พระกุมารกัสสปะใช้วิธีตั้งคำถามให้พระยาปายาสิตอบก่อนว่า พระจันทร์ พระอาทิตย์มีอยู่ในโลกนี้หรือในโลกอื่น และเป็นเทวดาหรือมนุสส์?
พระยาปายาสิตอบตามความรู้ความเชื่อ(ของคนในยุคนั้น) ว่าพระจันทร์พระอาทิตย์มีอยู่ในโลกอื่น และเป็นเทวดาไม่ใช่มนุสส์
พระกุมารกัสสปะใช้ความเชื่อเรื่องนี้ของพระยาปายาสิเองเป็นคำตอบว่า ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่าโลกอื่นมี สัตว์ผุดเกิดมี ผลกัมม์มี, แต่พระบาปายาสิยังไม่ยอมรับด้วยเหตุผลเพียงเท่านั้น พรเถระจึงขอฟังเหตุผลที่เห็นแย้ง
ผู้นำแห่งเสตัพยนครยกเรื่องราวขึ้นมาสนับสนุนความเชื่อของตนว่า เขามีญาติมิตรในโลกนี้ ซึ่งมีทั้งฆ่าสัตว์, ลักทรัพย์, ประพฤติผิดในกาม ,พูดเท็จ..มักได้, อาฆาตมาดร้าย, เห็นผิดทำนองคลองธัมม เมื่อญาติมิตรเหล่านั้นล้มป่วยใกล้ตาย ตนจึงไปกระซิบสั่งความว่า เขาได้ประพฤติอย่างนั่นจะทำให้ไปเกิดในอบาย, ทุคติ, วินิบาต, นรก ถ้าเขาตายไปเกิดในอบายจริง ขอให้กลับมาบอกด้วยว่าโลกหน้ามีจริง สัตว์นรกมีจริง ผลกัมม์มีจริง เพราะเชื่อว่าถ้าเข้าได้ไปเห็นจริงและกลับมายืนยัน ตนก็จะยอมรับได้
"แต่คนเหล่านั้น ทั้งๆ ที่รับคำของข้าพเจ้าแล้ว ก็ไม่เคยเห็นใครกลับมาบอกสักคน ไม่มีใครส่งคนมาบอกข่าวด้วย นี่แหละคือเครื่องยืนยันว่าความเห็นของข้าพเจ้าถูกต้องแล้ว" พระยาปายาสิกล่าวหนักแน่น
พระกุมารกัสสปะยกเหตุผลให้คิดด้วยเรื่องสมมติว่า ถ้าเจ้าหน้าที่ของท่านพระยาจับโจรทำผิดมาให้ลงโทษ แล้วท่านพระยาสั่งการให้เอาเชือกมัดโจรมือไพล่หลังแน่น โกนหัว ตีบัณเฑาะว์พาตระเวนประจานไปตามถนน ออกทางประตูเมืองด้านทิศใต้ ให้ตัดหัวที่ตะแลงแกง เวลาอย่างนั้น ถ้าโจรขอผ่อนผันว่าขอไปร่ำลาบอกข่าวแก่ญาติมิตรก่อน ท่านพระยาจะให้ทำอย่างไร? จะยอมให้ผ่อนผันหรือจะให้ตัดศีรษะโจร?
พระยาปายาสิตอบทันทีว่า ผ่อนผันไม่ได้ ต้องตัด ศีรษะสถานเดียว
พระกุมารกัสสปะพูดให้คิดว่า ขนาดท่านพระยาผู้สั่งการก็เป็นมนุสส์โจรและเจ้าหน้าที่ก็เป็นมนุสส์ การผ่อนผันให้ชะลอการตัดศีรษะโจรยังมีไม่ได้เลย ก็ในเมื่อญาติมิตรของท่านพระยาที่ทำชั่วตายไปเกิดในนรก ซึ่งจะต้องไปเจอนิรยบาลผู้ไม่ใช่มนุสส์ ขอให้เขารอการลงโทษเพื่อมาบอกข่าวแก่ญาติมิตรในโลกนี้ จะทำได้หรือ?
พระยาปายาสิได้ฟังก็ไม่มีคำจะโต้แย้ง แต่ก็ยังยืนกรานในความเชื่อเดิมไม่เปลี่ยนแปลง พระเถระขอให้ยกเหตุผลมาโต้แย้งอีก
คราวนี้พระยาปายาสิยกเรื่องตรงกันข้ามขึ้นมากล่าว คือเรื่องที่ญาติมิตรผู้ประพฤติอยู่ในสีลในธัมมะอย่างดี เมื่อเขาจะตายก็ได้ไปสั่งความเหมือนกันว่า ถ้าไปเกิดในเทวโลกขอให้กลับมาบอกข่าวด้วย จะได้รู้ว่าโลกหน้ามีจริง เทวดามีจริง ผลกัมม์มีจริง แต่คนเหล่านั้นรับคำแล้ว ก็ไม่เคยเห็นใครกลับมาบอกข่าว หรือจะฝากความกับใครมาก็ไม่เคยเห็นมี แสดงว่าโลกหน้า...ไม่มี
พระกุมารกัสสปะยกอุปมาให้คิดในเรื่องนี้ว่า...
สมมติว่า มีชายคนหนึ่งตกลงไปในหลุมอุจาระจนมิดศีรษะ ท่านพระยาจึงให้เจ้าหน้าที่ช่วยกันดึงเขาขึ้นมาให้เอาซีกไม้ไผ่ขูดอุจาระออกจากตัวเขาแล้วเอาดินสีเหลืองขัดตัว ๓ หน จากนั้นให้เอาน้ำมันชะโลมตัวเขา และทาแป้ง(จุณ) อีก ๓ รอบจนขาวนวล จัดการแต่งผมแต่งหนวด สวมพวงดอกไม้เครื่องประดับ และให้ผ้านุ่งอย่างดี แล้วพาขึ้นไปอยู่บนปราสาทชั้นสูง ให้บำรุงบำเรอด้วยกามคุณ ๕, ขอถามท่านพระยาว่า ชายคนนั้นซึงได้รับการขัดสีฉวีวรรณตกแต่งร่างกายให้อย่างดีและปรนเปรอด้วยกามคุณอย่างนั้น จะยังต้องการกลับลงไปในหลุมอุจจาระอีกไหม?
พระยาปายาสิตอบว่า เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน
"เพราะเหตุไร?" พระเถระถาม
พระยาปายาสิตอบโดยไม่ต้องคิดว่า เพราะหลุมอุจจาระมันสกปรกโสโครก เหม็น น่าขยะเเขยง
"ฉันใดก็ฉันนั้น" พระเถระกล่าว "มนุสส์เรานั้น ทั้งสกปรกทั้งเหม็น ทั้งน่ารังเกียจ กลิ่นมนุสส์นั้นฟุ้งขึ้นไปไกลถึงร้อยโยชน์ เหม็นขึ้นไปถึงเทวดาเมื่อญาติมิตรของท่านพระยาตายไปเกิดในเทวโลก พวกเขายังจะกลับมาบอกท่านอีกหรือ?"....