5 ก.ค. 2021 เวลา 05:14 • หุ้น & เศรษฐกิจ
เซียน สุระ - พงศ์ศักดิ์ แห่งค่าย COM7 ฟันกำไร 300 ล้านบาทเพียงข้ามคืน ด้วยการประกาศชื่อBiglotใน 4 หุ้น
2 แกนนำแห่ง บริษัท คอมเซเว่น จำกัด (มหาชน) หรือ COM7 อย่างนาย สุระ คณิตทวีกุล ผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับหนึ่งของ COM7 และนาย พงศ์ศักดิ์ ธรรมธัชอารี ผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับสอง ที่ดูเหมือนจะเป็นฤดูกาลช็อปของทั้ง 2 ราย เพราะในช่วงครึ่งปีแรก 2564 มีการเข้าไปซื้อ Big Lot หลายหลักทรัพย์ และหุ้นที่ทั้ง 2 ราย เข้าไปมีส่วนร่วมเมื่อไหร่นั้น ราคาหุ้นชอบปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่น จะมีอะไรบ้างไปดูกันเลย
เริ่มจากเมื่อวันที่ 14 ม.ค. 64 บริษัท ชโย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CHAYO ได้รายงานว่า นายสุขสันต์ ยศะสินธุ์ ได้ทำการขายหุ้นสามัญของ CHAYO จำนวน 67 ล้านหุ้น (คิดเป็น 9.5% ของหุ้นที่ชำระแล้วหรือมีสิทธิออกเสียง) ผ่านตลาดหลักทรัพย์ฯ (Big lot) ให้กับนายสุระ คณิตทวีกุล จำนวน 33,500,000 หุ้น คิดเป็น 4.75% ของหุ้นที่ชำระแล้ว และนพ.พงศ์ศักดิ์ ธรรมธัชอารี จำนวน 33,500,000 หุ้น คิดเป็น 4.75% ของหุ้นที่ชำระแล้ว ในราคาเฉลี่ย 7.65 บาท ซึ่งทำรายการเมื่อวันที่ 13 มกราคม 2564
1
ทั้งนี้ในวันเดียวกันทำให้ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่น โดยทำจุดสูงสุดของวันที่ระดับ 8.95 บาท ก่อนจะปิดการซื้อขายของวันที่ระดับ 8.55 บาท เพิ่มขึ้น 2.40% จากราคาปิดก่อนหน้า และเพิ่มขึ้น 11.76% จากต้นทุนซื้อหุ้น เท่ากับว่าหากมีการขายหุ้นทั้งหมด 67 ล้านหุ้น ในราคาปิดการซื้อขายดังกล่าวจะได้รับเงินรวม 572.85 บาท หรือมีกำไรราว 60.30 ล้านบาท เมื่อเทียบกับต้นทุนการซื้อหุ้นที่ 512.55 ล้านบาท
หากนับจากวันที่ 14 ม.ค. 64 จนปิดครึ่งปีแรกของปี 64 ราคาหุ้นปิดที่ 14.20 บาท เพิ่มขึ้นสูงถึง 81.40% และเพิ่มขึ้น 85.62% จากต้นทุนซื้อหุ้น
อย่างไรก็ตามล่าสุด ภาพรวมข้อมูลผู้ถือหุ้น ณ วันที่ 11 มิ.ย.2564 พบว่า นาย สุระ คณิตทวีกุล ถือหุ้นจำนวน 20,502,400 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 2.42% ขณะที่นาย พงศ์ศักดิ์ ธรรมธัชอารี มีสัดส่วนการถือหุ้นจำนวน 21,404,080 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 2.52%
ต่อมาเมื่อวันที่ 25 พ.ค.ที่ผ่านมา พบว่า บริษัท ทริพเพิล ไอ โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ III โดยนายพงศ์ศักดิ์ ธรรมธัชอารี เข้าซื้อหุ้นจำนวน 15,000,000 หุ้น และนายสุระ คณิตทวีกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เข้าซื้อหุ้นจำนวน 15,000,000 หุ้น ในราคาเฉลี่ยหุ้นละ 8 บาท
เมื่อมีข่าวออกมาเช่นเดียวกัน ราคาหุ้น III ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่นเช่นกัน โดยทำราคาสูงสุดของวันที่ระดับ 9.40 บาท ก่อนจะปิดการซื้อขายของวันที่ระดับ 9.25 บาท เพิ่มขึ้น 5.11% จากราคาปิดก่อนหน้า หากมีการขายหุ้นทั้งหมด 30 ล้านหุ้น ในราคาปิดการซื้อขายดังกล่าวจะได้รับเงินรวม 277.50 บาท หรือมีกำไรราว 37.50 ล้านบาท เมื่อเทียบกับต้นทุนการซื้อหุ้นที่ 240 ล้านบาท
และเมื่อนับจากวันดังกล่าว จนปิดครึ่งแรกของปี ราคาหุ้นปิดที่ 12.60 บาท เพิ่มขึ้น 43.81% นับจากวันที่ 25 พ.ค.ที่ผ่านมา และเพิ่มขึ้น 57.50% จากต้นทุนซื้อหุ้น
เวลาผ่านไปไม่นานก็มีข่าวเข้าซื้อหุ้น GUNKUL แต่ไม่มีรายงานออกมาชัดเจนจากตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่าทั้งมีการเข้าซื้อหุ้นทั้งหมดกี่หุ้น อย่างไรก็ตาม มีกระแสข่าวออกมาว่า นาย สุระ คณิตทวีกุล เข้าทำรายการซื้อหุ้น GUNKUL ทำให้ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่น โดยจากประเด็นเมื่อวันที่วันที่ 16 มิ.ย.64 มีการซื้อขายหุ้นขนาดใหญ่ จำนวน 99.57 ล้านหุ้น ราคาเฉลี่ยหุ้นละ 4 บาท ซึ่งนายสุระ คณิตทวีกุล ก็ออกมายอมรับผ่านสื่อในภายหลังว่าตนเป็นคนเข้าทำรายการจริง
อย่างไรก็ตามจากข้อมูล Big lot ดังกล่าว ทำให้มีข่าวออกสื่อเมื่อวันที่ 17 มิ.ย.64 แม้ราคาหุ้นจะปิดในแดนลบ แต่พอผ่านมาวันที่ 18 มิ.ย.64 ราคาหุ้นทำจุดสูงสุดที่ 4.88 บาท และทำราคาปิดการซื้อขายที่ราคาสูงสุดดังกล่าว โดยหากมีการขายหุ้นทั้งหมด 99.57 ล้านหุ้น ในราคาปิดการซื้อขายดังกล่าวจะได้รับเงินรวมราว 485 ล้านบาท หรือมีกำไรราว 87 ล้านบาท เมื่อเทียบกับต้นทุนการซื้อหุ้นราว 398 ล้านบาท
โดยความเคลื่อนไหวราคาหุ้นในวันที่ 18 มิ.ย.64 พบว่า ทำจุดสูงสุดของวันที่ 4.88 บาท ก่อนจะปิดการซื้อขายของวันที่ราคาสูงสุด 4.88 บาท เพิ่มขึ้น 14.55 อย่างไรก็ตามหากนับจากวันที่ 18 มิ.ย.64 จนถึงปิดครึ่งปีแรก ราคาหุ้นปิดที่ 4.72 บาท เพิ่มขึ้น 10.80% นับจากวันที่ 18 มิ.ย.64 และเพิ่มขึ้น 18%จากต้นทุนซื้อหุ้น
และล่าสุดวันที่ 30 มิ.ย. 64 บริษัท เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟโลจิสติกส์ จํากัด (มหาชน) หรือ JWD รายงานต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่า ขอแจ้งการซื้อขายหุ้นของ JWD ตามที่ได้ปรากฏในรายการซื้อขายหุ้น JWD ผ่านระบบการซื้อขายของตลาดหลักทรัพย์บนกระดานรายใหญ่ (Big Lot Board) จํานวนรวม 49,000,000 หุ้น หรือคิดเป็นร้อยละ 4.80 ของหุ้นที่จําหน่ายได้แล้วทั้งหมดของ JWD ทำให้ราคาหุ้นในวันดังกล่าวปรับตัวเพิ่มขึ้นทำจุดสูงสุดที่ 16.60 บาท ก่อนจะปิดการซื้อขายของวันที่ 15.70 บาท เพิ่มขึ้น 10.56% จากราคาปิดก่อนหน้า
โดยรายการดังกล่าวเกิดจากการขายหุ้นโดยนายชวนินทร์ บัณฑิตกฤษดา, นางสาวอมรพรรณ บัณฑิตกฤษดา, นางสาวเสาวณีย์ อภิวันทน์โอภาศ และนางอัจฉรา นิมิตรปัญญา ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ JWD
ทั้งนี้ JWD ได้รับแจ้งจากผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ JWD ว่า การขายหุ้นใน JWD ในครั้งนี้ เป็นการเสนอขายให้กับ นายสุระ คณิตทวีกุล จํานวน 20,000,000 หุ้น หรือคิดเป็นร้อยละ 1.96 ของหุ้นที่จําหน่ายได้แล้วทั้งหมด, นายพงศ์ศักดิ์ ธรรมธัชอารี จํานวน 20,000,000 หุ้น หรือคิดเป็นร้อยละ 1.96 ของหุ้นที่จําหน่ายได้แล้วทั้งหมด, นายฤทธิรงค์ บุญมีโชติ จํานวน 6,000,000 หุ้น หรือคิดเป็นร้อยละ 0.59 ของหุ้นที่จําหน่ายได้แล้วทั้งหมด และนายนายธีรพงศ์ จันศิริจํานวน 3,000,000 หุ้น หรือคิดเป็นร้อยละ 0.29 ของหุ้นที่จําหน่ายได้แล้วทั้งหมด
อย่างไรก็ตามหากเข้าไปสำรวจในรายการซื้อขายบิ๊กล็อตตลาดหุ้นไทย เมื่อวันที่ 30 มิ.ย. 64 พบว่า มีจำนวน รวม 49,000,000 หุ้น มูลค่า 627.20 ล้านบาท ราคาเฉลี่ยหุ้นละ 12.80 บาท เท่ากับว่าจากราคาปิดการซื้อขายของวันดังกล่าวที่ 15.70 บาท เพิ่มขึ้นถึง 22.65% จากต้นทุนซื้อหุ้น
ทั้งนี้ธุรกรรมดังกล่าวมีการเผยแพร่ผ่านสื่อทันทีหลังจาก JWD แจ้งตลาดในวันที่ 30 มิ.ย. โดยหากมีการขายหุ้นทั้งหมด 40 ล้านหุ้น ในราคาปิดการซื้อขายของวันที่ 30 มิ.ย.ที่ระดับ 15.70 บาท จะได้รับเงินรวม 628 ล้านบาท หรือมีกำไรราว 116 ล้านบาท เมื่อเทียบกับต้นทุนการซื้อหุ้นราว 512 ล้านบาท
หากย้อนกลับไปเมื่อปี 2562 นาย สุระ คณิตทวีกุล ก็ได้ซื้อหุ้น MVP กว่า 12% หรือจำนวน 24 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 1.5 บาท มูลค่ารวมทั้งหมด 36 ล้านบาทโดยเป็นการทำรายการซื้อขายหุ้นผ่านระบบการซื้อขายของตลาดหลักทรัพย์บนกระดานรายใหญ่ ประจำวันที่ 21 พฤศจิกายน 2562 ดังนั้นนับตั้งแต่วันดังกล่าวเป็นต้นมา จนถึงครึ่งแรกของปี 64 ราคาหุ้น MVP อยู่ที่ 6.40 บาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงถึง 307.64% นับจากวันที่ 21 พฤศจิกายน 2562 และเพิ่มขึ้น 326.66% จากต้นทุนการซื้อหุ้น
ล่าสุดภาพรวมข้อมูลผู้ถือหุ้น ณ วันที่ 24พ.ค.2564 นาย สุระ คณิตทวีกุล ถือหุ้น MVP จำนวน 38,903,300 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 19.45% และเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 2 ของ MVP อีกด้วย
การเข้าลงทุนของนาย สุระ คณิตทวีกุล และนาย พงศ์ศักดิ์ ธรรมธัชอารี ถือว่าสร้าง sentiment เชิงบวกต่อหุ้นนั้นๆ อย่างมาก สะท้อนจากราคาหุ้นที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่น และที่แน่ๆ หากทั้ง 2 รายเทขายหุ้นออกไปทั้งหมด ในวันที่ชื่อตนเองปรากฎในสื่อเท่ากับว่าจะมีกำไรรวมกันทั้ง 4 บริษัทที่เข้าทำรายการงวดครึ่งแรก 64 กว่า 300 ล้านบาท และหลังจากนี้ต้องจับตาดูว่าทั้ง 2 รายจะถือหุ้นแต่ละตัวยาวนานแค่ไหน และจะมีการเข้าลงทุนในหุ้นตัวไหนหรือไม่ ถ้าหากมีจริงๆ จะเป็นหุ้นในมือเราหรือเปล่า?
อ้างอิงข้อมูลจาก www.set.or.th และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
ติดตามอัพเดตความรู้ทางการเงิน-การลงทุนได้ที่
.
Facebook : Wealthy Thai
โฆษณา