เราคิดแบบ ‘Slippery Slope’ อยู่หรือเปล่า? ผลลัพธ์ของเหตุการณ์หนึ่งอาจจะไม่ได้แย่อย่างที่เราคิดก็ได้!
.
“ถ้าฉันจ้องโทรศัพท์มากเกินไป ฉันจะสายตาเสีย ทำให้ฉันต้องใส่แว่น แต่ถ้าฉันใส่แว่นฉันจะมีสิทธิ์ทำแว่นตกแตก และฉันจะมองไม่เห็น และถ้าฉันมองไม่เห็นฉันจะหกล้ม มีโอกาสที่หน้าจะเสียโฉม ถ้าหน้าเสียโฉมขึ้นมาต้องถูกเพื่อนร่วมงานล้อแน่ๆ และฉันคงรับไม่ไหว อาจจะสุขภาพจิตย่ำแย่ ในที่สุดฉันก็ต้องจบชีวิตตัวเองแน่ๆ เพราะฉะนั้น ฉันไม่ควรซื้อโทรศัพท์”
.
นี่คือสิ่งที่สมหญิงคิดเมื่อเธอเดินอยู่ในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง
.
แน่นอนว่าคงมีโอกาสน้อยมากที่ชีวิตเราจะจบลงอย่างที่สมหญิงคิด แต่กระบวนการคิดเช่นนี้มีอยู่จริง ถึงแม้จะไม่หนักเท่าสมหญิงก็ตาม
.
‘Slippery Slope’ เป็นตรรกะวิบัติ (Fallacy) รูปแบบหนึ่ง เป็นการนำผลลัพธ์ที่เราคิดไว้จากเหตุการณ์แรกและคิดว่าสามารถนำไปสู่เหตุการณ์ต่อไปเรื่อยๆ จนมาจบที่ข้อสรุปที่ห่างไกลจากเหตุการณ์แรกอย่างมากและมีความเป็นไปได้ที่น้อย โดยข้อสรุปนั้นจะยิ่งเป็นไปได้น้อยลงอีกถ้าแต่ละเหตุการณ์ไม่สัมพันธ์กันอย่างแท้จริง
.
ถ้าเราคิดดูดีๆ แล้ว เราเจอตรรกะวิบัติเช่นนี้ในชีวิตประจำวันอยู่แล้ว โดยเราอาจจะคุ้นกับประโยคเหล่านี้ไม่มากก็น้อย
.
“ถ้าทำงานง่ายๆ แค่นี้ไม่ได้ ต่อไปได้งานใหญ่ๆ จะทำได้ยังไง” “ทั้งวันเอาแต่นั่งดูหนังฟังเพลง จะทำงานเสร็จทันเหรอ” หรือ “ถ้าฉันกินของหวานวันนี้ ฉันก็จะอยากกินไปตลอด น้ำหนักฉันจะไม่มีวันลดแน่ๆ”
.
ในตอนนั้น สถานการณ์อาจจะทำให้เราเชื่อในความคิดนั้น แต่พอเราถอยหลังมามองประโยคเหล่านั้นอีกที เราก็จะเห็นว่าเพราะเหตุการณ์ A เกิดขึ้น ไม่ได้แปลว่าผลลัพธ์ B จะเกิดขึ้นเสมอไป
.
การที่เราทำงานง่ายๆ ไม่ได้ในตอนนี้ ไม่ได้แปลว่าเราจะไม่มีเวลาทบทวน คอยพัฒนาตนเองสักหน่อย ในอนาคตอันใกล้ เราอาจจะทำงานนั้นได้โดยไม่มีข้อผิดพลาดเลยก็ได้ และการที่เราทำงานหนึ่งไม่ได้ ไม่ได้เป็นตัวชี้วัดศักยภาพการทำงานของเราเลย
.
การที่วันนั้นเราใช้เวลาเพื่อดูหนังฟังเพลง ไม่ได้แปลว่าเราจะทำเช่นนี้ทุกวัน และการดูหนังฟังเพลงไม่ได้แปลว่าเราใช้เวลานั้นของเราอย่างไร้ประโยชน์ ถ้าการทำกิจกรรมเหล่านั้นถูกใช้เพื่อเป็นการพักผ่อนหลังการทำงาน หรือในเวลาพัก ก็ถือเป็นข้อดีที่มีต่อสุขภาพจิตของเราด้วยซ้ำ แค่เราบริหารเวลาดีๆ ก็ไม่น่ามีปัญหาอะไรตามมา และเราก็ทำงานทันได้
.
การที่เรากินของหวานวันนี้ อาจจะทำให้ตัวเราในวันพรุ่งนี้อยากกินของหวานน้อยลงเพราะพึ่งกินมาก็ได้ หรืออาจจะข่มใจตัวเองไม่ให้กินของหวานไหวก็ได้ การกินวันนี้ไม่ได้เป็นการสะท้อนถึงพฤติกรรมการกินของเราในอนาคตเสมอไป
.
เราใช้ชีวิตอยู่กับ Slippery Slope อยู่บ่อยครั้ง โดยบางทีเราลืมถอยหลังกลับมาเพื่อพิจารณาอย่างถี่ถ้วน จนลืมคิดไปว่าผลลัพธ์ของเหตุการณ์นั้นอาจจะไม่ได้แย่อย่างที่เราคิดก็ได้ สิ่งที่เราไม่ควรลืม คือการมองใหม่อีกรอบว่าเวลาที่คนอื่นพูด หรือที่ตัวเองคิดถึงผลลัพธ์ของเหตุการณ์หนึ่ง มันเป็นไปได้มากแค่ไหน? และเรากำลังคิดไกลเกินไปโดยที่เหตุการณ์เหล่านั้นไม่สัมพันธ์กันเลยหรือเปล่า?
.
.
แปลและเรียบเรียงจาก:
.
#missiontothemoon
#missiontothemoonpodcast
#selfimprovement #behavior