1 ก.ค. 2021 เวลา 14:50 • ไลฟ์สไตล์
ทดลองรีวิว: ชีวิตงานพาร์ทไทม์(เกือบ)อิสระ กับการเป็นลูกจ้างแพลตฟอร์มออนไลน์ที่รับ-ส่งทั้งคนและอาหาร
เพราะต้องใช้ชีวิตเป็นดอกหญ้าในป่าปูนและการวางแผนการเงินที่ผิดพลาด สุดท้ายเงินในบัญชีเกือบทั้งหมดจึงเป็นของเจ้าหนี้ งานเสริมที่เหมือนงานหลัก เพื่อเงินค่าข้าวและค่าน้ำมัน นี่คือ บทสัมภาษณ์สาวไดร์ฟเวอร์พาร์ทไทม์ จากรับจ้างขับรถยนต์ส่งคนมาสู่ทั้งขับส่งคนและส่งอาหาร ถามจริง คุ้มหรอ?
“ยกเลิกได้มั้ย พี่อยากได้มอเตอร์ไซค์ รถยนต์มันช้า”
ไดร์ฟเวอร์สาวเล่าถึงข้อความหนึ่งที่เธอได้รับจากการทำงานรับ-ส่งอาหารในวันวันหนึ่ง ไดร์ฟเวอร์สาวผมสั้น (ในลุคที่ชาวบ้านนิยมเรียกกันว่า ‘ทอม’ ซึ่งเธอบอกกับเราว่า “ไม่น่าจะถึงขนาดนั้น ก็แล้วแต่แล้วกันว่าจะเรียกอะไร แต่ที่แน่นอนที่สุดคือเพื่อนมักจะบอกว่า ‘มึงไม่ใช่ทอมอะ คือมึงแรดมาก แรดกว่าผู้หญิงอีก’” – เธอกล่าวพร้อมกับยิ้มกว้าง ตาสองข้างภายใต้แว่นกลมหยีจนเกือบปิด
จากนี้จะเป็นบทสัมภาษณ์ไดร์ฟเวอร์สาวเกี่ยวกับเรื่องราวการทำงานพาร์ทไทม์ ที่เธอจัดให้การทำงานแบบนี้ เป็นงาน ‘ลูกจ้างชั่วคราวบนแพลตฟอร์ม’
ลองเล่าที่มาที่ไปให้เราฟังหน่อยว่ามาเริ่มต้นทำงานนี้ได้ยังไง?
“เราเป็นพนักงานออฟฟิศ ก็ทำงานประจำรับเงินเดือนทั่วไปแหละ อยู่แถวอารีย์ แต่นอกจากงานประจำ เราก็มีงานพาร์ทไทม์จะเรียกว่ายังไงดี เราขอเรียกมันว่า ‘ลูกจ้างชั่วคราวบนแพลตฟอร์มสีเขียว’ แล้วกัน เหมือนเราเคยอ่านเจอจากที่ไหนสักที่เราว่านิยามแบบนี้มันตรงกับงานที่ทำดีนะ เพราะไม่ว่าจะทำแบบพาร์ทไทม์ หรือประจำ มันก็แค่ชั่วคราวอยู่ดี แต่แพลตฟอร์มเขาจะเรียกเราว่า ‘พาร์ทเนอร์’ ถามว่ามาทำได้ยังไง ก็คงเพราะความที่เราชอบขับรถแหละ แต่เราอยากได้เงินด้วย เงินไม่พอใช้ เราเลยเลือกทำงานนี้เป็นงานเสริม เดือนไหนเงินไม่พอใช้นะ ก็อาศัยช่วงเลิกงาน หรือเสาร์-อาทิตย์ออกไปขับรถรับ-ส่งผู้โดยสาร เป้าหมาย คือ สัปดาห์ละหนึ่งพันบาท พอเป็นค่าข้าวค่าน้ำมัน ช่วงไหนที่งานประจำยุ่งๆเยอะๆ ก็ขับน้อย กับลดเป้าหมายลงมาเหลือเดือนละพันบ้าง สองพันบ้าง แล้วแต่ตัวเองจะมุ่งมั่น เราทำงานแบบนี้มาก็น่าจะประมาณ 3 ปี เท่ากับที่เรามีรถขับแหละ”
รายได้ดีมั้ย? แล้วช่วงโควิดระบาดเป็นยังไงบ้าง?
“ช่วงพีคๆ กลุ่มคนในแพลตฟอร์มที่เราขับซึ่งเขาขับเป็นงานประจำเลยนะ เขาว่ากันว่า วันละพันนี่ถือว่าน้อยมากนะ บางคนได้งานดีๆ ห้าพันหกพันก็มี แต่ว่าช่วงโควิดที่ผ่านมา โดยเฉพาะรอบล่าสุดนี่สุดจริงมาก กระทบหนักมาก บางคนพูดเลยว่า ‘เอาแค่ให้ได้ค่าน้ำมันที่ขับในหนึ่งวัน ก็ถือว่าหรูแล้ว’ ทุกวันนี้พี่คนขับบางคนตัดสินใจเลิกขับไปแล้ว บางคนโพสต์ถามในกลุ่มเลยว่า ผิดนัดกี่งวดรถจะโดนยึด และบางคนก็ตัดสินใจผิดนัดเลิกจ่ายหนี้ไปเลย คือวิกฤติกันมากเลย แต่เราว่าคนที่กระทบหนักคงเป็นคนที่มีภาระหนี้สิน กับคนที่ยึดงานตรงนี้เป็นงานประจำ”
แล้วสถานการณ์มันเป็นไปขนาดนี้ เราได้รับผลกระทบ หรือได้รับความช่วยเหลืออะไรยังไงบ้าง?
“ทางแพลตฟอร์มเองเขาก็ต้องเอาตัวรอดนะ เพราะถ้าคนขับบนแพลตฟอร์มน้อยลง ค่าใช้บริการหรือค่าคอมมิชชั่นที่เขาจะเก็บได้ก็จะน้อยลงตามไปด้วย เหมือนเราจำได้ว่าเขาเริ่มปรับตัวเรื่องความปลอดภัยก่อน คือ ยืนยันตัวตนคนขับ กับทำแบบประเมินความเสี่ยงเกี่ยวกับโควิดก่อนการขับรถ ต่อมาช่วงหลังก็มีการเพิ่มงานบริการรับ-ส่งอาหารด้วยรถยนต์ให้กับคนที่ขับรถยนต์เข้ามาด้วย เป็นการเพิ่มช่องทางรับงานให้คนขับ ซึ่งก่อนหน้าจะมีโควิด เขาก็มีบริการรับ-ส่งพัสดุเพิ่มมาก่อนหน้านั้น อันนี้เท่าที่นึกออกนะ เพราะส่วนใหญ่เราไม่ค่อยได้ตามข่าวอะไรจากตัวแพลตฟอร์มมาก ด้วยความที่เราเลือกทำเป็นงานพาร์ทไทม์ไง ซึ่งตอนแรกที่เห็นบริการรับ-ส่งอาหารนี่เราไม่เห็นความน่าสนใจอะไรของงานนี้เลยนะ เพราะเรามองว่า เงินที่ได้ไม่คุ้มกับ เวลาและค่าน้ำมัน”
อ้าว! แล้วไปไงมาไง เราถึงไปขับรถยนต์รับ-ส่งอาหารได้ล่ะ?
“ก็คือต้องเล่าก่อนว่า ที่สุดแล้วเมื่อเวลาผ่านไป โควิดมันอยู่กับเรานานกว่าที่เราคิด และวัคซีนที่ดีก็ไม่เดินทางเข้ามาให้เราได้เลือก เราเองก็มองว่า คนเขาเริ่มรับความเสี่ยงได้น้อยลง ความเสี่ยงจะติดเชื้อก็มีมากขึ้น ส่วนวัคซีนที่มีก็คือไม่ดีพอ ผลก็คือ ‘คนเลือกเดินทางด้วยบริการขนส่งสาธารณะน้อยลง’ ประกอบกับ เราคิดเอาเองนะว่า คนตกงานมากขึ้น ก็เลยมีคนเลือกมาขับรถรับ-ส่งแบบเราเป็นงานประจำมากขึ้นด้วย หน้าเก่าไปหน้าใหม่มา มันเลยทำให้เราพบว่า เหมือนงานรับ-ส่งคนมันน้อยลง แล้วเพื่อนร่วมอาชีพของเราทั้งใหม่ทั้งเก่าก็แทบไม่มีคนใช้บริการเลย บางคนได้ยอดถึงหลักพันก็ดีใจจนน้ำตาไหล บางคนรองานมาตั้งแต่ตีสี่จนบ่ายสองกลับไม่มีงานเข้ามาเลย และที่เคยเจอครั้งนึงคือพี่คนขับมาโพสต์ถามว่า ‘แอพมันลืมผมแล้วหรอ’ ไม่ใช่แค่รับ-ส่งคนนะ อาหารเองก็ด้วย เห็นวิ่งงานกันไปมาเหมือนงานเยอะ บางคนงานไม่เข้าก็มี
เราเองตั้งแต่โควิดระลอกแรก เราก็ห่างหายไปจากการทำอาชีพลูกจ้างแพลตฟอร์มไปพอสมควรนะ อาจจะมีบางช่วงที่สถานการณ์ดีขึ้นเราก็ออกมาขับ ซึ่งตอนนั้นก็มีผู้โดยสารใช้บริการกันอยู่ไม่ได้น้อยนิดอะไรนะ รายได้ก็พอเป็นค่าน้ำมัน ค่าข้าว กับค่ากาแฟสักสองสามมื้อ แต่โควิดระลอกล่าสุดนี้ อย่างที่เราบอก ‘ผู้คนรับความเสี่ยงแบบนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว’ และ ‘โควิดมันน่ากลัวมากขึ้น’ เราเองก็เหมือนกัน เราต้องการรายได้เสริมแบบเดิม เพราะเจ้าหนี้ไม่ได้พักชำระหนี้แล้ว เจ้าหนี้ไม่ได้ใจดีกับเรานานเท่ากับระยะเวลาที่สถานการณ์มันระบาด และดอกเบี้ยเงินกู้มันไม่ติดโควิดไง มันเดินอยู่ทุกวัน ส่วน ‘ภาครัฐ’ เราว่าเขาน่าจะช่วยอะไรเราไม่ได้หรอก เพราะหลัง ๆ มานี้ เขาพูดเหมือนพูดลอย ๆ มากกว่าจะมีคำสั่งจริงจังอะ ดูอย่างวัคซีนที่เขาเลือกมาให้เราฉีดสิ ฮา ตลกหรอ ไม่นะ นี่เครียดมาก
เราเลยต้องตัดสินใจเอารถออกมาขับ มาทำงานพาร์ทไทม์ของเราต่อ เราเปิดงานรับ-ส่งคนแบบเดิมแหละ จอดรอที่เดิม มันก็ไม่มีคนเรียก เราเลยลองขับรถไปเรื่อย ๆ เพราะเคยทำแล้วมันมีคนเรียก เราวนรอบกรุงเทพฯ เลยนะ น้ำมันหมดเป็นขีด ไม่มีคนกดเรียกเลย ขนาดพี่แท็กซี่ยังจอดเรียงรายเป็นแถว แล้วเราจะมีลูกค้าจากตรงไหน สุดท้ายเรานึกถึงตอนแรกที่เราเปิดแอพ มันมีงานเด้งเข้ามาเป็นงานรับ-ส่งอาหารที่เราคิดว่ามันไม่คุ้ม เราเลยกดยกเลิกไป ตอนนั้นรถติดไฟแดงอยู่ เพราะเรากำลังจะขับกลับคอนโด ไหน ๆ ก็ไม่มีงานแล้ว ลองเปิดรับงานส่งอาหารดูหน่อย และยังไม่ทันจะไฟเขียวเลย เราก็ได้งานรับ-ส่งอาหาร เป็นร้านอาหารญี่ปุ่นในห้าง ไปส่งลูกค้าไม่ไกลมาก ดีใจนะ ถึงจะใช้เวลาเกือบชั่วโมงได้มาแค่เงินหลักสิบ มันก็มีความสุขอะ หลังจากงานนั้นก็เป็นงานใหญ่ คือ ส่งชุดสุกี้หม้อใหญ่เบิ้ม วันนั้นจำได้ว่า รถหอมสุกี้มาก ทีนี้วันต่อๆไป เราก็เลยเปิดงานรับ-ส่งอาหารด้วย บางทีก็มีเปิดรับงานซื้อของในซุปเปอร์มาร์เก็ตบ้าง ปนกันไป ผ่านไปสัปดาห์สองสัปดาห์ พอมาดูรายได้ เราว่ามันก็พอได้นะ ดีกว่าไม่มีงานเลย”
พอเปิดรับงานส่งอาหาร มันไม่คุ้มแบบที่เราคิดไว้จริงมั้ย?
“ถ้าขับประจำเราว่า มันไม่คุ้มหรอก งานแบบนี้มันใช้เวลามากทั้งตอนรออาหารแล้วก็ตอนไปส่ง คนที่คุ้มจริง ๆ คือ ลูกค้า เพราะแต่ละออเดอร์ที่เราได้ มันคือออเดอร์ที่พี่คนขับมอเตอร์ไซค์ไม่รับบ้าง ออเดอร์หลักพันบาทบ้าง แต่ค่าส่งคือหลักสิบ เราว่าการเอารถยนต์เข้าร่วมในเกมการแข่งขันด้านการรับ-ส่งอาหารเนี่ย ไม่ใช่ทางเลือกที่จะทำรายได้คุ้มค่าเท่ากับการรับ-ส่งผู้โดยสารหรอก แต่สำหรับตัวเราเอง ด้วยเรื่องของ ‘เวลา’ และ ‘ความต้องการเงิน’ มันช่วยไม่ได้ เราก็จำเป็นต้องเลือกเปิดบริการรับ-ส่งอาหาร พร้อมไปกับการรับ-ส่งคน บางทีก็มีรับ-ส่งพัสดุส่งของบ้าง ไม่งั้นถ้าเกิดเรารอรับคนอย่างเดียวสามชั่วโมงไม่มีคนเลย เราจะทำไงอะ สู้เรารับ-ส่งอาหารไปสามชั่วโมงอาจจะได้มาซักร้อยกว่าบาทน่าจะดีกว่า
แต่รถยนต์มันมีข้อเสียอย่างหนึ่งที่สำคัญอย่างหนึ่งคือ ถ้ารถติดมันไปไหนไม่ได้เลย ก็ติดกันอยู่แบบนั้นทั้งคนขับและอาหาร ลูกค้าบางคนเขาก็จะกลัวว่าอาหารจะมาช้า ขอให้เรายกเลิก ซึ่งถ้าเราทำ ดาวของเราก็ลด ระบบก็จะส่งงานก็มาหาเราน้อยลง คือ ความเสี่ยงตรงจุดนี้มันเยอะมาก เราก็กลัวเหมือนกัน กลัวพอ ๆ กับทางเข้าบ้านลูกค้า รถยนต์เข้าไปส่งไม่ได้ ซึ่งเจอมาแล้ว ถามว่าทำยังไง ก็คือจอดรถให้ใกล้ที่สุด แล้วก็เดินไปส่งให้ลูกค้าเอง
แล้วเราได้อะไร?
การเอารถยนต์มารับ-ส่งอาหารเนี่ย ถามว่าได้อะไรมั้ยนอกจากค่าส่ง จริง ๆ มันก็มีอินเซนทีฟนะ สำหรับคนที่เอารถยนต์มารับ-ส่งอาหารหรือสินค้าโดยเฉพาะเลย มันเหมือนโบนัสที่ถ้าเราทำได้ เราได้เงินพิเศษเพิ่ม ซึ่งเราได้มาบ่อยพอสมควร เพราะด้วยความที่เราเห็นเงินพิเศษตรงนี้ บวกกับเราสังเกตว่า ออเดอร์เรามันมีแต่ออเดอร์ใหญ่ ๆ เราเลยเติมเงินเข้ากระเป๋าเอาไว้เยอะ รับงานใหญ่ในวันที่มีอินเซนทีฟนี้ เราก็เก็บโบนัสไป ถ้าเราทำได้มันก็เข้าใกล้เป้าหมายเดิมของเรา อาจจะไม่เท่าเดิม แต่ก็พอได้
ค่าข้าวกับค่าน้ำมัน ซึ่งเราก็ยังยืนยันนะว่า รับ-ส่งคนคุ้มกว่า ฮ่า ๆ
อืม...แล้วอีกอย่างที่ได้ ถ้าเล่าไปมันจะดูโลกสวยหน่อยปะนะ คือ เราขอตอบเป็นข้อ ๆ แล้วกัน ข้อแรกเลย คือ เราได้เรียนรู้จากงานนี้ ซึ่งมันเยอะนะ เยอะพอที่เราจะเอามาเรียกมันว่า ‘งานลูกจ้างชั่วคราวบนแพลตฟอร์ม’ แบบที่เราเรียกไปตอนแรกเลย มันคืองานลูกจ้างชั่วคราวอะ ซึ่งต่อให้ไม่ทำพาร์ทไทม์ แต่ทำงานประจำ มันก็ยังจัดว่าชั่วคราวอยู่ดี เพราะมันอาจจะมีวันโชคร้ายเกิดขึ้นเมื่อไหร่ตอนไหนก็ได้ เช่น ถ้าเกิดเราพลาดทำผิดอะไรซักอย่าง หรือบางทีอาจจะแค่ระบบรวนมองว่าเราผิดก็ได้นะ สุดท้ายคือ โดนแบน โดนระงับ ซึ่งการโดนแพลตฟอร์มแบนไปซักวันสองวันเนี่ย เราอาจจะอดข้าวก็ได้ ถ้าเราไม่มีเงินเก็บหรือรายได้ประจำ มันก็คือเดือดร้อนไปเลย อีกอย่างก็เรื่องอุบัติเหตุก็รู้ๆกันอยู่แล้ว นอกจากนี้ เรื่องสวัสดิการ ถ้ามองในรายละเอียดมันก็มีอีกเยอะที่ดูเหมือนว่าจะเป็นสิทธิประโยชน์หรือความคุ้มครอง แต่ในความเป็นจริงมันมีดอกจันเล็ก ๆ ที่เป็นการยกเว้นด้วย มันต้องศึกษากันและวางแผนจัดการความเสี่ยงดีดี แต่ในมุมคนที่ต้องการเงิน ณ เวลานี้ตอนนี้ ถึงอยากจะทำมันก็อาจจะไม่มีเวลาพอจะทำก็ได้
ข้อสองคือ เราเรียนรู้ว่า ตอนที่เราไปรับบทเป็นลูกค้าพยายามอย่าจ่ายเงินสดนะ จะตัดบัตรหรือวอลเลตก็ตามถนัดตามสะดวก คืออันนี้เราขอร้องเลย ตอนเรารับงานน่ะ เราไม่ได้กลัวการโดนเทกลางทางนะ เพราะเรามีรายได้ประจำและเราบอกเลยว่าเราจะสู้ไม่ยอมแพ้ แต่เราขี้เกียจรอเงินที่เราต้องโอนเข้ากระเป๋า เพราะพอมันเป็นเงินสด เราต้องโอนเงินเข้ากระเป๋าของระบบแล้วมันนานมากกว่าเงินจะเข้ามา บางทีเงินเข้าช้า และเงินในกระเป๋ามันเหลือน้อยเรารับงานต่อลำบาก อย่าลืมว่าที่มาขับคือเงินเดือนไม่พอใช้นะ จะเอาเงินในบัญชีเติมไปเติมถี่ ๆ เงินหมดบัญชี ต้องไปหาตู้ฝากเงินอีก
อีกข้อคือ เราเรียนรู้ว่า เราอดทนรอได้นี่หว่า แต่อย่าปล่อยให้รอนานเลย อันนี้ตอนเราเป็นลูกค้าที่สั่งอาหาร เราจะกลัวมากเลยนะ กลัวพี่ ๆ เขารอเรานาน คิดดูว่าปกตินัดใคร เราสายตลอด แต่กับพวกพี่ที่ส่งอาหารเราไม่กล้าให้รอนานเลย ถ้าจะต้องให้รอ เราจะบอกเขาตลอด กลัวมาก แต่พอมาส่งอาหารเองเหมือนเวรกรรมที่ให้เพื่อนรอนาน แต่เราอดทนแล้วก็ยิ้มรับตลอดนะ งานบริการมันก็ต้องเป็นแบบนั้น แล้วก็อีกอันที่นึกออกคือ เราได้เจอร้านที่ เราคิดเอาเองนะว่าน่าจะอร่อย หรือน่ามาลอง เพราะลูกค้าบางคนเขาจะสั่งเยอะมาก แล้วสั่งจากที่ไกลมาก ๆ เราก็จะจดเอาไว้ ถ่ายรูปเอาไว้ เผื่อวันไหนผ่านมา หรือมีเงินจะลองมากินบ้าง”
อะไรที่ทำให้มีความสุขมากที่สุดตอนเราทำงานนี้?
“ทิป คำขอบคุณสดใสๆ กับดาวห้าดวงจากลูกค้าค่ะ ทั้งที่เป็นผู้โดยสาร คนสั่งอาหาร และก็ร้านอาหารเลย อ้อ อีกอย่างชัยชนะจากการทำภารกิจอินเซนทีฟ”
“ก็มีบ้างนิดหน่อย ส่วนนึงก็มีพูดไปก่อนบ้างแล้วแหละ ก็เราเองมาทำอาชีพนี้ในฐานะที่มันเป็นงานเสริม ซึ่งมีคนอีกมากที่ทำงานตรงนี้เป็นงานหลัก ก็อยากให้เขาดูแลสุขภาพด้วย อย่ามุ่งมั่นทำอินเซนทีฟจนละเลยเรื่องความปลอดภัย แล้วก็อยากให้ลูกค้าใจเย็นๆ เผื่อเวลาเอาไว้ซักหน่อยตอนสั่งอาหาร หรือเรียกรถไปรับค่ะ
แล้วก็ฝากพื้นที่โฆษณานิดนึง ช่วงนี้ทางแพลตฟอร์มสีเขียวที่เราทำอยู่มีบริการสำหรับผู้หญิงด้วย คือ บริการรับ-ส่งผู้โดยสารที่เป็นผู้หญิง โดยคนขับรถที่เป็นผู้หญิง ราคาค่าโดยสารก็คือไม่มีการคิดเพิ่มเติมค่ะ เทียบเท่าอัตราการเรียกรถปกติที่ไม่ใช่แท็กซี่หรือบริการเรียกรถทันทีนะคะ”
ก็จบไปแล้วนะสำหรับ ‘บทสัมภาษณ์ตัวเอง’ ของเรา ในฐานะ ‘ลูกจ้างชั่วคราวบนแพลตฟอร์มสีเขียว’ ที่จริงเราชอบงานเสริมนี้มากประมาณนึงเลยนะ เคยคิดจะออกจากงานประจำมาทำด้วย แต่เราว่า เราไม่ขยันพอจะทำประจำหรอก และที่สำคัญออกจากงานประจำแล้วจะเอาไรแหลก...
‘ชีวิตดอกหญ้าในป่าปูนที่วางแผนการเงินผิดพลาด’ ถ้าออกจากงานประจำ เหล่าเจ้าหนี้คงพิโรธเป็นแน่แท้
เราทดลองรีวิวงานนี้ดู เผื่อใครที่กำลังมองงานเสริม แล้วสนใจงานนี้อยู่จะได้เอาไปใช้ประกอบการตัดสินใจ (ช่วยได้มั้ยไม่รู้นะ) ถ้าจะทำช่วงโควิดก็ดูแลตัวเองดีดีด้วย เพราะงานนี้ก็เสี่ยงเยอะมากอยู่เหมือนกัน อย่างที่บอกเราไม่กล้าเรียกมันว่ารีวิวเลย เพราะเราคิดว่าเรายังเรียนรู้จากงานนี้ไม่สุด เราก็เลยเรียกมันว่า ทดลองรีวิว ถ้าเกิดได้เรียนรู้อะไรเพิ่มก็อาจจะเอามาบอกเล่าต่อเป็นตอนๆ ทีหลังอีกที ส่วนใครที่เป็นลูกค้าของแพลตฟอร์มนี้ก็หวังใจว่า สักวันจะได้ให้บริการกันนะคะ
ฝากติดตามบทความและงานถ่ายภาพของเราด้วยที่ Facebook Page และ Blockdit ในชื่อเดียวกันว่า “Kappuccino” ค่ะ
แม้ว่านานๆ เราจะออกงานมาสักชิ้นนึงก็เถอะ โดยติดตามในที่นี้คือ ติดตามแบบตามอ่านตามชม รวมถึงตามเราให้ทำงานใหม่ๆ หรือขุดงานที่ดอง ออกมาลงบ้างอะไรทำนองนี้ด้วยนะคะ
รักค่ะ
โฆษณา