12 ก.ค. 2021 เวลา 02:07 • กีฬา
อิตาลี ดวลจุดโทษชนะอังกฤษ ได้เป็นแชมป์ฟุตบอลยูโร 2020
ยังเป็น "อัซซูรี" ที่ทำได้สำเร็จ ยิงจุดโทษแม่นกว่า ทำให้ อิตาลี คว้าชัยชนะไปด้วยคะแนน 3-2
การแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป หรือยูโร 2020 รอบชิงชนะเลิศ ที่สนามเวมบลีย์ สเตเดียม กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ไม่อยากจะเชื่อว่า มาร์คัส แรชฟอร์ด จะยิงจุดโทษชนเสา จาดอน ซานโช และ ซากา ถูกประตูอิตาลีเซฟไว้ได้ (ยิงไม่เข้า)​ ผลงานของอิตาลีครั้งนี้ต้องยกให้ประตูจอมหนึบ จิอันลุยจิ ดอนนารุมมา ที่ช่วยพาทีมชนะสิงโตคำราม
GOAL!!! อันที่จริงเปิดเกมมา ฝ่ายอังกฤษยิงขึ้นนำก่อน ด้วยลูกเปิดของ คีแรน ทริปเปียร์ และเป็น ลุค ชอว์ ซัดซ้ายเสียบเสาแรกไปเต็มๆ ในนาทีที่ 1 กับอีก 57 วินาที ซึ่งถือเป็นประตูที่ยิงเร็วที่สุดในนัดชิงชนะเลิศฟุตบอล​ยูโร​และเป็นประตูแรกในนามทีมชาติอังกฤษของ ลุค ชอว์ อีกด้วย งานนี้คงคุยได้ยันลูกหลานกันไปเลย
หลังจากโดนนำ อิตาลี กระหน่ำบุกจนเกือบตีเสมอได้ในครึ่งแรกด้วยฝีเท้าของ ลอเรนโซ อินซินเญ ซึ่งตั้งป้อมยิงไกล แต่บอลพุ่งข้ามคานออกไป ในนาทีที่ 28 และ กองเชียร์อังกฤษมีเสียวอีกครั้ง ในนาทีที่ 35 กับลูกยิงของ เฟเดริโก เคียซา ที่กดเต็มๆ ด้วยเท้าซ้ายจากหน้าเขตโทษ ดีที่บอลพุ่งหลุดเสาไปนิดเดียวทำให้ อิตาลี ยังตีเสมอไม่สำเร็จ
ช่วงทดเวลาบาดเจ็บครึ่งแรก อิตาลีมีลุ้นอีกครั้ง จากจังหวะกลับตัวยิงหน้าเขตโทษของ มาร์โก แวร์รัตติ แต่บอลไปตรงตัว จอร์แดน พิคฟอร์ด เจ้าตัวรับเอาไว้ได้สบายๆ ทำให้จบครึ่งแรกไปด้วยสกอร์นำของ อังกฤษ​ 1-0
กลับมาครึ่งหลัง อิตาลี เกือบทำได้อีกครั้งในนาทีที่ 50 อิตาลี ได้ฟรีคิก ลอเรนโซ อินซินเญ ปั่นด้วยขวาแต่เสียดาย บอลโค้งเฉี่ยวสามเหลี่ยมหลุดกรอบออกไป ถัดมานาทีที่ 56 อังกฤษได้ฟรีคิกทางฝั่งซ้ายบ้าง เป็น ลุค ชอว์ เปิดบอลเข้ากรอบเขตโทษ และ แฮร์รี แม็คไกวร์ ขึ้นโหม่งซ้ำ แต่บอลสูงลอยข้ามคานออกไป
เวลาหมดไปเรื่อยๆ โดยอิตาลียังไม่ละความพยายาม นาทีที่ 57 อิตาลี น่าได้ประตูสุดๆ จากจังหวะที่ ลอเรนโซ อินซินเญ พาบอลกระชากไปซัดมุมแคบในเขตโทษ แต่ จอร์แดน พิคฟอร์ด เซฟออกไปได้อย่างยอดเยี่ยม
ความพยายามบุกหนักของ อิตาลียังดำเนินต่อไปอย่างดุเดืิอด นาทีที่ 62 เฟเดริโก เคียซา ลากบอลหนีแนวรับ อังกฤษ ได้สำเร็จ​ ซัดด้วยขวาจากเขตโทษ บอลพุ่งแรงจะเสียบเข้ามุมอยู่แล้ว แต่ จอร์แดน พิคฟอร์ด ไวกว่า โชว์ฝีมือพุ่งปัดออกไปได้อย่างสุดยอด
นาทีที่ 64 อังกฤษ ได้ลูกเตะมุมฝั่งซ้ายบ้าง คีแรน ทริปเปียร์ เปิดบอลเข้ากรอบเขตโทษให้ จอห์น สโตนส์ ขึ้นโหม่ง แต่เสียดายอังกฤษทำไม่สำเร็จ จิอันลุยจิ ดอนนารุมมา เหินขึ้นปัดข้ามคานออกไป
และแล้วลูกตีเสมอ 1-1 ของอิตาลีก็มาถึง
GOAL ในนาทีที่ 67 อิตาลี โดย โดเมนิโก เบราร์ดี เปิดลูกเตะมุมจากฝั่งขวา เข้ากรอบเขตโทษ ไบรอัน คริสตันเต รออยู่แล้ว โหม่งเสยมาเสาสอง มาร์โก แวร์รัตติ พุ่งโหม่งเน้นๆ ซ้ำแต่ จอร์แดน พิคฟอร์ด ปัดออกไปแต่ไม่พ้น บอลชนเสา กระดอนไปเข้าทาง เลโอนาร์โด โบนุชชี ที่รออยู่ในความชุลมุน ปรี่มาซ้ำบอลเข้าไป ยิงเข้าไปตุงตาข่ายแบบ พิคฟอร์ด หมดปัญญาเซฟ
สำหรับ โบนุชชี่ ได้สร้างสถิติให้ตัวเอง เป็นผู้เล่นอายุมากที่สุด ด้วยวัย 34 ปี 71 วัน ที่สามารถยิงประตูได้ในนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลยูโร ซึ่งเรื่องนี้โบนุชชี่ คงเอาไปคุยได้ด้วยความภูมิใจได้เหมือนกับ ลุค ชอว์
อืตาลีเมื่อตีเสมอได้ก็ฮึกเหิมต่อไป นาทีที่ 73 อิตาลี เกือบแซงนำจากจังหวะที่ เลโอนาร์โด โบนุชชี เปิดบอลยาวขึ้นหน้ามา โดเมนิโก้ เบราร์ดี้ สปีดไวมาตวัดยิงสวนในขณะที่ จอร์แดน พิคฟอร์ด วิ่งออกมาหมายตัดบอลเช่นกัน แต่ดีที่บอลข้ามคานออกไปหวุดหวิด ไม่งั้นเกมคงจบอีกแบบ
ยอมรับว่า อิตาลี และ อังกฤษ เล่นกันมันหยดจริงๆ เกมหมดเวลา 90 นาทีลงด้วยสกอร์เสมอกัน 1-1 ต้องตัดสินหาแชมป์ด้วยการต่อเวลาพิเศษออกไปอีก 30 นาที
ช่วงต่อเวลา นาทีที่ 97 อังกฤษเปิดลูกเตะมุมเข้าเขตโทษ กองหลังอิตาลีโหม่งสกัดบอลออกมาเข้าทาง คาลวิน ฟิลลิปส์ พักอกหนึ่งจังหวะ แล้วซัดด้วยขวา แต่บอลไม่ตรงกรอบ
นาทีที่ 107 อิตาลี ได้ลูกฟรีคิก เฟเดริโก้ แบร์นาเดสคี บรรจงปั่นด้วยซ้าย พิคฟอร์ด รับบอลกระฉอก แต่ยังดีตามไปตะครุบบอลไว้ได้ทัน ก่อนจะโดนซ้ำสอง
ช่วงเวลาที่เหลือ รูปเกมเป็นไปอย่างสูสี แต่ก็ไม่มีประตูเพิ่ม หมดช่วงต่อเวลา ยังเสมอกัน 1-1 ต้องตัดสินชี้ขาดด้วยการดวลลูกจุดโทษ
ซึ่งผลปรากฏว่า อิตาลี ยิงได้แม่นกว่า เอาชนะไปได้ในการดวลจุดโทษ 3-2 ทำให้ขุนพล "อัซซูรี่" คว้าแชมป์ยูโรได้เป็นสมัยที่ 2 ต่อจากสมัยแรกเมื่อปี 1968 ส่วนอังกฤษยังต้องรอคอยการเป็นแชมป์ยูโรสมัยแรกต่อไป
ผลการยิงจุดโทษ
อิตาลี - 3 : เบราร์ดี้ (เข้า) เบลอตติ (โดนเซฟ) โบนุชชี่ (เข้า) แบร์นาเดสคี่ (เข้า) จอร์จินโญ (โดนเซฟ)
อังกฤษ - 2 : เคน (เข้า) แม็กไกวร์ (เข้า) แรชฟอร์ด (ชนเสา) ซานโช่ (โดนเซฟ) ซาก้า (โดนเซฟ)
 
รายชื่อ 11 ตัวจริงของทั้ง 2 ทีมมีดังนี้
ทีมชาติอังกฤษ: จอร์แดน พิคฟอร์ด (GK), จอร์แดน พิคฟอร์ด, ไคล์ วอล์คเกอร์ (เจดอน ซานโช่ น.120), จอห์น สโตนส์, แฮร์รี่ แม็กไกวร์, ลุค ชอว์, คีแรน ทริปเปียร์ (บูกาโย ซาก้า น.70), คาลวิน ฟิลลิปส์, เดแคลน ไรซ์ (จอร์แดน เฮนเดอร์สัน น.74, มาร์คัส แรชฟอร์ด น.120), เมสัน เมาท์ (แจ็ค กรีลิช น.99), ราฮีม สเตอร์ลิง, แฮร์รี่ เคน
ทีมชาติอิตาลี: จิอันลุยจิ ดอนนารุมม่า (GK)​, โจวานนี่ ดิ ลอเรนโซ่, เลโอนาร์โด้ โบนุชชี่, จอร์โจ้ คิเอลลินี่, เอเมอร์สัน พัลมิเอรี่ (อเลสซานโดร ฟลอเรนซี่ น.118), นิโกโล่ บาเรลล่า (ไบรอัน คริสตันเต้ น.54), จอร์จินโญ่, มาร์โก แวร์รัตติ (มานูเอล โลคาเตลลี่ น.96), เฟเดริโก้ เคียซ่า (เฟเดริโก้ แบร์นาเดสคี่ น.86), ชิโร่ อิมโมบิเล่ (โดเมนิโก้ เบราร์ดี้ น.55), ลอเรนโซ่ อินซินเย่ (อันเดรีย เบลอตติ น.91)
โฆษณา