14 ก.ค. 2021 เวลา 13:02 • ข่าว
ไทยเตรียมกำหนดสัดส่วนการส่งออกวัคซีน เพื่อให้มีวัคซีนเพียงพอที่จะใช้ภายในประเทศ
6
จากกรณีที่ประเทศไทย มีข้อตกลงเบื้องต้นที่จะได้รับวัคซีนจากบริษัทแอสตร้า(ประเทศไทย) จำนวน 61 ล้านโดส จากกำลังการผลิตทั้งสิ้น 180 ล้านโดสต่อปี คิดเป็น 1/3 ของกำลังการผลิต ที่เหลืออีก 2/3 จัดส่งให้กับประเทศเพื่อนบ้านในกลุ่มอาเซียน
1
โดยมีการวางแผนที่จะได้รับวัคซีน
มิย. 6 ล้านโดส
กค.-พย. เดือนละ 10 ล้านโดส
ธค. 5 ล้านโดส
ซึ่งเมื่อรวมกับวัคซีน Sinovac Pfizer Moderna Sinopharm ก็จะทำให้ไทยมีปริมาณวัคซีน 105 ล้านโดสภายในสิ้นปีนี้
แต่เมื่อทางบริษัทแอสตร้า(ประเทศไทย)เดินเครื่องการผลิตภายในประเทศ
เริ่มเดือนมิถุนายน ก็มีเหตุขลุกขลักเล็กน้อย แต่ในที่สุดไทยก็ได้รับวัคซีนมาจำนวน 6 ล้านโดส
โดยที่ประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียนถูกเลื่อนการส่งวัคซีนออกไป
3
และในขณะนี้ มีข่าวว่าบริษัทแอสตร้า
(ประเทศไทย) กำหนดจะส่งวัคซีนให้กับประเทศไทยเฉลี่ยเดือนละ 5-6 ล้านโดส ซึ่งเป็นสัดส่วนหนึ่งในสามของกำลังการผลิต ที่ได้เดือนละ 15 ล้านโดส
นั่นก็หมายความว่าวัคซีนที่ไทยจะได้รับในหกเดือนแรกจำนวน 61 ล้านโดส จะถูกกระจายออกไปเป็นได้รับเดือนละ 5 ล้านโดสเป็นเวลา 12 เดือนแทน
ซึ่งก็จะไม่เป็นไปตามที่วางแผนไว้ ทางรัฐบาลจึงได้เตรียมการแก้ปัญหาดังกล่าวสองแนวทางด้วยกัน
2
แนวทางที่หนึ่ง การเจรจา โดยความเข้าอกเข้าใจ และชี้แจงถึงเหตุผลความจำเป็นที่ไทยจะต้องได้รับวัคซีนในสิ้นปีนี้จำนวน 61 ล้านโดส แทนที่จะเป็นเฉลี่ย 12 เดือน
1
แนวทางที่สอง ถ้าการเจรจานั้นไม่สามารถตกลงกันได้ ก็จะเป็นการดำเนินการเหมือนที่สหภาพยุโรปและประเทศอินเดีย ได้ดำเนินการแล้ว คือ ใช้กฎหมายในสถานการณ์ที่มีโรคระบาด
1
ประเทศไทยเอง ก็ได้มีการเตรียมการกฎหมายดังกล่าวไว้ตั้งแต่ปี 2561 คือ พระราชบัญญัติความมั่นคงด้านวัคซีนแห่งชาติ ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2561
1
โดยในมาตรา 18 ระบุว่า
1
ในกรณีที่มีเหตุฉุกเฉินหรือมีเหตุจำเป็นเพื่อประโยชน์สาธารณะ เพื่อป้องกัน ควบคุม รักษา หรือลดความรุนแรงของโรค หรือเพื่อความมั่นคงของประเทศ
ให้รัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการ มีอำนาจประกาศกำหนดเรื่องใดเรื่องหนึ่งดังต่อไปนี้
(2) สัดส่วนการส่งออกวัคซีนไปนอกราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราว ซึ่งต้องเหมาะสมกับสัดส่วนการใช้วัคซีนภายในประเทศ
เมื่อเหตุฉุกเฉินหรือเหตุจำเป็นสิ้นสุดลงแล้ว ให้รัฐมนตรีประกาศยกเลิกประกาศนั้น
ทั้งนี้รัฐมนตรีในพระราชบัญญัติฉบับนี้คือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข
และคณะกรรมการ หมายถึงคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติ ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเป็นรองประธาน และมีผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนเป็นกรรมการและเลขานุการ
มติของคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติวันนี้ ได้มอบหมายให้ผู้อำนวยการการสถาบันวัคซีนแห่งชาติร่วมกับอธิบดีกรมควบคุมโรค
ไปทำการพิจารณาทบทวนเนื้อหาร่างประกาศดังกล่าว โดยให้พิจารณา
1) ผลกระทบซึ่งจะเกิดขึ้นกับประเทศเพื่อนบ้านและบริษัทแอสตร้า(ประเทศไทย)
2) ผลประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นกับประเทศชาติและประชาชน
โดยขอให้เน้นการเจรจากับบริษัทผู้ผลิตอย่างเต็มที่เป็นลำดับแรก แล้วกลับมารายงานถึงผลการเจรจา รวมทั้งร่างประกาศที่จะพิจารณาต่อไป
2
หวังว่าบริษัทผู้ผลิตคงจะเข้าใจและพยายามยืดหยุ่นการส่งวัคซีนให้ เช่นเดียวกับกรณีของสหภาพยุโรปและอินเดีย ก็ได้ใช้มาตรการเดียวกันนี้ เพื่อควบคุมสถานการณ์โรคระบาดของประเทศเอาไว้ให้ได้
Reference
โฆษณา