4 ก.ค. 2021 เวลา 13:59 • ปรัชญา
เศรษฐกิจพอเพียง
เราทุกคนรู้จักคำว่าเศรษฐกิจพอเพียงดีอยู่แล้ว แต่ความหมายที่แท้จริงของเศรษฐกิจพอเพียงหละควรเป็นเช่นไร เราลองมาดูว่าพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดช ในหลวงรัชกาลที่ 9 ท่านได้ให้พระบรมราโชวาทและพระราชดำรัสเกี่ยวกับเศรษฐกิจพอเพียงไว้เช่นไร
"การใช้จ่ายโดยประหยัดนั้น จะเป็นหลักประกันความสมบูรณ์พูนสุขของผู้ประหยัดเองและครอบครัว ช่วยป้องกันความขาดแคลนในวันข้างหน้า การประหยัดดังกล่าวนี้ จะมีผลดีไม่เฉพาะแก่ผู้ประหยัดเท่านั้น ยังจะเป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติด้วย"
พระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เนื่องในวันขึ้นปีใหม่ 31 ธันวาคม 2502
"...ความจริงเคยพูดเสมอในที่ประชุมอย่างนี้ว่า การจะเป็นเสือนั้นไม่สำคัญ สำคัญอยู่ที่เรามีเศรษฐกิจแบบพอมีพอกิน แบบพอมีพอกินนั้นหมายความว่า อุ้มชูตัวเองได้ ให้มีพอเพียงกับตนเอง อันนี้ก็เคยบอกว่า ความพอเพียงนี้ไม่ได้หมายความว่า ทุกครอบครัวจะต้องผลิตอาหารของตัว จะต้องทอผ้าใส่เอง อย่างนั้นมันเกินไป แต่ว่าในหมู่บ้านหรือในอำเภอจะต้องมีความพอเพียงพอสมควร บางสิ่งบางอย่างที่ผลิตได้มากกว่าความต้องการก็ขายได้ แต่ขายในที่ไม่ห่างไกลเท่าไร ไม่ต้องเสียค่าขนส่งมากนัก อย่างนี้ท่านนักเศรษฐกิจต่าง ๆ ก็มาบอกว่าล้าสมัยจริง อาจจะล้าสมัย คนอื่นเขาต้องมีเศรษฐกิจ ที่ต้องมีการแลกเปลี่ยน เรียกว่าเศรษฐกิจการค้า ไม่ใช่เศรษฐกิจความพอเพียง เลยรู้สึกว่าไม่หรูหรา แต่เมืองไทยเป็นประเทศที่มีบุญอยู่ว่า ผลิตให้พอเพียงได้…"
"...การกู้เงินนี้นำมาใช้ในสิ่งที่ไม่ทำรายได้นั้นไม่ดี อันนี้เป็นข้อสำคัญ เพราะว่าถ้ากู้เงินและทำให้มีรายได้ก็เท่ากับจะใช้หนี้ได้ ไม่ต้องติดหนี้  ไม่ต้องเดือดร้อน ไม่ต้องเสียเกียรติ กู้เงินนั้น เงินจะต้องให้เกิดประโยชน์ มิใช่กู้สำหรับไปเล่นไปทำอะไรที่ไม่เกิดประโยชน์..."
"...เมื่อปี 2517 ถึง 2541 ก็ 24 ปีใช่ไหม วันนั้นได้พูดว่า เราควรจะปฏิบัติให้พอมีพอกิน พอมีพอกินก็แปลว่าเศรษฐกิจพอเพียงนั่นเอง ถ้าแต่ละคนมีพอมีพอกินก็ใช้ได้  ยิ่งถ้าทั้งประเทศพอมีพอกินก็ยิ่งดีใหญ่…"
"…สมัยก่อนนี้พอมีพอกิน มาสมัยนี้ชักจะไม่พอมีพอกิน จึงต้องมีนโยบายที่จะทำเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อที่จะให้ทุกคนพอเพียงได้ ให้พอเพียงนี้ก็หมายความว่า มีกิน มีอยู่ ไม่ฟุ่มเฟือย ไม่หรูหราก็ได้ แต่ว่าพอ แม้ว่าบางอย่างอาจจะดูฟุ่มเฟือย แต่ถ้าทำให้มีความสุข ถ้าทำได้ก็สมควรที่จะทำ สมควรที่จะปฏิบัติ อันนี้ก็ความหมายอีกอย่างของเศรษฐกิจพอเพียง หรือระบบพอเพียง …"
"... แต่ว่าพอเพียงนี้มีความหมายกว้างขวางยิ่งกว่านี้อีก คือ คำว่าพอ ก็เพียงพอเพียงนี้ก็พอ ดังนั้นเอง คนเราถ้าพอใจในความต้องการ ก็มีความโลภน้อย เมื่อมีความโลภน้อยก็เบียดเบียนผู้อื่นน้อย..."
"...มีความคิดว่าทำอะไรต้องพอเพียง หมายความว่า พอประมาณ ไม่สุดโต่ง ไม่โลภอย่างมาก คนเราก็อยู่เป็นสุข พอเพียงนี้อาจจะมีมาก  อาจจะมีของหรูหราก็ได้ แต่ว่าต้องไม่ไปเบียดเบียนคนอื่น ต้องให้พอประมาณตามอัตภาพ พูดจาก็พอเพียง ทำอะไรก็พอเพียง ปฏิบัติตนก็พอเพียง..."
"… ความพอเพียงนี้ก็แปลว่าความพอประมาณ และความมีเหตุผล…"
พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา วันที่ 4 ธันวาคม 2540
"...คนเราถ้าพอในความต้องการ ก็มีความโลภน้อย เมื่อมีความโลภน้อย ก็เบียดเบียนคนอื่นน้อย ถ้าทุกประเทศมีความคิด อันนี้ไม่ใช่เศรษฐกิจ มีความคิดว่าทําอะไรต้องพอเพียง หมายความว่าพอประมาณ ไม่สุดโต่ง ไม่โลภอย่างมาก คนเราก็อยู่เป็นสุข..."
"...ให้พอเพียงนี้ก็หมายความว่า มีกินมีอยู่ ไม่ฟุ่มเฟือย ไม่หรูหราก็ได้ แต่ว่าพอ แม้บางอย่างอาจจะดูฟุ่มเฟือย แต่ถ้าทำให้มีความสุข ถ้าทำได้ก็สมควรที่จะทำ สมควรที่จะปฏิบัติ อันนี้ก็หมายความอีกอย่างของเศรษฐกิจ หรือระบบพอเพียง...พอเพียงนี้อาจจะมีมาก อาจจะมีของหรูหราก็ได้ แต่ว่าต้องไม่เบียดเบียนคนอื่น ต้องให้พอประมาณตามอัตภาพ พูดจาก็พอเพียง ทำอะไรก็พอเพียง ปฏิบัติตนก็พอเพียง..."
"เศรษฐกิจพอเพียง...จะทำความเจริญให้แก่ประเทศได้ แต่ต้องมีความเพียร แล้วต้องอดทน ต้องไม่ใจร้อน ต้องไม่พูดมาก ต้องไม่ทะเลาะกัน ถ้าทำโดยเข้าใจกัน เชื่อว่าทุกคนจะมีความพอใจได้..."
พระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา วันที่ 4 ธันวาคม 2541
"เศรษฐกิจพอเพียงเป็นเสมือนรากฐานของชีวิต รากฐานความมั่นคงของแผ่นดิน เปรียบเสมือนเสาเข็ม ที่ถูกตอกรองรับบ้านเรือนตัวอาคารไว้นั่นเอง สิ่งก่อสร้างจะมั่นคงได้ก็อยู่ที่เสาเข็ม แต่คนส่วนมากมองไม่เห็นเสาเข็มและลืมเสาเข็มเสียด้วยซ้ำไป"
พระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร จากวารสารชัยพัฒนาประจำเดือนสิงหาคม 2542
"…ฉันพูดเศรษฐกิจพอเพียงความหมายคือ ทำอะไรให้เหมาะสมกับฐานะของตัวเอง คือทำจากรายได้ 200-300 บาท ขึ้นไปเป็นสองหมื่น สามหมื่นบาท คนชอบเอาคำพูดของฉัน เศรษฐกิจพอเพียงไปพูดกันเลอะเทอะ เศรษฐกิจพอเพียง คือทำเป็น Self-Sufficiency มันไม่ใช่ความหมาย ไม่ใช่แบบที่ฉันคิด ที่ฉันคิดคือเป็น Self-Sufficiency of Economy เช่น ถ้าเขาต้องการดูทีวี ก็ควรให้เขามีดู ไม่ใช่ไปจำกัดเขาไม่ให้ซื้อทีวีดู เขาต้องการดูเพื่อความสนุกสนาน ในหมู่บ้านไกล ๆ ที่ฉันไป เขามีทีวีดูแต่ใช้แบตเตอรี่ เขาไม่มีไฟฟ้า แต่ถ้า Sufficiency นั้น มีทีวีเขาฟุ่มเฟือย เปรียบเสมือนคนไม่มีสตางค์ไปตัดสูทใส่ และยังใส่เนคไทเวอร์ซาเช่ อันนี้ก็เกินไป…"
พระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ณ พระตำหนักเปี่ยมสุข วังไกลกังวล วันที่ 17 มกราคม 2544
"…การอยู่พอมีพอกิน ไม่ได้หมายความว่า ไม่มีความก้าวหน้า มันจะมีความก้าวหน้าแค่พอประมาณ ถ้าก้าวหน้าเร็วเกินไป ไปถึงขึ้นเขายังไม่ถึงยอดเขา หัวใจวาย แล้วก็หล่นจากเขา ถ้าบุคคลหล่นจากเขา ก็ไม่เป็นไร ช่างหัวเขา แต่ว่าถ้าคนคนเดียวขึ้นไปวิ่งบนเขา แล้วหล่นลงมา บางทีทับคนอื่น ทำให้คนอื่นต้องหล่นไปด้วย อันนี้เดือดร้อน…"
พระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร วันที่ 30 พฤษภาคม 2544
"...ในเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง พอเพียงคืออะไร ไม่ใช่เพียงพอ คือว่า ไม่ได้หมายความว่า ให้ทำกำไรเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้นเอง ทำกำไรก็ทำ ถ้าเราทำกำไรได้ดี มันก็ดี แต่ว่าขอให้มันพอเพียง ถ้าท่านเอากำไรหน้าเลือดมากเกินไป มันไม่ใช่พอเพียง…"
"...ฟังว่ารัฐบาลหรือเมืองไทย ประชาชน มีเงินเยอะ มีเงินเกิน ก็ใช้สิ เขาหาว่าเราเศรษฐกิจพอเพียง คำว่า พอเพียง ถ้ามีเงินก็ต้องใช้ ไม่ใช่ขี้เหนียว ถ้ามีเงินไม่ต้องขี้เหนียว ซื้อไปเถอะ อะไรก็ตาม เครื่องบิน เรือ รถถัง ซื้อ ถ้ามีเงินเยอะ ก็ถือว่าสนับสนุนให้จ่าย เดี๋ยวนี้เขาบอกว่า ในหนังสือพิมพ์เห็นรึเปล่า ว่าเขาสนับสนุนให้จ่าย ถ้ามีก็จ่าย แต่ถ้าไม่มีก็ระงับหน่อย ..."
พระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา วันที่ 4 ธันวาคม 2550
จากพระบรมราโชวาทและพระราชดำรัสเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง เราจะเห็นได้ว่าคำว่าพอเพียงนี้หมายถึง จะทำอะไรก็ควรพอดี ไม่สุดโต่งจนเกินไป เวลามีรายได้ก็ควรจะประหยัดมีเก็บออมไว้ส่วนนึงยามลำบาก ชีวิตมีปัญหาเราก็จะได้มีเงินออมนี้มาช่วย ในขณะเดียวกันถ้าเรามีมากหลังจากออมแล้ว เราก็ใช้จ่ายได้ พอเพียงไม่ใช่ใช้จ่ายไม่ได้อย่างที่ในหลวงร.9ท่านได้ตรัสไว้ ถ้ามีเหลือมาก เราอยากจะซื้อของหรูหรา ของฟุ่มเฟือย แล้วเป็นสิ่งที่เราชอบ ทำให้เรามีความสุขก็ซื้อได้ทำได้ แต่ถ้าซื้อมาแล้วทำใหัตัวเองเดือดร้อน คนรอบตัวเดือดร้อน ต้องไปกู้หนี้ยืมสินหยิบยืมเขามาแล้วมาเดือดร้อนภายหลังก็ไม่ใช่ อันนี้แทนที่จะซื้อมาแล้วมีความสุขกลายเป็นทุกข์ซะป่าวๆแถมบางคนไปหยิบยืมมาไม่มีคืนเดือดร้อนอีก เพราะฉะนั้นถ้ามีเหลือจะซื้ออะไรให้มีความสุขก็ได้ แต่ถ้ามีไม่เยอะก็ซื้อแต่พอดีๆจะได้ไม่เดือดร้อนตนเองและผู้อื่น ทีนี้เรามาลองดูตัวอย่างเพื่อเป็นแนวทางเป็นแนวคิดสำหรับคนในสถานะต่างๆของสังคมกันครับ
ตัวอย่างที่1 ถ้าบุคคลนั้นเป็นเกษตกร ชาวนาชาวไร่
ผู้ที่เป็นเกษตรกรส่วนใหญ่แล้วก็คือปลูกเพื่อรับประทาน แล้วก็ขายผลิตภัณฑ์ด้วย หลังจากขายเสร็จเราได้รายได้มา เราก็นำรายได้นั้นมาใช้จ่ายภายในครอบครัวกับของกับสิ่งที่จำเป็น แล้วก็เอาไปลงทุนเกี่ยวกับการเพาะปลูกต่างๆ ถ้าเหลือก็ออมไว้บางส่วน ในขณะเดียวกันถ้าอยากจะขยายเกี่ยวกับที่นาการเพาะปลูก จำเป็นต้องไปกู้เงินก็ควรจะเป็นการกู้เพื่อมาทำการเกษตร หรือสิ่งที่จะอำนวยความสะดวกแต่เกี่ยวกับอาชีพเกษตรของเราด้วย เช่นซื้อรถก็ควรเป็นรถกระบะ เอาไว้ใช้ขับในครอบครัวแต่ในขณะเดียวกันก็เอาไว้ประกอบอาชีพขนส่งสินค้าเกษตรของเราได้ด้วย ไม่ใช่กู้มาซื้อรถเก๋งราคาแพงแต่รถกระบะที่จะใช้ขนส่งก็ยังไม่มี แต่ถ้าสินค้าเราขายได้ดีเรามีเงินเหลือเราจะไปซื้อรถเก๋งมาใช้เพิ่มเพื่อนั่งสบายเพื่อความชอบส่วนตัวก็ทำได้ เพราะฉะนั้นถ้ามีเงินเหลือแล้วเราจะซื้อจะทำอะไร อาจจะดูหรูหรา ดูฟุ่มเฟือยบ้างแต่ไม่ทำให้เราเดือดร้อนก็ทำได้
ตัวอย่างที่2 ถ้าบุคคลนั้นเป็นคนทำงานoffice เป็นพนักงานเงินเดือน ชนชั้นกลางทั่วไป
สำหรับคนทำงานได้รับเงินเดือนมา คุณก็ควรเก็บออมไว้ก่อน แล้วเหลือก็ค่อยไปใช้จ่าย ส่วนสัดส่วนการออมของใครจะมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับรายได้ของแต่ละคน หรือบางคนอาจจะใช้จ่ายไปก่อนแต่สิ้นเดือนถ้ามีเงินเหลือก็ควรจะออมเอาไว้ ไม่ใช่เอาไปใช้จ่ายต่อไม่ออมเลย ทำไมต้องออม เราออมเผื่อไว้ถ้าเกิดมีเหตุการณ์อะไรฉุกเฉินเกิดขึ้นกับเรา เช่น ต้องเข้ารพ. ตกงาน ซ่อมรถ ซ่อมบ้าน เราจะได้มีไม่ต้องเดือดร้อนต่อตัวเองและผู้อื่น ไม่ต้องไปหยิบยืมใคร หรือบางคนอาจจะออมเพื่อความสุขของตนเช่นออมเพื่อเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศ ซื้อของให้ตัวเอง ซื้อบ้าน ซื้อรถ เราก็จะได้ใช้เงินเราไม่ต้องไปหยิบยืมคนอื่น ถ้ายืมแล้วมีคืนก็ดีไปไม่มีชีวิตก็แย่ เรื่องบัตรเครดิตก็เหมือนกัน ถ้าเราใช้แบบพอดีๆซื้อของเท่าที่จำเป็น เท่าที่จ่ายคืนไหวก็ดีไป ไม่ใช่อยากได้ไปซื้อของหรูหรา ฟุ่มเฟือยเกินตัวถึงเวลาไม่มีจ่าย ต้องขึ้นโรงขึ้นศาลเสียประวัติตัวเองอีก เผลอๆไปเดือดร้อนคนอื่นที่มาช่วยด้วย อันนี้ก็เช่นกันเราต้องอยู่อย่างพอเพียงใช้จ่ายในสิ่งที่ตนจ่ายไหวไม่ใช่เกินตัวเกินรายได้ แล้วสุดท้ายชีวิตก็มีปัญหา อันนี้ก็ไม่ควร แต่ถ้าเรามีเงินเหลือมีรายได้มาก อ้นนี้จะใช้จ่ายอย่างไรซื้อของแพง หรูหราแค่ไหนก็ไม่มีใครว่าเราได้
ตัวอย่างที่3 คนรวย เจ้าของธุรกิจใหญ่ๆต่างๆ
หลายคนอาจจะคิดว่าทำไมคนรวยต้องพอเพียงก็ในเมื่อเขามีเงินมากมาย เขาจะซื้อจะจ่ายอะไรก็ได้ จริงอยู่คนรวยมีอำนาจทางการเงินจะซื้อจะจ่ายของหรูหรา ของฟุ่มเฟือยได้ง่ายกว่าคนกลุ่มอื่นๆแน่นอน อันนี้ไม่ผิดเลย แต่คนรวยก็ต้องพอเพียงในเรื่องการออม ต้องออมไว้เผื่อวันหนึ่งมีเรื่องไม่คาดฝัน เช่นคนที่เป็นเสาหลักในบ้านเป็นอะไรขึ้นมา แล้วคนอื่นดูแลกิจการดูแลสิ่งต่างๆได้ไม่ไหว หรือเกิดวิกฤตเศรษฐกิจรุนแรง ธุรกิจล้ม ถ้ามีเงินเก็บเงินออมตรงนี้ก็ยังประคองตัวไปได้ ในขณะเดียวกันการลงทุนก็เช่นกัน ควรลงทุนพอเพียง ลงทุนในสิ่งที่เป็นไปได้ ดูแลได้ ไม่เกินตัว แล้วยิ่งถ้าต้องกู้เงินจำนวนมากมาลงทุนยิ่งต้องคิดให้ดี เพราะถ้าทุกอย่างเป็นไปตามที่เราคิดก็ไม่เป็นไร กิจการก็ดีรุ่งเรือง แต่ถ้าไม่ใช่ เงินที่ไปกู้มาต้องคืนเขา กิจการก็ย่ำแย่ ชีวิตก็จะเป็นปัญหาหนักได้ แต่ถ้าเราลงทุนแบบพอเพียงมีเงินออมและรู้ว่าควรลงทุนอยู่ในscope เท่าไร ก็จะช่วยให้ความเสี่ยงและปัญหาที่จะเกิดมาภายหลังเป็นไปได้ยาก
ทั้งหมดนี้ก็คือเกี่ยวกับเศรษฐกิจพอเพียงในแนวคิดของผมตามอย่างในหลวงรัชกาลที่9 ท่านได้สอนได้ชี้แนะแนวทางให้พวกเราไว้ ก็หวังว่าทุกคนจะนำแนวคิด แนวทางไปปรับใช้กับชีวิตของคนตามหลักการเศรษฐกิจพอเพียง แล้วช่วยให้ทุกคนมีชีวิตที่ดีขึ้น ดำเนินชีวิตอย่างมีความสุขครับ
Cr. รูปภาพประกอบ พระราชดำรัส พระบรมราโชวาท - Kapook.com
โฆษณา