเข้าโดยบังเอิญมีสิทธ์ที่จะขุดเอาไปได้โดยชอบธรรม
เจ้าของสวนไม่มีสิทธิ์โวย !
ด้วยกฎ-กติกานี้เอง ตำนานการหาเห็ดจึงเป็นเรื่องเล่าขานกันอย่างไม่รู้จบ มีทั้งเรื่องของการชิงไหวชิงพริบ หักเหลี่ยม เฉือนคมกันด้วยเล่ห์เพทุบายเบาๆสไตล์ วอลท์ ดิสนีย์ มีทั้งเรื่องเศร้า เรื่องโปกฮา รวมทั้งเรื่องที่คิดไม่ถึง เรื่องบังเอิญที่ไม่น่าที่จะเกิดขึ้นมากมาย ชนิดเล่ากัน 3 วัน 3 คืนไม่จบ
ก็ขนาดออกหาเห็ดด้วยกัน เป็นพาร์ทเนอร์กัน มี สัญญาหารสอง ต่อกัน แต่คนหนึ่งเกิดตาดีพบเห็ดเข้าโดยที่อีกคนไม่เห็น คนที่เห็นยังเฉไฉพาออกนอกพื้นที่แล้วย้อนกลับไปขุดเอาเสียตามลำพังก็ยังมีเสมอ
ที่น่าเจ็บใจกว่าคือ เห็ดก็ขึ้นในสวนของตัวเอง และเจ้าของสวนก็เห็นมันก่อนใคร เห็นตั้งแต่มันเพิ่งแทงหัวดำๆขึ้นมาจากดิน อุตส่าห์เอาทางมะพร้าว เอาใบตองแห้งไปปิดพรางเอาไว้เป็นอย่างดี กะว่าจะรอให้เห็ดได้ขนาดแล้วค่อยไปขุดเอาแต่ผู้เดียว
แต่อนิจจา ! ความแน่นอนก็คือความไม่ค่อยจะแน่นอน
ตี 4 ของคืนที่กะว่าเห็ดจะโตได้ที่แล้ว เจ้าของสวนก็ย่องกริบออกไปยังที่หมาย เขานึกเห็นภาพตัวเอง ที่กำลังบรรจงเลือกแซะเห็ดดอกงามที่ดาดอยู่เต็มพื้น เขาจะค่อยๆเลือกเอาเฉพาะดอกที่โตเต็มที่ ปล่อยดอกเล็กดอกน้อยไว้ให้มันโตต่อไป เพื่อที่จะไปเก็บมันอีกอย่างน้อยก็ครั้งสองครั้ง และกินมันให้ช่ำ
เมื่อไปถึง ภาพที่เขาเห็นคือภาพของทางมะพร้าวและใบตองแห้งที่กระจุยกระจาย ตรงบริเวณที่เขาเคยเห็นกับตาว่าเห็ดมันขึ้นอยู่ กลับเป็นแค่พื้นดินชื้นๆที่ดูกระจุกกระจุย ไม่มีกอเห็ด ไม่มีแม้ซากเห็ดที่น่าจะเหลืออยู่
จะมีก็แต่รอยเท้าที่ดูเหมือนจะยังอุ่นๆอยู่เท่านั้น !!
มีคนเคยพูดไว้ว่า การเจอเห็ดนั้น มันเป็นเรื่องของโชคชะตาที่ฟ้าดินกำหนด(ว่าเข้าไปนั่นเลย) คนมีโชคเท่านั้นถึงจะเจอเห็ด และก็เจออย่างไม่น่าจะเจอ
บางคนเดินมาดีๆ อยู่ๆก็เกิดปวดหนักปวดเบาขึ้นมาจนทนไม่ไหวขึ้นมาเสียเฉยๆ เมื่อต้องแวะเข้าข้างทางเพื่อจะจัดการธุระให้เสร็จ
เขาก็กลับไปเอาเจอเห็ดโคนกอเบ้อเริ่มเทิ่มขึ้นอยู่ตรงหน้าที่เขานั่งทำธุระนั่นเอง !!
ไม่มีใครอธิบายได้ว่า ทำไมต้องเป็นเขา ? ทำไมเขาต้องเกิดปวดอะไรขึ้นมาตอนนั้นและตรงนั้น ? ทำไมคนๆนั้นจึงไม่ทนปวดไปก่อนเพื่อให้ถึงบ้าน หรือถึงที่หมายซึ่งเป็นที่เป็นทางกว่า ? และทำไมคนที่เดินผ่านไปผ่านมารวมทั้งคนที่เดินหาเห็ดอยู่ก่อนหน้านั้น ถึงได้ไม่เห็นเห็ดกอใหญ่ขนาดนั้น ?
กับอีกบางคนในสวน แต่งตัวเดินออกไปทำงานที่โรงน้ำมันสามทหารแถวช่องนนทรี เขามีหน้าที่กลิ้งถังน้ำมันที่คนในสวนถือว่ามีอนาคต เพราะมีรายได้ถึงวันละ เจ็ดบาท แต่จะด้วยโชคหรือเคราะห์ บุญหรือบาปก็สุดจะเดา ระหว่างทางที่ต้องเดินลัดเลาะไปตามทางเดินในสวนเพื่อไปทำงานนั้น เขาเดินไปสะดุดเห็ดโคนเข้ากอใหญ่เข้าจังๆ
เขาถอดเสื้อตัวหล่อออกปูบนพื้น บรรจงเก็บเห็ดนั่น ใส่จนเต็มเสื้อแล้วบ่ายหน้ากลับบ้าน งานการเป็นอันต้องหยุด เพราะมีงานด่วนกว่าที่ต้องกลับไป แกงเขียวหวานเนื้อใส่เห็ดโคนและใบเปราะ กินฉลองเทศการเห็ดที่กำลังมาถึง
นั่นทำให้เขาต้องเกือบออกจากงาน เพราะวันนั้นนายฝรั่งดันมาตรวจงาน แล้วพบว่างานล่าช้าเนื่องจากคนกลิ้งถังขาดงานไปหลายคน
แต่กับอีกคนที่เป็นญาติของฉันเอง เขาทำงานที่เดียวกัน หน้าที่เดียวกัน และตอนเช้าออกไปทำงานก็เจอเห็ดเข้าเหมือนกันอีก เพียงแต่เป็นคนละวันเดือนปีกัน
แต่ญาติฉันคนนี้แกเป็นมวยกว่า แกถอดเสื้อออกห่อเห็ดที่ขุดได้ไปให้หัวหน้างานแกที่ๆทำงาน แม้วันนั้นนายฝรั่งจะไม่ได้ไปตรวจ แต่เขาก็ได้เลื่อนเป็นหัวหน้าคนกลิ้งถังที่ไม่ต้องกลิ้งถังอีกแล้วหลังจากนั้นไม่กี่เดือน
ส่วนประกอบ: เนื้อวัว(เนื้อสะโพก) ½ กก. - กะทิที่คั้นจากมะพร้าวขูด ½ กก. 3-4 ถ้วยตวงข้าวสาร -เห็ดโคน 3-5 ขีด -ใบเปราะสด 8- 10 ใบ (ใบเปราะหาได้ตามตลาดสดใหญ่ๆ หรือซื้อยกกระถางจากตลาดต้นไม้สวนจตุจักรมาปลูกไ ว้) -มะเขือพวง 30 เม็ด -พริกชี้ฟ้าสดเขียว-ม่วง-แดง 4- 5 เม็ด -ใบมะกรูด 4- 5 ใบ -ใบโหระพาเด็ด 2- 3 กิ่ง -น้ำปลา - น้ำตาลปี๊บ -น้ำพริกแกง
น้ำพริกแกง:ข่าหั่นแว่นบางๆ 4 -5 แว่น –ตะไคร้ซอยละเอียด1 ต้น – ผิวมะกรูดฝานเอาแต่ผิวเขียว ¾ ลูก – พริกขี้หนูสวนเม็ดเล็กจิ๋วเขียว-ม่วง-แดง 50 เม็ด – พริกขี้หนูใหญ่เขียว-ม่วง-แดง 15-20 เม็ด – พริกเหลือง 1-2 เม็ด – กะปิ ½ โต๊ะ – หอมแดง 3 หัว – กระเทียมไทย 10 กลีบ – เครื่องเทศ
เครื่องเทศ :รากผักชี 3-4 ราก – พริกไทย 2 ช้อนชา - หัวเปราะแห้ง 2 แว่น –โป๊ยกั๊ก 2 กลีบ – กานพลู 2 ดอก – เม็ดผักชี 1 ช้อนชา – เม็ดยี่หร่า ½ ช้อนชา –เอาทั้งหมดโขลกละเอียด
การเตรียม : เนื้อหั่นเป็นชิ้นขวางเส้นลวนพอให้เปื่อยนุ่มตามชอบ – กะทิตั้งไฟกลางพอแตกมัน –เห็ดโคนฝานเจียนรากให้หมดเศษดินล้างสะอาด ดอกใหญ่ผ่า 2 –ผักทุกอย่างล้างสะอาด -มะเขือพวงเด็ดก้าน – พริกชีฟ้าหั่นเป็นท่อนเฉียงหรือหั่นแฉลบ – ใบมะกรูดดเรียงซ้อนกันไว้ – ใบโหระพาเด็ดเป็นใบรวมทั่งยอดและดอก(ถ้ามี) – ใบเปราะซอยหยาบ
การแกง :ผัดน้ำพริกแกงกับหัวกะทิจนหอมฉุน มีน้ำมันสีเหลืองแสดแยกออกมาพอประมาณ – ใส่เนื้อลงผัดให้เข้ากัน – เติมกะทิลง 2 ใน 3 ของที่เหลือ – รอให้เดือดใส่มะเขือพวงใบมะกรูดฉีก -ใส่เห็ด – กะน้ำแกงให้พอราดขนมจีนได้ด้วยการเติมกะทิหรือหัวกะทิที่เหลือ- ปรุงด้วยน้ำปลา น้ำตาลปี๊บให้ได้รสเค็มและหวานเล็กน้อย –ใส่ใบโหระพากดให้จมน้ำแกง แล้วยกลง
แกงหม้อนี้ถ้าแกงกันในปัจจุบันราคาคงไม่เบา แต่ก็คุ้มถ้าเอามันราดลงบนข้าวหรือขนมจีน แต่ฉันชอบราดบนข้าวผสมขนมจีน กินกับปลาช่อนเค็มทอด หรือปลากระดี่วงทอดกรอบที่กินได้ทั้งตัวก็ไม่เลว ที่สำคัญอย่ากินร่วมกับเครื่องควบเคียงที่มีรสหรือกลิ่นแรงนัก เพราะงานนี้เราจะเน้นกันที่กลิ่นของเห็ดโคนกับใบเปราะเป็นสำคัญ
เห็ดโคนเป็นของแพงและค่อนข้างหายากแม้จะอยู่ในฤดูกาล ถ้าได้มาน้อย ก็อาจจะใช้เห็ดฟางดอกตูมๆมาเพิ่มปริมาณด้วยก็ได้ /
โฆษณา