11 ก.ค. 2021 เวลา 00:00 • กีฬา
#อัซซูรี่หรือสิงโตคำราม
เป็นไปตามคาดสำหรับคู่ชิงยูโร 2020 ในปีนี้ แม้ว่าทั้งสองทีมจะผ่านเข้ารอบมาได้แต่ก็สะบักสบอมกันพอสมควร
อิตาลี เกือบเอาตัวไม่รอด เมื่อเป็นรองสเปนแทบทั้งเกม แต่อาศัยความเฉียบคมของกองหน้า และความเก๋าของกองหลัง ผ่านสเปนมาได้ด้วยการดวลจุดโทษ และเป็นอีกครั้งที่ทีมที่ยิงก่อนเป็นฝ่ายชนะ
ส่วนอังกฤษถึงแม้จะเหนือกว่าเดนมาร์ก แต่ก็ต้องอาศัยลูกจุดโทษที่กังขาสายตาในช่วงต่อเวลา ช่วยให้ผ่านเข้ารอบชิงมาได้ ถ้ายื้อถึงขั้นดวลจุดโทษก็ไม่แน่เหมือนกัน
#บ่นบ้าภาษาบอล จะพามาดูคู่ชิงในปีนี้กันครับ
#อิตาลี
ทางด้านตัวผู้เล่น ขุนพลอัซซูรี่น่าจะใช้ชุดเดิมที่ลงเล่นในรอบรองชนะเลิศกับสเปน
ในเกมรับ เดิมทีเป็นห่วงทางเอเมอร์สันที่ไม่ค่อยได้ลงกับต้นสังกัดแต่ก็สามารถโชว์ฟอร์มได้ดี โบนุชชี่กับคิเอลลินี่ แสดงความเก๋าพาทีมเอาตัวรอดมาจากนัดที่แล้วได้อย่างแท้จริง ดอนนารุมม่า ฝีไม้ลายมือเกินอายุจริงๆ สำหรับเด็กคนนี้ แต่ข้อเสียเริ่มเผยออกมาให้เห็นบ้างคือออกบอลระยะกลางถึงไกลไม่ค่อยดีเท่าไรนัก เวลาเพื่อนที่อยู่ใกล้ๆ โดนมาร์ก มักจะเสียบอลง่าย แต่ลีลาการเซฟเชื่อใจได้ว่าถ้าไม่ยาก ไม่มีทางกินเด็กคนนี้ได้
แผงกองกลาง 3 คน ต้องยกให้จอร์จินโญ่เป็นพระเอกในนัดที่แล้ว พร้อมกับการยิงจุดโทษที่เป็นลายเซ็นต์ของเขาเลย ส่วนตัวคิดว่าเลือดเย็นพอๆ กับลูกโทษที่ปีร์โล่ยิงอังกฤษในปี 2012 ส่วนบาเรลล่าที่นัดที่แล้วจะดูดร็อปลงไป แต่ก็เชื่อว่าจะได้ลงคู่กับแวร์รัตติอีกเช่นเดิม
ส่วนแผงหน้า เฟเดริโก้ คิเอซ่า ยิ่งเล่นยิ่งเด่น ดีวันดีคืน เรียกได้ว่าเป็นทัวร์นาเม้นต์แจ้งเกิดของเขาเลย แต่ที่น่าเป็นห่วงน่าจะเป็น ชิโร่ อิมโมบิเล่ มากกว่า เพราะฟอร์มช่วงหลังชักจะกู่ไม่กลับ คลำเป้าไม่เจอ โอกาสก็ไม่ค่อยมี บางช่วงหายจากเกมไปเลย ยิ่งเกมนัดชิงต้องเจอกับ 2 เซ็นเตอร์ร่างยักษ์ของอังกฤษด้วย น่าเป็นห่วงจริงๆ
ส่วนระบบการเล่น อิตาลีเผยจุดอ่อนออกมาให้อังกฤษได้เห็นในนัดพบกับสเปน คือ เมื่อโดนเพรสซิ่งสูง อิตาลีจะเสียบอลง่ายมาก สุดท้ายขึ้นบอลไม่ได้ เพรสซิ่งเอาคืนก็เจอเกมพาสซิ่งของสเปนเรียกได้ว่าไล่ไม่จน สุดท้ายต้องกลับมาเน้นตั้งรับและรอสวนกลับ ถือว่าอิตาลีโชคดีที่ได้ประตูนำไปก่อน และกองหน้าสเปนก็ใช้โอกาสกันเปลืองมากๆ
หัวใจสำคัญของอิตาลีผมก็ยังยกให้ มาร์โก แวร์รัตติ อยู่เช่นเดิม หากอิตาลีทำเกมได้ เขาจะเป็นหัวใจสำคัญของทีมในการสร้างสรรค์เกมรุก
#อังกฤษ
ทางด้านตัวผู้เล่น อังกฤษน่าจะยึดชุดเดิมจากนัดชนะเดนมาร์กต่อไป แสดงว่า ซาก้า น่าจะได้ลงตัวจริงทางด้านขวาต่อไปเหมือนเดิม
เกมรับถึงแม้จะเสียประตูแรกในทัวร์นาเม้นต์ไปแล้ว แต่อังกฤษก็แสดงให้เห็นว่า พวกเขาเล่นในสภาพแรงกดดันได้ดีทีเดียว ไล่ตีเสมอได้อย่างรวดเร็ว และแซงเอาชนะได้ในช่วงต่อเวลา หากเดนมาร์กไม่มีแคสเปอร์ ชไมเคิ่ล อังกฤษอาจจะชนะในเวลา 90 นาทีแล้วก็เป็นได้
แฮร์รี่ แม็คไกวร์ ยังเป็นหัวใจสำคัญของทีมในแนวรับ แบ็คทั้งสองข้างก็เล่นได้ดีทั้งรับและรุก ถึงแม้นัดที่แล้ว จอร์แดน พิคฟอร์ด จะมีลูกเหวอให้เห็นบ้าง แต่ก็ไม่เสียหายอะไรมาก ประตูที่เสียก็มาจากลูกฟรีคิก
แผงกลางทั้งคัลวิน ฟิลลิปส์ และดีแคลน ไรซ์ ประสานงานกันได้ดี ดูเผินๆ อาจจะไม่โดดเด่นอะไร แต่ก็ทำให้ เมสัน เมาท์ เล่นได้ง่ายขึ้นเพราะไม่ต้องพะวงกับเกมรับมากนัก
ในเกมรุกต้องจับตาไปที่ แฮร์รี่ เคน และ ราฮีม สเตอร์ลิ่ง เพราะ 7 ใน 10 ประตูของทีมมาจากเขา 2 คน ส่วนทางด้านขวาผมคิดว่าไม่ว่าจะเอาใครลงก็คงไม่ต่างกันมากนัก
อังกฤษยุคใหม่เน้นปลอดภัย ไม่เสียบอลง่าย ประเภท Kick and Run เหมือนในอดีตไม่มีให้เห็น เมื่อก่อนผมชอบดูอังกฤษเล่นเพราะดูสนุก มาถึงก็สาดใส่กันเลย แต่การเล่นแบบนี้ไม่ทำให้ทีมประสบความสำเร็จ ซึ่งเซาท์เกตรู้ดีจึงปรับมาเล่นสไตล์ภาคพื้นยุโรปมากขึ้น ซึ่งก็ได้ผล หลังแน่น รุกคม บางนัดสร้างสรรค์โอกาสไม่มาก แต่สามารถทำประตูได้ ชนะ 1 ลูกหรือ 5 ลูกก็ชนะเหมือนกัน
หัวใจสำคัญของทีมผมยังยกให้แฮร์รี่ แม็คไกวร์ เหมือนเดิม หากเขาหยุดเกมรุกอิตาลีได้ จะทำให้แบ็คทั้งสองข้างเล่นเกมรุกได้อย่างสบายใจและไร้แรงกดดัน
#บรรยากาศรอบชิงฯ
อิตาลีมาถึงรอบนี้ก็ไม่มีอะไรจะต้องกลัวเจ้าภาพอังกฤษ อดีตนักเตะทีมชาติหลายคนก็ออกมาโพสต์ในเฟสบุ๊คบ้าง อินสตราแกรมบ้าง อย่างพวกชุดแชมป์โลก 2006 ก็จะโพสต์ตอนชูถ้วยประหนึ่งว่านี่เป็นครั้งล่าสุดที่อัซซูรี่ได้แชมป์ระดับเมเจอร์ ดังนั้น ถึงเวลาแล้วที่จะได้ชูถ้วยอีกครั้ง ส่วนพวกที่อยู่ในชุดเอาชนะจุดโทษอังกฤษในปี 2012 ก็ออกมาโพสต์ถึงนัดนั้นเพราะเป็นนัดที่เจอกับอังกฤษโดยตรง บางคนก็ออกมาบอกว่าจะกลัวก็แค่กรรมการ เรียกได้ว่าเล่นเกมจิตวิทยากันไป
ส่วนอังกฤษเข้าชิงทัวร์นาเม้นต์เมเจอร์เป็นครั้งแรกตั้งแต่ปี 1966 ที่พวกเขาได้แชมป์โลกในประเทศของตนเอง เรียกได้ว่าเป็นครั้งแรกในรอบ 55 ปี มีการนับด้วยว่าการเดินทางนี้ยาวนานถึง 302 เกม และอังกฤษต้องเดินทางเป็นระยะทางมากกว่า 140,000 ไมล์ ผ่านไป 52 ประเทศกว่าจะมาถึงจุดนี้ แหม..สุดท้ายก็กลับมาที่เดิมนี่เอง เรียกได้ว่าบรรยากาศโดยรอบ การได้เล่นในสนามของตัวเอง แฟนบอล เป็นใจให้อังกฤษทุกอย่าง ถึงขนาดที่ว่าหากอังกฤษได้แชมป์ จะมีการติดยศท่านเซอร์ให้กับ เกเร็ธ เซาท์เกต กันเลยทีเดียว
ส่วนสถิติที่ทั้งสองทีมพบกันในทัวร์นาเม้นต์เมเจอร์ พบว่าทั้ง 2 ทีมเจอกันทั้งหมด 7 ครั้ง อิตาลี ชนะ 4 ครั้ง อังกฤษชนะเพียงครั้งเดียว อีก 2 ครั้งเสมอกันและ 1 ใน 2 ครั้งที่เสมอกันนี้ อิตาลีชนะจุดโทษอีกด้วย
#รูปแบบเกมนัดชิง
แน่นอนว่า อังกฤษอยากจะลอกแบบเกมของสเปนมาใช้ในนัดนี้ คือ เพรสซิ่งสูงเพื่อเอาบอลมาครอง และกดอิตาลีให้ตั้งรับอยู่ในแดนของตนเอง ไม่ยอมเสียบอลง่ายๆ ขึ้นไม่ได้ก็วนซ้ายทีขวาทีหาช่องเข้าทำ
แต่ผมไม่คิดว่าเกมพาสซิ่งของอังกฤษจะดีเท่าของสเปน เชื่อว่าอิตาลีจะเพรสซิ่งเอาคืนตั้งแต่เริ่มเกมแน่นอน และคิดว่าอิตาลีจะทำได้ดีกว่าเกมที่พบกับสเปนด้วย แต่หากอังกฤษแก้ทางของอิตาลีได้ อิตาลีก็จะหันไปตั้งรับแล้วรอโต้กลับเต็มตัว ซึ่งก็จะทำให้เกมจะดูเนือยๆ ไปด้วย
ส่วนตัวคิดว่าเกมนัดนี้จะสูสี ระมัดระวัง เน้นปลอดภัยด้วยกันทั้งสองทีม หากประตูแรกไม่มา บอลอาจจะดูน่าเบื่อนิดๆ ด้วยซ้ำไป แต่หากประตูแรกมาเร็วเท่าไหร่ เมื่อนั้นแหละครับ ความมันส์จึงบังเกิด
เกมนัดนี้จึงขึ้นอยู่กับประตูแรก แต่เป็นที่น่าสังเกตอยู่หนึ่งอย่างคือ ในทัวร์นาเม้นต์นี้ อิตาลียังไม่เคยเล่นในสภาพโดนนำมาก่อน ดังนั้นน่าสนใจว่า หากอังกฤษได้ประตูนำไปก่อน อิตาลีจะกลับสู่เกมได้หรือไม่
ส่วนตัวผมคิดว่า ไม่ว่าใครจะได้แชมป์ ก็สมศักดิ์ศรีด้วยกันทั้งคู่ แต่ผู้ชนะมีเพียงหนึ่งเดียว เป็นธรรมดาของเกมกีฬา ดังนั้นนัดนี้ผมจะขอเลือกเชียร์อิตาลีก็แล้วกันนะครับ
แล้วมาดูกันว่า อัซซูรี่ กับ สิงโตคำราม ใครจะเป็นฝ่ายได้ชูถ้วยยูโร 2020 ในปีนี้ อีกไม่กี่ชั่วโมง รู้กัน..
Cr ภาพ: telegraph.co.uk
นอกจาก แอพพลิเคชั่น Blockdit แล้ว สามารถติดตามบ่นบ้าภาษาบอลได้จาก Facebook Page อีกหนึ่งช่องทาง https://www.facebook.com/bonbapasaball/
และหากท่านใดเห็นว่าบทความยาวเกินไป ไม่อยากอ่าน ท่านสามารถติดตามฟังได้ที่ “บ่น บ้า ภาษาบอล podcast” ทางแอพพลิเคชั่น Anchor , Spotify , Apple Podcasts , Google Podcasts , Breaker , Pocket Casts , Overcast , RadioPublic และ Blockdit ขอบคุณครับ
โฆษณา