15 ก.ค. 2021 เวลา 12:00 • หนังสือ
คนอื่นจะชี้หน้าบอกว่าคุณ “ดี” หรือ “เลว” มากแค่ไหนก็ได้ แต่มันไม่ได้แปลว่า จะระบุตัวตนของคุณได้จริง ๆ หรอก เพราะใน 1 สถานการณ์ มักมีมากกว่า 1 ด้านเสมอ
คำที่คุณอาจเคยได้ยินจนคุ้นหู ว่า…
“ทำไมคุณเป็นคนแบบนี้”
“คุณมันเห็นแก่ตัว”
“คุณมันห่วยที่สุด ตั้งแต่ได้เจอมา”
“นี่มันเป็นความผิดของคุณ คุณต้องชดใช้!”
“คุณไม่สมควรทำแบบนี้!”
1
และสารพัดคำที่บอกว่า คุณคือคนผิด! ซึ่งคุณมีหน้าที่แค่รับผิด ปิดปากเงียบ คอยยืนรับไข่ที่ปาใส่หน้าคุณเท่านั้น หรือคุณอาจจะโต้เถียงกลับไปแบบสุดกำลัง เพื่อปกป้องความบริสุทธิ์ของตัวเองก็ได้
เคสนี้เป็นเรื่องจริงจากคนใกล้ตัว...
ถ้าหากคุณอ่านจบ คุณจะได้ตกผลึกอะไรบางอย่าง
มีชายวัยรุ่นคนนึง ที่เริ่มสร้างตัวมาตั้งแต่อายุยังไม่ถึง 20 เขาได้เรียนรู้การทำงานหาเงินมาตั้งแต่เด็ก จากการสั่งสอนเลี้ยงดูจากที่บ้าน จนเมื่อออกมาทำงานเต็มตัวหลังจากเรียนจบ เขาเริ่มประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจของเขา และเก็บเงินได้หลักล้าน ตั้งแต่อายุ 20 ต้น ๆ
เขาเริ่มมีชื่อเสียงในวงการที่เขาทำ
หลายคนชื่นชมเขา และมีเขาเป็นแบบอย่าง
ใคร ๆ ก็มองว่า "เขาคือคนเก่ง"
ใคร ๆ ก็มองว่า "เขาคือคนฉลาด"
ภาพลักษณ์ของเขา ดูดีไปหมด
เขามีความสุขในความพยายามของตัวเองมาก
ที่สามารถผลักดันตัวเองมาถึงจุดนี้ได้
แต่เบื้องหลัง ที่มีแค่คนวงในที่รู้คือ...
เขากำลังถูกตราหน้าว่า...
"เป็นผู้ชายเจ้าชู้ ที่ทำให้ผู้หญิงร้องไห้ได้ ถึง 3 คน!"
- ผู้หญิงคนที่ 1 คือผู้หญิงที่เขาเคยแต่งงาน และหย่ากันไป พร้อมกับมีลูกน้อย 1 คน แต่เขาเพิ่งกลับมาเริ่มสานสัมพันธ์กันใหม่ได้ไม่นาน แต่ก็ยังไม่ได้ชัดเจนในสถานะต่อกัน เขายังคงรับผิดชอบเรื่องค่าเลี้ยงดูลูก ตามสมควร ตามรายได้ที่เขามี และตอนนี้ลูกของเขาเริ่มเข้าวัยประถมแล้ว
- ผู้หญิงคนที่ 2 คือแฟนเก่าของเขา ที่คบกันได้ 2-3 ปี และเพิ่งเลิกกันได้ไม่นาน ความสัมพันธ์ยังตัดกันไม่ขาดซะทีเดียว มีความคลุมเครือ ไม่ชัดเจนเช่นกัน
- ผู้หญิงคนที่ 3 คือคนใหม่ที่เขาเพิ่งตามจีบ จากการที่เจอกันในด้านอาชีพสายเดียวกัน และมีความชอบที่คล้าย ๆ กัน รวมถึงมุมมองทัศนคติ และเธอก็ไม่ได้รับรู้ว่าเขามีใคร
ในขณะที่เขาตามจีบผู้หญิงคนใหม่ ทุกอย่างเหมือนจะไปได้ด้วยดี เหมือนคนที่จีบกันใหม่ ๆ นั่นแหล่ะ แต่เขากลับรู้สึกว่า ผู้หญิงคนนี้ เข้ามาเติมเต็มอะไรบางอย่างที่เขาไม่เคยมีมาก่อน
เขาได้ให้เวลาตัวเองตัดสินใจ จนกว่าจะมั่นใจว่า ผู้หญิงคนนี้คือคนที่ใช่สำหรับกันและกันจริง ๆ เขาจึงพลาดที่ "ยังไม่ได้ตัดความสัมพันธ์กับผู้หญิงอีก 2 คนอย่างเด็ดขาด"
สุดท้าย เขาก็โดนจับได้ และผู้หญิงทุกคนชี้หน้าด่าว่าเขาเป็น "ผู้ชายเฮงซวย"
มีแค่ผู้หญิงคนใหม่เท่านั้น ที่ดูเหตุการณ์และ พยายามเข้าใจทุก ๆ ฝ่าย ๆ แต่ก็ไม่วาย ที่จะโดนกล่าวหาว่าเป็น "ผู้หญิงไม่ดี" ไปโดยปริยาย...
ผู้หญิง 2 คนแรก ร้องไห้ให้กับการกระทำการโกหกของเขาว่า “เขาไม่ได้มีใคร" เรื่องราวในอดีตที่ผ่านมาของผู้ชายที่เคยทำอะไรไว้ ก็ถูกขุดออกมาระเบิด และถูกชี้หน้าว่า "เขาเลวมาหลายครั้ง"
ส่วนผู้หญิงคนใหม่ จากเหตุการณ์ที่เจอ ก็ทำให้เธอรู้สึกผิดหวังกับความสัมพันธ์ที่เริ่มต้นด้วยปัญหา ทั้ง ๆ ที่เธอก็คิดว่า ผู้ชายคนนี้ “ใช่” สำหรับเธอ มากกว่าใคร ๆ เหมือนกัน แต่ความเจ้าชู้ คือกฏเหล็กของเธอ ว่าเธอจะไม่มีวันคบผู้ชายแบบนี้ในชีวิตเด็ดขาด!
หลังจากที่เรื่องทุกอย่างกำลังปะทุ เขาเลยเลือกที่จะเงียบ และปล่อยให้ทุกคนชี้หน้าด่าเขา เพราะเขารู้ว่า ไม่ว่าเขาจะพูดอะไรออกไป มันก็เหมือนควันดำ ๆ ที่ลอยมาแตะจมูกให้ผู้หญิงฉุนเล่น และลอยหายไปเฉย ๆ แบบไม่มีประโยชน์ เพราะคำพูดของเขา จะเป็นได้แค “คำแก้ตัว” ในสายตาทุกคนอยู่ดี
และแน่นอนว่า เมื่อแม่ของเขารู้เรื่องเข้า ก็ทำให้แม่ของเขารู้สึก “ผิดหวังกับลูกชายตัวเอง” เช่นกัน... และนั่นคือสิ่งที่เขาเสียใจที่สุด
ในตอนนี้หลายคนกำลังมองว่า ผู้ชายคนนี้ คือผู้ชายเจ้าชู้ ที่ไม่สมควรได้รับความรักจากใครเลยหรือป่าว ? และสมควรแล้ว ที่ทุกคนจะตราหน้าว่าเขา คือ “ผู้ชายเลว ๆ” คนนึง
ในมุมมองของคนอื่นในสถานการณ์นี้
- ผู้หญิงคนที่ 1
"มาโกหกฉันทำไม จะมาขอโอกาสให้กลับมาทำไม ไหนบอกว่ารักลูก! อยากทำเพื่อลูก แล้วมาทำแบบนี้ทำไม" เธอร้องไห้หนักมากจนตาบวม เสียใจกับการกระทำของผู้ชายที่ไปมีคนอื่นโดยโกหกเธอ
- ผู้หญิงคนที่ 2
"ทำไมถึงทำกับเราแบบนี้ บอกเลิกเราเพราะจะกลับไปหาคนเก่าเพื่อลูก เรายังพอเข้าใจ แล้วทำไมตอนนี้มาอยู่กับคนใหม่ ให้เสวนาความเลวของเธอก็ไม่หมด!"
- ผู้หญิงคนที่ 3
"ไปจัดการเรื่องของตัวเองให้จบ ถ้าจัดการไม่ได้ เราเป็นพี่น้องกันก็ได้นะ เพราะความเจ้าชู้ คือสิ่งเดียวที่เรารับไม่ได้มากที่สุด" ถึงเธอจะไม่ได้โกรธเขา แต่ความเชื่อใจก็หายไปเกินครึ่ง
-ในมุมมองของแม่
"ผิดหวังกับลูกชาย ที่ทำแบบนี้..." โดยไม่พูดอะไรมากมาย
แล้วคุณหล่ะ คุณมองว่าเขาเลวยังไงบ้าง ?
มาดูมุมของผู้ายกันแบบเปิดใจ โดยไม่อคติกันบ้าง
ผู้ชายคนนี้พูดอย่างเปิดใจให้กับคนที่รับฟังเขาในเรื่องนี้ว่า…
- มุมมองของเขาที่มีต่อ ผู้หญิงคนที่ 1
“ความรู้สึกของการกินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตา ที่มีทั้งพ่อแม่ลูก ผมรู้ว่ามันรู้สึกอบอุ่นมากแค่ไหน เพราะผมไม่เคยขาด และในตอนนี้ผมมารู้สึกว่า ผมไม่อยากให้ลูกต้องขาดความรู้สึกนี้ไป ผมเลยคิดจะกลับไปหาเธอ และบอกเธอถึงเรื่องในอนาคต ทั้ง ๆ ที่ตัวผมก็รู้ดีว่า เธอยังไม่ใช่...”
"ผมอยากสร้างเนื้อสร้างตัวได้ไว ๆ ส่วนนึงก็เพราะลูก"
และที่เขาเลือกที่จะโกหก "เพราะยังไง เธอก็คือแม่ของลูกผม ผมไม่อยากทำให้เธอต้องรู้สึกแย่ ในขณะที่ผมก็กำลังสับสนตัวเอง"
- มุมมองของเขาที่มีต่อผู้หญิงคนที่ 2
“ผมบอกเลิกเธอไปก่อนหน้านี้แล้ว แต่เรายังคุยกันอยู่บ้าง เธอเคยคิดจะฆ่าตัวตายเพราะผม ผมรู้ว่าเธอเป็นยังไง ผมเลยเลือกที่จะทำให้เธอสบายใจไปก่อนตามคำขอของเธอ” นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้เขายังตัดความสัมพันธ์กับผู้หญิงคนนี้ไม่ขาดซะทีเดียว
- เหตุการณ์สำหรับผู้หญิงคนที่ 3
“ที่ผ่านมา ผมรู้สึกเดินบนเส้นทางที่อยากไปด้วยตัวคนเดียวมาตลอด และตอนนี้ผมเจอคนที่ชอบแบบเดียวกันกับผม ผมเจอคนที่สามารถพูดคุยปรึกษากันในเรื่องที่สนใจได้ทั้งวัน แม้แต่นิสัยที่คล้ายกันมากจนน่าตกใจ มันเลยทำให้เข้าใจความรู้สึกและอารมณ์กันได้ง่ายมากกว่าคนทั่วไป ผมกำลังศึกษาเธอ และต้องการคนมาเดินเส้นทางเดียวกันสักที” นี่เป็นสาเหตุ ที่เขาเปิดโอกาสให้ตัวเอง ได้ศึกษาคนที่จะไม่ทำให้เขาต้องรู้สึกโดดเดี่ยว
- สำหรับแม่ของเขา
“สิ่งที่ผมรู้สึกเสียใจมากที่สุด ไม่ใช่เพราะว่ามีใครมาบอกว่าผมไม่ดีหรอก แต่ผมเสียใจ ที่แม่ผิดหวังในตัวผม โดยปกติ ผมไม่ค่อยคุยกับแม่สักเท่าไหร่ ผมไม่รู้ว่าจะกล้าอธิบายให้แม่เข้าใจได้ยังไง เพราะผลลัพธ์ที่แม่ของผมเห็น คือ “ผมทำผิด” โดยที่แม่ของผมไม่รู้ว่า “ทำไม ผมถึงคุยกับผู้หญิงคนนี้” สิ่งเดียวที่เขาต้องการ คงเป็นแค่การให้แม่ให้อภัยเขาเท่านั้น
หากลองกลับกัน...
เขาจะได้เป็นผู้ชายที่ดีหรือป่าว ?
ถ้าเขาเลือกที่จะไม่สนใจว่า ลูกของเขาจะขาดพ่อหรือแม่
เขาจะได้เป็นผู้ชายที่ดีหรือป่าว ?
ถ้าเขาเลือกที่จะไม่สนใจ ว่าแฟนเก่าของเขาจะฆ่าตัวตายเพราะเขา
เขาจะได้เป็นผู้ชายที่ดีใช่มั้ย ?
ถ้าเขาเลือกที่จะไม่เปิดโอกาสให้ตัวเขาเอง
ได้เจอคนที่เข้ากับเขาได้ และไม่ให้เวลาตัวเองได้ตัดสินใจ
เขาจะโดนด่าว่า เลว อยู่มั้ย ?
ถ้าทำให้ผู้หญิงต้องฆ่าตัวตาย
เขาจะโดนด่าว่า เลว อยู่มั้ย ?
ถ้าเขาไม่สนใจความรู้สึกของลูกเลยสักนิด ในตอนที่เขาเริ่มสร้างตัวได้
เขาจะโดนด่าว่า เลว ในสายตาคนที่เขาทิ้ง
และอาจจะกลายเป็นคนดีในสายตาของคนที่เขาเลือกก็ได้
ไม่ว่าจะต้องตัดสินใจแบบไหน
เขาก็มักจะเป็นทั้งคนที่ "ดี" และ "เลว"
ในสายตาใครสักคนในสถานการณ์นั้น ๆ อยู่ดี
ถ้าถามเข้าไปลึก ๆ แล้ว เขาอาจจะไม่ได้ตั้งใจที่จะเลว
แต่เขาแค่กำลัง "ตัดสินใจ" และ "สับสน"
ในมุมมองของเรา เขาก็มีส่วนที่ผิดจริง ๆ
แต่พอได้มองออกมาแบบ บุคคลที่ 3 แล้ว
มันมีหลายด้านให้มองเลยล่ะ
ด้านที่เขาเลว มันก็มาจากความเห็นแก่ตัว และไม่ชัดเจน การโกหก ไม่กล้าตัดขาดเพราะกลัวจะพลาดสิ่งที่ดีที่สุดไป จนกว่าจะมั่นใจ ใช่ เขาคงเป็นคนเลวในสายตาใคร ๆ
ส่วนด้านที่ดี ความเห็นอกเห็นใจของเขาข้างใน ถ้ามองแบบไม่อคติ เขาก็เป็นคนดีอยู่บ้างในคราบคนเลว เขาห่วงลูก ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าตัวเขาเอง อาจจะไม่ได้มีความสุขจริง ๆ เขาห่วงผู้หญิงที่จะฆ่าตัวตายเพราะเขาหลายหน แต่เลือกที่จะไม่หายไปจากชีวิตทันที เพื่อให้ผู้หญิงรู้สึกดีขึ้น
และใช่ ในหน้าที่การงาน เขาคือ คนดี คนเก่ง คนฉลาด ในสายตาใครหลายคนอีกเช่นกัน
ซึ่งในตอนนี้ กำลังอยู่ในช่วงที่ต้องจัดการปัญหาทั้งหมดด้วยตัวเขาเอง
และแน่นอนว่า เหตุการณ์ในอดีตที่เขาเคยเจอ เขาก็เคยเป็นฝ่ายถูกกระทำจากผู้หญิงมาเหมือนกัน จนกลายเป็นวนลูปของเหตุการณ์ทั้งหมด แต่เขาก็ไม่คิดที่จะกล่าวหาอะไร... จึงไม่ขอให้เอ่ยในโพสต์ ๆ นี้...
ในระหว่างที่เขากำลังรู้สึกแย่ไปกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
เราแนะนำให้เขาหยิบหนังสือ The power of your subconscious mind ที่เขามีอยู่แล้ว ขึ้นมาอ่านบทหนึ่ง ที่เกี่ยวกับการ “ให้อภัย”
ในบทนั้นบอกว่า...
1.ร่างกายพร้อมให้อภัยคุณ ทุกครั้งที่คุณทำผิดกับร่างกาย
ถ้าคุณเผลอทำมีดบาดมือ ร่างกายก็จะสมานแผลให้คุณ
ถ้าคุณกินของไม่ดีเข้าไป ร่างกายก็จะพยายามอ้วกออกมา
โดยที่ร่างกายไม่ได้สนเลยว่า คุณจะตั้งใจรึป่าว ?
แต่ร่างกาย จะพยายามทำทุกอย่าง
เพื่อให้คุณ มีชีวิตอยู่ต่อ...
แล้วทำไม...​
คุณถึงจะให้อภัยตัวเอง เพื่อเยียวยาจิตใจ
ให้อยู่ต่อไปไม่ได้กันล่ะ...
2.การโทษตัวเองในปัจจุบัน ก็เหมือนการโทษคนบริสุทธิ์
เพราะสิ่งที่คุณทำจะกลายเป็นอดีตทันที ที่คุณรู้ตัวว่า
"คุณจะไม่เลือกทำผิดแบบเดิม ในปัจจุบันอีก"
เพราะจิตใจของคุณ ได้เปลี่ยนเป็นคนละคนแล้ว ^^
3.ถ้าสิ่งที่คนกล่าวหาคุณ เป็นเรื่องจริง
ให้ขอบคุณเขา ที่ทำให้คุณมีโอกาสได้รู้ข้อผิดพลาด
ได้พัฒนาตัวเองจากคนที่ แย่ที่สุด
กลายเป็นคนที่ ดีที่สุด ในเวอร์ชั่นของคุณ
วันนึงคุณจะเข้าใจเอง เมื่อคุณพัฒนามันแล้ว
4.ถ้าสิ่งที่คนกล่าวหาคุณ ไม่ใช่เรื่องจริง
หรือคุณก็เคยโดนใครกระทำมาเหมือนกัน
การให้อภัยคนอื่น คือการปลดปล่อยตัวคุณเอง
ทุกครั้งที่คุณให้อภัย คุณจะเมตตาเขา
ให้เขาได้รับความสุข ความสงบในชีวิต
แล้วคุณจะได้รับมันกลับมาเอง ตามกฎของแรงดึงดูด
5.ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ทุกอย่างถูกดำเนินไปตามสิ่งที่คู่ควร
ถ้าตอนนี้มีเรื่องอะไรที่ไม่ดี แปลว่ามีบางอย่างผิดพลาด
คุณแค่ยอมรับ มองให้เป็นกระจกสะท้อนตัวเอง
ในการเป็นคนที่ดีขึ้น เชื่อมั่นในสิ่งที่คุณคู่ควร
และกลับมาทำปัจจุบันให้ดีกว่าในอดีตก็พอ
เมื่อเราถามเขาว่า
"คุณได้ตกผลึกอะไรจากบทนี้ ?"
คำตอบของเขาคือ
"ผมรู้สึกโล่งอย่างบอกไม่ถูก จากที่ก่อนหน้านี้ผมอึดอัดใจ ตอนนี้ผมเริ่มให้อภัยตัวเอง และจะจัดการมันให้ดีกว่าเดิม บางอย่างที่ผมตัดสินใจมันผิดพลาด แต่ต่อจากนี้ผมจะทำให้ถูกต้องมากขึ้น"
“คุณรู้สึกแย่ หรือเกลียดคนที่เคยทำร้ายคุณในอดีตรึป่าว ?”
คำตอบของเขาคือ
“ผมนึกไม่ออกเลยว่า ตอนนี้ผมรู้สึกโกรธหรือเกลียดใคร เพราะใครที่เคยทำไม่ดีกับผม ก็อาจจะเป็นคนละคนกับตอนนี้แล้วเหมือนกันก็ได้ เหมือนที่ผมรู้สึกว่าผมเปลี่ยน”
นี่คือบททดสอบของหนังสือ ที่มีให้เขาว่า
“เขาได้ให้อภัยแล้วจริง ๆ หรือยัง”
คุณได้ตกผลึกอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้บ้าง ?
คุณลองนึกเรื่องของตัวคุณเองดูสิ
แล้วถ้าคุณอยากแชร์ หรือระบายในเมนต์ได้เลยนะ
แชร์หรือแท็กเพื่อนมาอ่านได้นะ คุณช่วยเขาได้ ^^
ถ้าคุณอยากเป็นเจ้าของหนังสือเล่มนี้
เพื่อให้คุณเข้าใจเรื่องนี้ ลึกขึ้นกว่าเดิม
ตอนนี้มีราคาพิเศษให้คุณ !!
- ซื้อเฉพาะหนังสือ 700 บาท
- ซื้อเฉพาะหนังสือเสียง 950 บาท
- ซื้อคู่ 1,490 บาท ส่งฟรี (ได้รับทั้งหนังสือเล่ม และหนังสือเสียง)
จำกัดแค่ 50 เล่ม 50 ชุด เท่านั้น!!
สั่งซื้อหนังสือ รีบแอดไลน์ @wnireader
พิมพ์คำว่า "หนังสือ The power"
(เข้าไปอ่านสรุปหนังสือได้ ที่ลิ้งค์ในคอมเมนต์)
สิ่งที่สำคัญที่สุด ไม่ใช่การทำให้คนอื่นพยายามเข้าใจ
แต่เป็นการให้อภัยทั้งตัวเอง และคนอื่น เพื่อเป็นคนใหม่ที่ดีขึ้นต่างหาก ^^
โฆษณา