13 ก.ค. 2021 เวลา 06:18 • ปรัชญา
@@@...ปายาสิราชัญญสูตร...(ตอนที่ ๑)
@@@...พระกุมารกัสสปะกับพระยาปายาสิ...
พระกุมารกัสสปะ เป็นพระอรหันต์รูปหนึ่ง มีกิตติศัพท์เลื่องลือไปไกลว่าเป็นนักปราชญ์รอบรู้ เป็นพหูสูต แสดงธัมมะได้อย่างงดงาม ปฏิภาณยอดเยี่ยม คราวหนึ่งท่านจาริกไปในแคว้นโกศลพร้อมด้วยภิกขุสงฆ์ประมาณห้าร้อยรูป ไปถึงเสตัพยนครก็แวะพำนักในป่าไม้สีเสียด(สีสปาวัน) ซึ่งอยู่ทางทิศเหนือของเมือง เวลานั้นพระยาปายาสิ ปกครองเมืองนั้น ซึ่งเป็นเมือง อุดมสมบูรณ์ไปด้วยปศุสัตว์, ทรัพยากรธรรมชาติ และข้าวปลาอาหาร พระเจ้าปเสนทิโกศลได้พระราชทานเมืองนั้นเป็นปูนบำเหน็จให้ท่านปกครอง...
 
พระยาปายาสินั้น เป็นคนมีความเห็นผิดต่างไปจากคนทั้งหลาย คือ เห็นว่า โลกหน้าไม่มี สัตว์ผุดเกิด(โอปปาติกะเช่นเทวดา)ไม่มี, ผลกัมม์ของสัตว์ ไม่ว่าจะทำดีทำชั่ว ไม่มี
 
ชาวเสตัพยนครเมื่อได้ทราบว่าพระกุมารกัสสปะสาวกแห่งพระสมณะโคดมมาพำนักอยู่ที่ป่าไม้สีเสียดพร้อมด้วยภิกขุจำนวนมาก ก็ชักชวนกันเดินทางเป็นกลุ่มๆ ไปยังป่าไม้สีเสียดเพื่อได้พบและกราบไหว้พระกุมารกัสสปะ
ขณะนั้นพระยาปายาสิพักผ่อนกลางวันอยู่บนปราสาท เมื่อเห็นพวกพราหมณ์และคฤหบดีชาวเสตัพยนครพากันเดินมุ่งหน้าไปทางทิศเหนือ จึงถามคนสนิท ได้ความว่าพวกชาวเมืองพากันเดินทางไปไหว้พระกุมารกัสสปะจึงให้ไปบอกว่าตนขอไปด้วย เพราะได้รู้มาก่อนแล้วว่าพระเถระรูปนี้สอนให้คนเชื่อเรื่องโลกหน้าและผลแห่งกัมม์ดีกัมม์ชั่วว่ามีจริง...
@@@...วิวาทะเรื่องปรโลกและเทวดา...
พระยาปายาสิได้เดินทางไปยังป่าไม้สีเสียดพร้อมด้วยชาวเมืองหมู่ใหญ่ ไปถึงก็ได้ทักทายปราศรัยกับพระกุมารกัสสปะตามธรรมเนียมแล้วนั่งอยู่ในตำแหน่งอันเหมาะสม ส่วนพวกพราหมณ์และคฤหบดีชาวเสตัพยนคร บางส่วนก็ทักทายพระเถระด้วยอาการดี บางส่วนก็ยกมือไหว้ บางส่วนก็แนะนำตัวเองด้วยชื่อและสกุล(แสดงเกียรติและฐานะของตน) บางส่วนก็นั่งอยู่เงียบๆ เมื่อทุกคนนั่งเข้าที่กันหมดแล้ว พระยาปาสิก็เริ่มประเด็น พูดขึ้นก่อนว่า
"พระคุณเจ้ากัสสปะ! ข้าพเจ้ามีความคิดความเชื่ออย่างนี้ว่า โลกหน้าไม่มีเทวดา-สัตว์นรก (ผู้ไปผุดเกิด)ไม่มี ผลของกัมม์ที่บุคคลทำดีทำชั่ว ไม่มี"
พระกุมารกัสสปะใช้วิธีตั้งคำถามให้พระยาปายาสิตอบก่อนว่า พระจันทร์ พระอาทิตย์มีอยู่ในโลกนี้หรือในโลกอื่น และเป็นเทวดาหรือมนุสส์?
พระยาปายาสิตอบตามความรู้ความเชื่อ(ของคนในยุคนั้น) ว่าพระจันทร์พระอาทิตย์มีอยู่ในโลกอื่น และเป็นเทวดาไม่ใช่มนุสส์
พระกุมารกัสสปะใช้ความเชื่อเรื่องนี้ของพระยาปายาสิเองเป็นคำตอบว่า ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่าโลกอื่นมี สัตว์ผุดเกิดมี ผลกัมม์มี, แต่พระบาปายาสิยังไม่ยอมรับด้วยเหตุผลเพียงเท่านั้น พรเถระจึงขอฟังเหตุผลที่เห็นแย้ง
ผู้นำแห่งเสตัพยนครยกเรื่องราวขึ้นมาสนับสนุนความเชื่อของตนว่า เขามีญาติมิตรในโลกนี้ ซึ่งมีทั้งฆ่าสัตว์, ลักทรัพย์, ประพฤติผิดในกาม ,พูดเท็จ..มักได้, อาฆาตมาดร้าย, เห็นผิดทำนองคลองธัมม เมื่อญาติมิตรเหล่านั้นล้มป่วยใกล้ตาย ตนจึงไปกระซิบสั่งความว่า เขาได้ประพฤติอย่างนั่นจะทำให้ไปเกิดในอบาย, ทุคติ, วินิบาต, นรก ถ้าเขาตายไปเกิดในอบายจริง ขอให้กลับมาบอกด้วยว่าโลกหน้ามีจริง สัตว์นรกมีจริง ผลกัมม์มีจริง เพราะเชื่อว่าถ้าเข้าได้ไปเห็นจริงและกลับมายืนยัน ตนก็จะยอมรับได้
"แต่คนเหล่านั้น ทั้งๆ ที่รับคำของข้าพเจ้าแล้ว ก็ไม่เคยเห็นใครกลับมาบอกสักคน ไม่มีใครส่งคนมาบอกข่าวด้วย นี่แหละคือเครื่องยืนยันว่าความเห็นของข้าพเจ้าถูกต้องแล้ว" พระยาปายาสิกล่าวหนักแน่น
พระกุมารกัสสปะยกเหตุผลให้คิดด้วยเรื่องสมมติว่า ถ้าเจ้าหน้าที่ของท่านพระยาจับโจรทำผิดมาให้ลงโทษ แล้วท่านพระยาสั่งการให้เอาเชือกมัดโจรมือไพล่หลังแน่น โกนหัว ตีบัณเฑาะว์พาตระเวนประจานไปตามถนน ออกทางประตูเมืองด้านทิศใต้ ให้ตัดหัวที่ตะแลงแกง เวลาอย่างนั้น ถ้าโจรขอผ่อนผันว่าขอไปร่ำลาบอกข่าวแก่ญาติมิตรก่อน ท่านพระยาจะให้ทำอย่างไร? จะยอมให้ผ่อนผันหรือจะให้ตัดศีรษะโจร?
พระยาปายาสิตอบทันทีว่า ผ่อนผันไม่ได้ ต้องตัด ศีรษะสถานเดียว
พระกุมารกัสสปะพูดให้คิดว่า ขนาดท่านพระยาผู้สั่งการก็เป็นมนุสส์โจรและเจ้าหน้าที่ก็เป็นมนุสส์ การผ่อนผันให้ชะลอการตัดศีรษะโจรยังมีไม่ได้เลย ก็ในเมื่อญาติมิตรของท่านพระยาที่ทำชั่วตายไปเกิดในนรก ซึ่งจะต้องไปเจอนิรยบาลผู้ไม่ใช่มนุสส์ ขอให้เขารอการลงโทษเพื่อมาบอกข่าวแก่ญาติมิตรในโลกนี้ จะทำได้หรือ?
พระยาปายาสิได้ฟังก็ไม่มีคำจะโต้แย้ง แต่ก็ยังยืนกรานในความเชื่อเดิมไม่เปลี่ยนแปลง พระเถระขอให้ยกเหตุผลมาโต้แย้งอีก
คราวนี้พระยาปายาสิยกเรื่องตรงกันข้ามขึ้นมากล่าว คือเรื่องที่ญาติมิตรผู้ประพฤติอยู่ในสีลในธัมมะอย่างดี เมื่อเขาจะตายก็ได้ไปสั่งความเหมือนกันว่า ถ้าไปเกิดในเทวโลกขอให้กลับมาบอกข่าวด้วย จะได้รู้ว่าโลกหน้ามีจริง เทวดามีจริง ผลกัมม์มีจริง แต่คนเหล่านั้นรับคำแล้ว ก็ไม่เคยเห็นใครกลับมาบอกข่าว หรือจะฝากความกับใครมาก็ไม่เคยเห็นมี แสดงว่าโลกหน้า...ไม่มี
พระกุมารกัสสปะยกอุปมาให้คิดในเรื่องนี้ว่า...
สมมติว่า มีชายคนหนึ่งตกลงไปในหลุมอุจาระจนมิดศีรษะ ท่านพระยาจึงให้เจ้าหน้าที่ช่วยกันดึงเขาขึ้นมาให้เอาซีกไม้ไผ่ขูดอุจาระออกจากตัวเขาแล้วเอาดินสีเหลืองขัดตัว ๓ หน จากนั้นให้เอาน้ำมันชะโลมตัวเขา และทาแป้ง(จุณ) อีก ๓ รอบจนขาวนวล จัดการแต่งผมแต่งหนวด สวมพวงดอกไม้เครื่องประดับ และให้ผ้านุ่งอย่างดี แล้วพาขึ้นไปอยู่บนปราสาทชั้นสูง ให้บำรุงบำเรอด้วยกามคุณ ๕, ขอถามท่านพระยาว่า ชายคนนั้นซึงได้รับการขัดสีฉวีวรรณตกแต่งร่างกายให้อย่างดีและปรนเปรอด้วยกามคุณอย่างนั้น จะยังต้องการกลับลงไปในหลุมอุจจาระอีกไหม?
พระยาปายาสิตอบว่า เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน
"เพราะเหตุไร?" พระเถระถาม
พระยาปายาสิตอบโดยไม่ต้องคิดว่า เพราะหลุมอุจจาระมันสกปรกโสโครก เหม็น น่าขยะเเขยง
"ฉันใดก็ฉันนั้น" พระเถระกล่าว "มนุสส์เรานั้น ทั้งสกปรกทั้งเหม็น ทั้งน่ารังเกียจ กลิ่นมนุสส์นั้นฟุ้งขึ้นไปไกลถึงร้อยโยชน์ เหม็นขึ้นไปถึงเทวดาเมื่อญาติมิตรของท่านพระยาตายไปเกิดในเทวโลก พวกเขายังจะกลับมาบอกท่านอีกหรือ?"....
@@@...โปรดติดตามตอนต่อไปครับ....อายุของมนุสส์กับเทวดาชั้นดาวดึงส์...
โฆษณา