8 ก.ค. 2021 เวลา 09:36 • ความคิดเห็น
ศาสนา​ ทุกศาสนา มีผลกระทบต่อมุมมองการตัดสินใจ ในทุกๆเรื่องราวของชีวิต​ของคนๆหนึ่ง ในภาษาของคนไทยสมัยก่อน เราจะเรียกมุมมองการตัดสินใจทุกเรื่องในชีวิต ออกเป็นโลกทัศน์ และชีวทัศน์ ซึ่งมักถูกกำหนดโดยวัฒนธรรม, สติปัญญา, องค์​ความรู้, การปฏิสัมพันธ์​ สภาพแวดล้อม, ประสพ​การณ์, ความทรงจำ
มุมมอง​ จึงสามารถเปลี่ยนแปลงและพัฒนาได้ตลอดในแต่ละช่วงชีวิต
ศาสนาและความเชื่อนั้น​ จัดอยู่ในกลุ่มพลังที่มีอิทธิพลต่อ"มุมมอง" หรือก็คือโลกทัศน์และชีวทัศน์เช่นกัน จึงมีบทบาทมากมาย ที่ส่งผลกระทบ ทั้งต่อปัจเจกชน และ​ผลกระทบต่อสังคมในวงกว้าง
จากมุมมองของผม​ ศาสนามีบทบาทสำคัญไม่เท่ากันในทุกๆ​เชื้อชาติ​ จึงตอบคำถามข้อแรกไม่ได้ ว่าโลกมีศาสนาไปเพื่ออะไร เนื่องจากมีคำตอบเชิงลึกอยู่เป็นจำนวนมาก
ส่วนคำถามที่2. การมีชีวิตอยู่อย่างมีเพียงความเชื่อเป็นเครื่องมือนั้น ผมขอตอบว่า สามารถทำได้โดยที่ไม่จำเป็นจะต้องนำหลักคำสอนคำปฏิบัติทางศาสนามาโน้มนำเพื่อเป็นแนวทาง
แต่ถ้าเริ่มศึกษาเรื่องศาสนา เราจะพบว่าสิ่งที่ศาสนากำลังบอกพวกเรานั้นล้วนเกี่ยวข้องกับการใช้ชีวิตทั้งสิ้น
ในอดีต ความเชื่อนั้นทรงพลัง และกำหนดวิถีชีวิตของคนๆนั้นไปจนตาย ดั่งเช่นมนุษย์ในชนเผ่าต่างๆที่เคยมีชีวิตอยู่ในอดีต
แต่ในปัจจุบั​น​ ความเชื่ออาจเป็นเพียงสิ่งที่ชี้นำแนวทางในการดำเนินชีวิต ที่เหมาะกับการบรรลุเป้าหมายในสถานการณ์ต่างๆ เสียมากกว่า
เพราะความเชื่อนั้นมีระดับความแข็งแกร่งที่หลากหลาย แต่ในระดับอ่อน ความเชื่อเป็นเพียงสิ่งที่ยังไม่ได้รับการพิสูจน์หรือยอมรับ เนื่องจากยังไม่เข้าถึงกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ในการพิสูจน์ข้อเท็จจริง (แค่การเก็บข้อมูลทางสถิติยังไม่มี)​ จึงมีความเปราะบางมากกว่าสมมติฐานทางวิทยาศาสตร์
สมมติฐานที่ดีนั้น ยังสามารถหักล้างได้ โดยการนำผลลัพท์ที่ขัดแย้งมาพิสูจน์ ยกตัว​อย่างเช่น​ หากสมมติฐานว่ามะเขือเทศทุกลูกมีสีแดง เราสามารถหักล้างได้โดยการค้นหามะเขือเทศสีเหลืองมาให้ได้
ดังนั้นความเชื่อในยุคสมัยที่ความรู้ ซึ่งเป็นดั่งสิทธิขั้นพื้นฐานที่มนุษย์ทุกคนบนโลกนี้ควรเข้าถึงได้ เฉกเช่นยุคนี้นั้น จึงมีความเปราะบาง​ เพราะสามารถถูกหักล้างได้จากข้อเท็จจริง​ หรือแม้กระทั่งถูกหักล้างด้วยตัวมันเองจากความเชื่อใหม่
คำถามคือ แล้วอะไรล่ะคือสิ่งยึดเหนี่ยวในชีวิต?
สมมติฐานของผมคือ หากมนุษย์ทุกคนกำลังใช้ชีวิตเพื่อเติมเต็มสิ่งที่​ขาด​ ความเชื่อในทางบวก จะเป็นแรงผลักดันให้ผู้คนเดินทางไปสู่เป้าหมาย แต่หากมีเหตุให้ล้มในระหว่างทาง​ ความเชื่อในทางลบจะมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจในเป้าหมายนั้นอย่างฝังจิต
ในหนึ่งการเดินทางของชีวิ​ต มีความรู้​ ศาสตร์​ และความเชื่อมากมายเป็นร้อยในตัวคนๆหนึ่ง แต่ทำไมผู้คนส่วนใหญ่ยังสับสนกันอยู่
นั่นเป็นเพราะสิ่งเหล่านี้ถูกหักล้างได้โดยง่าย
และในจุดนี้เอง ที่ศาสนาจะเข้ามามีบทบาทสำคัญ เสมือนเบาะรองนั่งไม่ให้ล้มแรงจนลุกไม่ขึ้น​ หรือเป็นดั่งลมพัดผ่านในยามร้อน เพราะศาสนา ทุกศาสนามีองค์ประกอบที่ถูกเรียกว่า "ความศรัทธา" ที่พร้อมจะยืนเคียงข้างผู้คนที่ดิ้นรนอย่างเหนื่อยล้า จับมือคนที่ล้ม แล้วพยุงไปในเส้นทางที่ไม่ได้การันตีความสำเร็จใดๆ แต่เป็นการมอบกำลังให้กับ"จิตใจ" เป็นกำลังที่ทำให้เราเอาชนะความเชื่อในแง่ลบต่างๆ เพื่อให้กลับมายืนหยัดกับความเชื่อในแง่ดี ที่บางครั้งอาจทำให้เราเอาชนะขีดจำกัดต่างๆ ในเรื่องของชะตาชีวิตได้
ดังนั้นสำหรับผม ความเชื่ออย่างเดียวไม่พอสำหรับการใช้ชีวิต​ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น บนโลกนี้เองก็มีผู้ที่ใช้ชีวิตอย่างสุดกำลังในสิ่งที่ตัวเองเชื่อมั่นเพียงอย่างเดียวก็มี หากมันทำให้ไขว่คว้าในสิ่งที่ต้องการได้ก็ถือว่าเป็นเรื่องดี ถึงแม้ตายก็ไม่อาจบั่นทอนสิ่งที่ตนเองเชื่อมั่นได้
ผมอาจแปะป้ายเรียกผูุ้ที่มีความคิดเช่นนี้ว่า"สุดโต่ง"
ตัวผมเองก็สุดโต่งในบางเรื่องที่พิเศษจริงๆ
สุดท้ายอยู่ที่เราเลือกแล้วครับ
ว่าเราจะใช้ชีวิตโดยยึดมั่นกับความเชื่อหรือศาสนา
แต่ผมมองว่าสิ่งสำคัญในยุคนี้​ ไม่ได้มีเพียงเรื่องเงินทอง หน้าตา​ สถานะทางสังคม​ หรือความสัมพันธ์ใดๆ แต่มันคือความสามารถที่จะใช้ชีวิตอยู่อย่างมีความสุข​ มีสุขภาพแข็งแรง
หวังว่าจะพอเป็นคำตอบให้กับคำถามนี้ได้บ้างคับ
โฆษณา