14 ก.ค. 2021 เวลา 14:07 • หุ้น & เศรษฐกิจ
Read Factsheet Like A Pro ✅
คู่มืออ่าน Factsheet ให้โปร ฉบับเด็กการเงิน
สิ่งที่ทำให้เราประสบความสำเร็จไม่ว่ามือใหม่หรือมือเก่าคือ ต้องเข้าใจสิ่งที่เราลงทุนให้มากๆ
Factsheet รวมข้อมูลกองทุนรวมเอาไว้ให้เราทั้งหมดแล้ว เราจึงแนะนำให้อ่านทุกครั้งก่อนลงทุน
วันนี้ #เด็กการเงิน จะสรุปการอ่าน Factsheet แบบ Like A Pro ให้นำไปใช้กัน
รวมหัวข้อสำคัญที่ต้องอ่านและใช้จริง สามารถใช้เป็น Checklistอ่าน Factsheet ได้เลย
เริ่มต้น ปูพื้นแน่นๆ:
20 คำศัพท์ที่ควรรู้ก่อนลงทุนในกองทุนรวม
📑 หนังสือชี้ชวนส่วนสรุปข้อมูลสำคัญ หรือที่เรียกว่า Fund Fact Sheet จะมีหัวข้อดังนี้:
1. คุณกำลังจะลงทุนในอะไร?
2. กองทุนรวมนี้เหมาะกับใคร?
3. คุณต้องระวังอะไรเป็นพิเศษ?
4. สัดส่วนของประเภททรัพย์สินที่ลงทุนมีอะไรบ้าง?
5. ค่าธรรมเนียมเป็นเท่าไร?
6. ผลการดำเนินงานเป็นอย่างไร?
7. ข้อมูลอื่นๆ ที่ควรรู้
🔹 Checklist ดังต่อไปนี้ใช้ได้ทั้งกองทุนแบบลงทุนตรงและลงทุนผ่านกองทุนหลักเลย🔹
1️⃣ คุณกำลังจะลงทุนในอะไร?
จะมีข้อมูลบอก 2 ส่วนย่อยคือ
1.1 นโยบายการลงทุนของกองทุนว่าเป็นกองทุนที่ลงทุนในตราสารประเภทไหน (ตราสารตลาดเงิน ตราสารหนี้ ตราสารทุน หรืออื่นๆ)
ลงทุนตรง หรือลงทุนผ่านกองทุนหลักเพียง 1 กอง หรือเป็นกองทุนที่มีกองทุนหลักมากกว่า 1 กอง (Fund of Funds) เงินของเราจะไปอยู่กับสินทรัพย์อะไร
และ 1.2 กลยุทธ์ในการบริหารจัดการลงทุน ว่าเป็นกองประเภท Active (พยายามให้ได้ผลตอบแทนมากกว่าดัชนีชี้วัด) หรือ Passive (เลียนแบบดัชนี หรือพยายามทำให้ผลตอบแทนเท่ากับตลาด) ไม่มีใครการันตีได่ว่ากองแบบ active จะชนะกองแบบ passive เสมอ ดังนั้นการดูผลงานย้อนหลังจะช่วยการตัดสินใจได้
กองทุนนี้เหมาะกับใคร กองทุนนี้ไม่เหมาะกับใคร ช่วยให้แนวทางว่าเราเหมาะกับกองทุนนี้หรือไม่
2️⃣ ความเสี่ยงของกองทุนรวม
ว่าอยู่ในระดับใดตั้งแต่ 1 – 8+ คือความเสี่ยงต่ำ ถึงความเสี่ยงสูงมากอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งนักลงทุนสามารถรู้ระดับความเสี่ยงที่เรายอมรับได้จากแบบประเมินความเสี่ยงการลงทุนที่เราทำไว้ตอนเริ่มลงทุน
ดังนั้นถ้าเรารู้ risk profile คร่าวๆ ก็จะทำให้เราระวังมากขึ้นหากกองทุนนั้นมีระดับความเสี่ยงสูงกว่าที่เรายอมรับได้ ความเสี่ยงที่ควรดูต่อมาคือความกระจุกตัวของหลักทรัพย์ใดหลักทรัพย์หนึ่ง หรือกองทุนออกแบบมาเพื่อลงทุนในอุตสาหกรรม หรือธีมหนึ่งๆ จะทำให้ความเสี่ยงมากขึ้น สุดท้ายต้องทราบว่าความเสี่ยงค่าเงิน จะถูกจัดการอย่างไร
3️⃣ สัดส่วนของประเภททรัพย์สินที่ลงทุน
เราจะรู้ข้อมูลหลักๆ คือ กองทุนนี้ไปลงทุนในสินทรัพย์ประเภทใดบ้าง (เงินฝาก, พันธบัตรรัฐบาล, พันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย, พันธบัตรรัฐวิสาหกิจ, ตราสารหนี้ภาคเอกชน, ตราสารทุน, ตราสารอนุพันธ์, กองทุนต่างประเทศ) และรายชื่อหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าสูงสุด 10 อันดับแรกในพอร์ต ทั้งนี้ กองทุนแบบลงทุนตรง และกองทุนแบบลงทุนผ่านกองทุนอื่นก็จะมีการจำแนกสินทรัพย์ที่ลงทุน อุตสาหกรรม และประเทศ ถึงตรงนี้พอบอกได้ว่า กองทุนลงในสินทรัพย์ประเภทไหนมากเป็นพิเศษ
4️⃣ โครงสร้างค่าธรรมเนียมก็เป็นส่วนสำคัญที่กระทบต่อผลตอบแทนของเรา ถ้าเราต้องจ่ายค่าธรรมเนียมแพง แสดงว่าผลตอบแทนที่เราจะได้รับนั้นก็น้อยลง แต่ค่าธรรมเนียมก็แตกต่างกันไปในแต่ละประเภทของกอง และโดยทั่วไป ถ้าเป็นกอง Active ก็จะมีค่าธรรมเนียมที่สูงกว่ากอง Passive
ค่าธรรมเนียมแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ
1. ค่าธรรมเนียมที่เรียกเก็บจากกองทุนรวม (ถูกคำนวณทุกวันและสะท้อนออกมาใน NAV) ถ้าค่าธรรมเนียมส่วนนี้มากเกินไป มูลค่า NAV ก็จะมีแนวโน้มขึ้นช้า เนื่องจากเสียค่าใช้จ่ายไปทุกวันนั่นเอง
และ
2.ค่าธรรมเนียมที่เรียกเก็บจากผู้ถือหน่วย (เราเสียตอนที่เราซื้อขาย) เช่น Front-End Fee, Back-End Fee และ Switching Fee เป็นต้น
ถ้าเราได้มีโอกาสศึกษากองทุนคล้ายๆกัน เลือกค่าธรรมเนียมถูกกว่า จะเปรียบเสมือนจ่ายค่าจ้างให้คนดูแลเงินของเราต่ำลง แต่ได้ผลตอบแทนที่เด่นชัดกว่า เป็นต้น
อ่านเพิ่มเติมได้ที่
NAV กองทุนคืออะไร? สูงแปลว่าแพง ต่ำแปลว่าถูก จริงเหรอ?
เจาะลึก Total Expense Ratio (TER) ค่าธรรมเนียมที่เรียกเก็บจากกองทุนรวม
Active vs. Passive Fund ค่าธรรมเนียมมีผลมากแค่ไหน?
5️⃣ ผลการดำเนินงานในอดีตเป็นอย่างไร โดยดูเปรียบเทียบกับดัชนีชี้วัด (Benchmark) ดูความผันผวนของการดำเนินงาน (Standard Deviation) ถ้าค่ามากแสดงว่าผันผวนมาก และอันนี้สำคัญมาก ดูว่าย้อนหลัง 5 ปี กองทุนนี้เคยขาดทุนสูงสุดมากขนาดไหน (Maximum Drawdown) เป็นตัวเลขขาดทุนสูงสุดที่กองทุนเคยทำในอดีต เราเห็นตัวเลขนี้แล้วยอมรับได้หรือไม่ ถ้าตกใจหรือคิดว่ารับไม่ได้ อาจจะต้องพิจารณากองทุนที่มีความเสี่ยงต่ำกว่านี้
แต่อย่างไรก็ตาม ผลการดำเนินงานในอดีตไม่ได้บอกว่าอนาคตจะดีหรือแย่กว่าที่ผ่านมา ดังนั้นการที่เราจะซื้อหรือไม่ซื้อกองทุนนี้ เราจึงพิจารณาแต่ส่วนนี้เพียงอย่างเดียวไม่ได้ แต่ต้องทราบว่าที่ผ่านมาเอาชนะ Benchmark ได้หรือไม่ รวมถึงอ่าน Percentile Ranking ให้เป็นเพื่อรู้ว่าผลงานของกองทุนอยู่อันดับที่เท่าไหร่ในกลุ่มเดียวกัน
อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
กองทุนมีกี่ประเภท? มาจัดประเภทของกองทุนกันเถอะ
เปรียบเทียบผลงานกองทุนด้วย “Percentile Ranking”
6️⃣ ข้อมูลอื่นๆ ที่ควรดูคือ กองทุนนี้มีนโยบายการจ่ายปันผลหรือไม่ ถ้ามี เราก็จะมีสิทธิ์ได้รับปันผลเป็นรอบๆ ซึ่งส่วนนี้สามารถพอดูได้ว่า จะได้ปันผลปีละกี่ครั้ง และซื้อขายกองทุนได้ช่วงเวลาไหนบ้าง เพื่อไม่เป็นการเสียโอกาส
7️⃣ ระยะเวลาทำการ เป็นอีกเรื่องนึงที่สำคัญ คือหลายคนจะมีคำถามว่า ขายกองนี้ไปตั้งหลายวันแล้ว ทำไมยังไม่ได้เงินเข้าบัญชีเลย หรือซื้อไปแล้วจะได้ราคาของวันไหน ดังนั้น ถ้าไม่อยากให้มีคำถามแบบนี้ เราต้องดูด้วยว่า เราซื้อขาย ตามวันเวลาทำการหรือไม่ (ถ้าไม่ทัน จะเป็นเวลาทำการถัดไป)
และหลังจากวันที่ขายแล้วเราจะได้รับเงินเมื่อไร ที่ระยะเวลา T บวกด้วยวันที่ใช้ในการคำนวณราคาหน่วยลงทุน เช่น T+3 ขายวันจันทร์ จะได้เงินวันพฤหัสฯ หรือถ้าหากวันพุธเป็นวันหยุด จะได้เงินวันศุกร์ เป็นต้น (ต้องนับเฉพาะวันทำการเท่านั้น)
วันหยุดกองทุนของ บลจ. ต่างๆ
📈 สรุปได้ว่าการดู Fact Sheet กองทุน ไม่ยากและใช้เวลาไม่นานเลย และเราได้รู้ข้อมูลสำคัญๆ เพียบก่อนตัดสินใจลงทุน หรือถ้าเราถือกองทุนนั้นอยู่ เราก็จะเข้าใจการดำเนินงานของกองทุนและผลงานของกองทุนอีกด้วย 😄
😆 ยังจุใจไม่พอ !!!?? อ่านซีรีย์ Fact Sheet กองทุนแบบเจาะลึกเป็นส่วนๆ เข้มข้นสุดๆ อีก 3 ภาค
การอ่าน Fact Sheet กองทุน เจาะลึกตอนที่ 1 นโยบาย กลยุทธ์ และความเสี่ยงในการลงทุน
การอ่าน Fact Sheet กองทุน เจาะลึกตอนที่ 2 ค่าธรรมเนียม และ NAV
การอ่าน Fact Sheet กองทุน เจาะลึกตอนที่ 3 ผลการดำเนินงานของกองทุนรวมและ Percentile Ranking
โฆษณา