3 ก.ค. 2021 เวลา 13:16 • ความคิดเห็น
ผมก็เป็นโรควิตกกังวล ซึมเศร้า และโรคทางจิตเวชที่ทำให้เกิดอาการเกร็งคล้ายคนง่อยเวลาเครียด(อาการนี้ชื่อว่า Chorea dance สามารถไปค้นในกูเกิ้ลดูได้นะแต่โรคที่ผมเป็นจริงๆคือ Dissociative motor disorder) เป็นๆหายๆวันละเกือบ 20 ครั้ง จนโดนเพื่อนบูลลี่ ครูบูลลี่(เหตุการณ์ตั้งแต่ประถม-มัธยมปลาย)
จนทนไม่ไหว หาหมอตรวจโรคทั้ง อายุรกรรม แสกนสมอง ตรวจด้านจักษุวิทยา สุดท้ายไม่พบสาเหตุ จนเค้าโยนมาแผนกจิตเวช ในที่สุดเลยรู้ว่าเรามีปัญหาด้านอารมณ์ เป็นโรคทางจิตเวชแหละ พอรู้สาเหตุก็ทานยาสม่ำเสมอ จนควบคุมอาการของโรคได้และไม่มีอาการของโรคกำเริบมานานแล้วครับ ปัจจุบันเรียนจบปริญญาตรีแล้วครับ ^^
แต่ผลจากการที่ดื้อ เคยหยุดยาเอง/ทานยาไม่สม่ำเสมอ เพราะโดนเพื่อน/ครูล้อ ทำให้ต้องเพิ่มโดสยาไปเรื่อยๆ และอาการของโรคก็รุนแรงจนทำให้ต้องทานยาตลอดชีวิต เพื่อคุมโรคไม่ให้กำเริบ
สิ่งที่จะบอกได้ก็คือ โรคทางจิตใจ มันเป็นกันได้ทุกคน ยิ่งเสียใจมาก ร้องไห้มาก ความเศร้าก็จะกัดกินเนื้อสมองมาก และถ้ายิ่งเครียดมากจนเนื้อสมองถูกทำลายไปมากๆ สมดุลของอารมณ์ก็จะแปรปรวน สุดท้ายก็จะพัฒนาไปเป็นโรคทางจิตใจอย่างถาวร
ผมยังจำวันแรกที่พบหมอได้เลยครับ หมอบอกว่า เราไม่ได้เป็นบ้านะ เราแค่ป่วยทางอารมณ์ ดังนั้นเมื่อป่วยก็ต้องทานยา อย่าไปแคร์คนที่เขารังเกียจเรา ให้เราแคร์คนที่รักเราจะดีกว่า อยากให้เห็นคุณค่าในตัวเอง ทานยาเคร่งครัด โรคนี้ถ้ารู้เร็วรักษาเร็วมีโอกาสหายขาด แต่หากปล่อยให้มันลุกลามมากๆ เราจะกลายเป็นคนที่มีความสุขน้อยกว่าคนอื่น หายเศร้าช้ากว่าคนอื่น จนสุดท้ายก็ต้องทานยาไปตลอดชีวิตแบบผม
อยากฝากไว้ให้คิดนะ ชีวิตของเรามีค่าเกินกว่าที่จะมาแคร์เสียงคนรอบตัว เป็นตัวของตัวเอง ทำในสิ่งที่คิดว่าดี สิ่งที่คิดว่าทำไปแล้วเราจะไม่เสียใจทีหลัง และที่สำคัญสิ่งๆนั้นต้องไม่ทำให้ใครเดือดร้อน แค่นี้เป็นพอ
ขอให้คุณสู้ๆนะ เพราะความเจ็บปวดทั้งหลายในโลกนี้ นอกจากตัวเราแล้ว ไม่มีใครเข้าใจเราได้อย่างแท้จริงหรอก แต่ก็มีเพียงบางสิ่งที่จะพอจะบอกให้ได้เป็นแนวทางสำหรับคุณ คือข้อความทั้งหมดที่ได้เล่าไปครับ ประสบการณ์ทุกอย่างที่เขียนมามาจากการลองผิดลองถูกทั้งชีวิตของผม อยากให้อ่านทบทวนให้ดี
อย่ารอจนสายเกินไปแบบผมก็แล้วกัน และอยากให้ใช้ข้อมูลนี้ให้เป็นประโยชน์กับตัวคุณเองด้วยนะ เพราะผมไม่อยากให้คนอื่นต้องมาซ้ำรอยลองถูกลองผิดด้วยตัวเองแบบผม
โฆษณา