11 ก.ค. 2021 เวลา 02:50 • ประวัติศาสตร์
“การลุ้นรางวัลใต้ฝา” ที่นำไปสู่ความรุนแรง ครั้งใหญ่สุดในประวัติศาสตร์
3
สงครามการตลาดระหว่างโค้กกับเป๊ปซี่ ดำเนินมาอย่างยาวนานและดูท่าว่าจะไม่มีวันจบลง
เราจึงยังได้เห็นสองแบรนด์นี้ งัดกลยุทธ์ทางการตลาดเพื่อชิงฐานลูกค้ากันไปมาอยู่เป็นระยะ
2
หนึ่งในแคมเปนที่อยู่คู่กับการแข่งขันของตลาดโคลาก็คือ “การลุ้นรหัสใต้ฝา”
ที่ช่วยเร่งกระตุ้นยอดขายจากการจูงใจให้เราสะสมฝาเครื่องดื่มที่มีรหัส
เพื่อลุ้นเป็นผู้โชคดีที่จะได้รับเงินรางวัลก้อนใหญ่
1
แต่รู้หรือไม่ว่าแคมเปนลุ้นโชคใต้ฝา ก็ไม่ได้เป็นไปได้ด้วยดีเสมอไป
เพราะเป๊ปซี่เคยได้ใช้แคมเปนนี้ที่ประเทศฟิลิปปินส์
แต่มันกลับนำไปสู่ความหายนะครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์
แล้วเกิดอะไรขึ้นกับแคมเปนลุ้นรหัสใต้ฝาเป๊ปซี่ในฟิลิปปินส์ ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
1
ย้อนกลับไปราว 30 ปีก่อน ผู้บริหารเป๊ปซี่ได้เดินทางไปสำรวจตลาดเครื่องดื่มโคลาในหลายประเทศ
แต่ก็ต้องพบกับข้อเท็จจริงที่ว่าตัวเองแพ้คู่แข่งอย่างโค้กแบบขาดลอย
ในขณะเดียวกัน เป๊ปซี่ก็พบว่าแคมเปน “Number Fever” หรือ “ลุ้นรหัสใต้ฝา” ประสบความสำเร็จในประเทศสหรัฐอเมริกา
เป๊ปซี่จึงตัดสินใจใช้แคมเปนแบบเดียวกันนี้ในการกระตุ้นยอดขายเพื่อแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดโคลาในต่างประเทศ หนึ่งในนั้นคือประเทศฟิลิปปินส์ ที่เป๊ปซี่มีส่วนแบ่งตลาดโคลาอยู่ไม่ถึง 20%
ขณะที่โค้กครองส่วนแบ่งอยู่กว่า 70%
1
เดือนกุมภาพันธ์ ปี 1992 เป๊ปซี่จึงประกาศแคมเปนลุ้นรหัสใต้ฝา
โดยจะพิมพ์เลข 3 หลักไว้ใต้ฝาของขวดเป๊ปซี่และเครื่องดื่มยี่ห้ออื่นในเครือ
และจะประกาศผลรหัสที่จะถูกรางวัลในอีก 3 เดือนข้างหน้า
3
ซึ่งเงินรางวัลจะเริ่มตั้งแต่ 100 เปโซ ไปจนถึงรางวัลใหญ่ที่ 1 ล้านเปโซ
หรือคิดเป็นมูลค่าราว 1.2 ล้านบาทในขณะนั้น
4
เงิน 1 ล้านเปโซนี้ มากกว่าเงินเดือนเฉลี่ยของชาวฟิลิปปินส์ในขณะนั้นถึง 611 เท่า หรือเทียบเท่ากับเงินเดือนที่ได้จากการทำงานหลายสิบปี จึงถือว่าเป็นจำนวนเงินที่สามารถพลิกชีวิตได้เลย
1
และเมื่อเป๊ปซี่เริ่มโฆษณาตามสื่อต่าง ๆ ด้วยประโยคที่ว่า “เศรษฐีเงินล้านคนต่อไปอาจเป็นคุณ”
ก็ได้สร้างปรากฏการณ์ให้ชาวฟิลิปปินส์ทุกเพศทุกวัยแห่กันสะสมฝาเพื่อลุ้นเงินรางวัล
1
ผู้บริหารเป๊ปซี่ในขณะนั้นเปิดเผยว่ามีประชากรฟิลิปปินส์กว่าครึ่งหนึ่ง
หรือราว 31 ล้านคน ที่มีส่วนร่วมกับแคมเปนนี้ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในแคมเปนที่มีผู้เข้าร่วมมากที่สุดในโลก
2
นั่นจึงทำให้ยอดขายของเป๊ปซี่ที่ประเทศฟิลิปปินส์ในช่วงนั้น เพิ่มขึ้นกว่า 40% ต่อเดือน
จนดันให้ส่วนแบ่งตลาดของเป๊ปซี่เพิ่มขึ้นจาก 19% มาเป็น 25% อย่างรวดเร็ว
3
มาถึงตรงนี้ก็ถือได้ว่าเป๊ปซี่ประสบความสำเร็จจากแคมเปนนี้อย่างสวยงาม
3
จนกระทั่งถึงช่วงเวลาที่ชาวฟิลิปปินส์รอคอย
เวลา 6 โมงเย็นของวันที่ 25 พฤษภาคม ปี 1992
ชาวฟิลิปปินส์กว่า 70% ต่างเปิดโทรทัศน์เพื่อรอฟังประกาศผลรหัสที่ถูกรางวัล
4
และเลขรางวัลที่ออก ก็คือ “349”
3
Cr.lavozdelmuro
ผู้โชคดีที่ครอบครองฝาที่มีเลข 349 ซึ่งกำลังดีใจที่ได้เป็นผู้โชคดีรับเงินล้าน
ได้รีบเดินทางไปยังสำนักงานของเป๊ปซี่ เพื่อยืนยันตัวตนและขอรับเงินรางวัล
2
แต่กลับกลายเป็นว่าด้านหน้าสำนักงานและโรงงานเป๊ปซี่รายล้อมไปด้วย “มวลชนผู้โชคดี” ที่ถูกรางวัลเหมือนกัน
2
ที่บอกว่า “มวลชน” ก็เพราะว่าผู้ที่มีฝารหัส 349 กลับไม่ได้มีเพียงคนเดียว แต่มีมากถึงเกือบ 5 แสนคน..
4
ในคืนนั้นทางเป๊ปซี่ได้แจ้งไปยังกระทรวงการค้าและอุตสาหกรรมของฟิลิปปินส์ว่ามีความผิดพลาดเกิดขึ้นกับการประกาศตัวเลข
2
มวลชนผู้โชคดีเลยเริ่มปักหลักชุมนุมที่สำนักงานเป๊ปซี่เพื่อรอฟังคำอธิบายจากเป๊ปซี่
และที่สำคัญก็คือ เรียกร้องเงินรางวัลที่พวกเขาควรได้
4
แต่ในวันรุ่งขึ้น แถลงการณ์จากเป๊ปซี่ที่รอคอย
กลับระบุว่าเป๊ปซี่ไม่สามารถจ่ายเงินรางวัลให้ทุกคนได้
เพราะงบประมาณสำหรับเงินรางวัลที่ตั้งไว้ตอนแรกอยู่ที่ 64 ล้านบาท
3
ถ้าต้องมอบเงินรางวัลเต็มจำนวนให้กับทุกคนที่มีฝารหัส 349
จะคิดเป็นเงินรางวัลที่มูลค่ามากกว่างบประมาณเดิมถึง 16 เท่า
1
เป๊ปซี่ได้ตรวจสอบเรื่องราวที่เกิดขึ้น และได้ชี้แจงถึงสาเหตุของความผิดพลาด
1
ตั้งแต่ก่อนเริ่มแคมเปน รหัสใต้ฝาได้ถูกแบ่งเป็น 2 กลุ่ม
รหัสกลุ่มแรก ถูกกำหนดไว้ให้ใช้จับรางวัล จึงถูกพิมพ์ไว้ใต้ฝาในจำนวนน้อย
รหัสกลุ่มที่สอง ไม่ได้ถูกกำหนดให้นำไปรวมตอนจับรางวัล จึงถูกพิมพ์ไว้ใต้ฝาเป็นจำนวนมาก
3
และรหัส 349 นี้อยู่ในกลุ่มที่สอง นั่นคือไม่ได้อยู่ในกลุ่มที่จะใช้จับรางวัล
ฝาที่มีรหัส 349 จึงถูกผลิตออกมากว่า 8 แสนฝา
2
ทางเป๊ปซี่ได้ตัดสินใจมอบเงิน 500 เปโซ หรือราว 650 บาท ให้ทุกคนที่ครอบครองฝา 349 แทน
แต่แม้จะมีมวลชนผู้โชคดีไปรับเงินจากเป๊ปซี่แล้ว ความไม่พอใจก็ยังคงอยู่
เพราะผู้โชคดีเหล่านั้นที่เคยดีใจเพราะคิดว่าจะได้เงินรางวัลหลักล้าน กลับได้รับเพียงเงินหลักร้อย
2
ความโกรธแค้นของมวลชนหลายแสนคนจึงนำไปสู่การชุมนุมประท้วงที่กลายเป็นเหตุจลาจล
ผู้ชุมนุมได้เผายางรถยนต์ เผารถส่งเป๊ปซี่ กีดขวางและทำลายรถของเหล่าผู้บริหารเป๊ปซี่
จนทางเป๊ปซี่สำนักงานใหญ่ที่นิวยอร์กต้องสั่งให้ทีมงานชาวอเมริกันหนีกลับประเทศ
3
แต่เหตุการณ์ยังรุนแรงขึ้นไปกว่านั้น เพราะมีการใช้ระเบิดมือและระเบิดขวด
3
มีคนขว้างระเบิดเข้าไปในโรงงานเป๊ปซี่ ทำให้มีพนักงานเสียชีวิต 3 คน
มีคนขว้างระเบิดใส่รถส่งเป๊ปซี่ที่ขับผ่านพื้นที่ชุมนุม ทำให้คนที่ผ่านไปมาแถวนั้นเสียชีวิต 2 คน
4
ผู้เสียชีวิตคนแรกคือครูผู้หญิงวัยกลางคนที่เดินไปซื้อของตรงร้านขายของชำแถวนั้น
อีกคนคือเด็กวัยเพียง 5 ขวบที่วิ่งเล่นอยู่แถวนั้น
9
นั่นจึงทำให้ผลจากเหตุจลาจลครั้งนี้ มีผู้เสียชีวิต 5 คน และมีคนบาดเจ็บอีกมากมาย
จนกลายเป็นหนึ่งในการทำการตลาด ที่นำไปสู่ความรุนแรงครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์
1
หลังจากเหตุการณ์ดังกล่าว Vicente del Fierro เจ้าของบริษัทที่ปรึกษาโฆษณาและนักเทศน์อิสระ
ที่ไม่เห็นด้วยกับแนวคิดของแคมเปนชิงโชคแบบนี้มาตั้งแต่แรก เลยถือโอกาสเสนอตัวมาเป็นแกนนำและจัดตั้งกลุ่ม Coalition 349 หรือ “พันธมิตร 349”
3
กลุ่มพันธมิตร 349 รวบรวมผู้มีฝารหัส 349 ได้ราว 800 คน ที่ต้องการฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากเป๊ปซี่
โดยร่วมกันลงขันสำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดี สำหรับผู้ที่มีกำลังทรัพย์ไม่พอ Vicente del Fierro ก็ยินดีรับผิดชอบให้
1
Cr.bloomberg
อย่างไรก็ตาม ขั้นตอนทางกฎหมายฟ้องร้องต่อเป๊ปซี่กลับดำเนินไปอย่างยืดเยื้อ
พร้อม ๆ กับกลุ่มผู้ชุมนุมที่ค่อย ๆ เบาบางลง จนหมดไป
2
ปี 1993 เป๊ปซี่ฟิลิปปินส์ถูกปรับเป็นเงินราว 1.8 แสนบาท โดยกระทรวงการค้าและอุตสาหกรรมของฟิลิปปินส์ โทษฐานที่เกิดความผิดพลาดในการจัดทำแคมเปน
2
ขณะที่ Vicente del Fierro ที่นอกจากจะยื่นฟ้องต่อศาลในฟิลิปปินส์แล้ว เขายังได้เดินทางไปยังเมืองนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่เป๊ปซี่ พร้อมกับจ้างนักกฎหมาย 2 คน เพื่อเป็นตัวแทนกลุ่มพันธมิตร 349 ดำเนินการฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากเป๊ปซี่ต่อศาลในนิวยอร์กด้วย
4
แต่หลังจากรอคอยอยู่ 2 ปี ศาลนิวยอร์กก็ยกฟ้อง
พร้อมให้เหตุผลว่า เป็นเรื่องที่ต้องให้ทางศาลฟิลิปปินส์จัดการ
2
ปี 1994 ศาลฟิลิปปินส์ได้ออกหมายจับผู้บริหารเป๊ปซี่ในฟิลิปปินส์ 9 คน
แต่หลังจากดีใจได้ไม่นาน เป๊ปซี่ก็ฟ้อง Vicente del Fierro กลับในข้อหาหมิ่นประมาท
สุดท้ายแล้วเรื่องราวก็เงียบหายไป
4
จนกระทั่งปี 2006 ศาลฎีกาที่ฟิลิปปินส์ได้ตัดสินให้เป๊ปซี่ไม่มีความผิด พ้นทุกข้อกล่าวหาและไม่ต้องรับผิดชอบกับความผิดพลาดที่เกิดขึ้น
5
แต่ไม่ว่าคำตัดสินของศาลจะเป็นอย่างไร
ผลจากความผิดพลาดของแคมเปนนี้ ได้ทำให้ส่วนแบ่งตลาดที่เป๊ปซี่หวังกอบโกยในตอนแรก
กลายเป็นสิ่งที่ต้องเสียไปให้กับคู่แข่งจนแทบจะหมดหนทางสู้
4
เพราะส่วนแบ่งตลาดโคลาในฟิลิปปินส์ โค้กยังคงครองส่วนแบ่งได้อย่างขาดลอย แถมยังมีแบรนด์น้ำดำท้องถิ่นอย่าง Cosmos ที่ก้าวขึ้นมาแข่งกับเป๊ปซี่ได้อย่างสูสี
2
เงิน 650 บาทที่เป๊ปซี่มอบให้กับทุกคนที่มีฝารหัส 349 แทนเงินรางวัล
ก็ได้มีผู้มาติดต่อรับเงินไปกว่า 5 แสนคน คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 325 ล้านบาท
2
และถ้ารวมความเสียหายที่เป็นผลจากความผิดพลาดของแคมเปนนี้ทั้งหมด
จะคิดเป็นมูลค่ากว่า 650 ล้านบาท สูงกว่างบประมาณที่เป๊ปซี่เตรียมใช้ทำแคมเปนในตอนแรกถึง 10 เท่า
2
แม้ว่าเวลาจะล่วงเลยมาเกือบ 30 ปี
แต่เรื่องราวของชาวฟิลิปปินส์ที่ถูกหลอกให้ดีใจเก้อว่าได้เงินล้าน
หรือแม้แต่การมีผู้เคราะห์ร้ายที่เสียชีวิตลงจากแคมเปนที่ผิดพลาด
ก็น่าจะเป็นกรณีศึกษา ให้กับนักการตลาดในปัจจุบัน ได้เป็นอย่างดี
2
ถ้าทำการตลาดกับมวลชนจำนวนมาก แล้วทำให้เขาผิดหวัง ผลลัพธ์ที่ได้ก็อาจเป็นหายนะ..
3
โฆษณา