16 ก.ค. 2021 เวลา 12:00 • ธุรกิจ
รู้จัก BE@RBRICK ของเล่นหลักแสน ที่นักสะสมยอมจ่าย
เชื่อว่าหลาย ๆ คนคงมีบางสิ่งที่ชื่นชอบหรือหลงใหลกันเป็นพิเศษ จนสิ่งเหล่านั้นกลายมาเป็นของสะสมโดยไม่รู้ตัว และบางอย่างถึงจะไม่ได้ใช้งานแต่แค่มีเก็บไว้ก็ทำให้เรามีความสุขทางใจได้ง่าย ๆ
โดยบางคนอาจสะสมกระเป๋า นาฬิกา เครื่องเพชร ที่หลายคนมองว่าเป็นการลงทุนทางเลือก ซึ่งทั้งตอบสนองความชอบและมั่นใจว่าจะสร้างกำไรในอนาคต
แต่สำหรับบางคนก็เลือกที่จะสะสมของเล่น โมเดล และฟิกเกอร์ต่าง ๆ
ซึ่ง BE@RBRICK (แบร์บริค) ก็ถือเป็นหนึ่งในของเล่นที่เหล่านักสะสมนั้นคุ้นหน้าคุ้นตาเป็นอย่างดี
เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในของสะสมที่มีมูลค่าเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาไม่ต่างกับงานศิลปะเลยทีเดียว
และไม่เพียงแค่ในแวดวงนักสะสมของเล่นเท่านั้น ยังมีคนดังจากหลากหลายวงการ ไม่ว่าจะเป็น Pharrell Williams, DJ Khaled และ Ben Baller ที่เรามักจะเห็นภาพ BE@RBRICK วางเรียงรายอยู่ในบ้านของพวกเขา
แล้ว BE@RBRICK น่าสนใจอย่างไร ทำไมนักสะสมต่างอยากได้มาครอบครอง ?
ลงทุนเกิร์ลจะเล่าให้ฟัง
BE@RBRICK คือ ของเล่นของสะสมสัญชาติญี่ปุ่น ที่ได้รับความนิยมจากทั่วทุกมุมโลก ผลิตโดยบริษัท MediCom Toy Incorporated ที่ก่อตั้งเมื่อปี 1996 โดยคุณ Tatsuhiko Akashi
ซึ่ง BE@RBRICK มีต้นแบบมาจากฟิกเกอร์รุ่นก่อนหน้าของบริษัท ที่มีชื่อว่า “Kubrick” แต่ BE@RBRICK จะมีหัวเป็นหมี ในขณะที่ Kubrick มีลักษณะคล้ายกับคนมากกว่า
โดยฟิกเกอร์ที่มีหัวเป็นหมีนี้ได้เปิดตัวครั้งแรกเมื่อ 20 ปีที่แล้ว ในงาน World Character Convention ครั้งที่ 12 ที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งบริษัท MediCom Toy Incorporated ได้แจกฟิกเกอร์ BE@RBRICK เป็นของที่ระลึกให้แก่ผู้ร่วมงาน
แต่ผลตอบรับกลับดีเกินคาด จนทำให้หลังจากนั้นบริษัทก็ได้พัฒนา BE@RBRICK ออกมาอีกหลายรูปแบบ
นอกจากนี้ BE@RBRICK ยังได้ศิลปิน นักออกแบบ และแบรนด์ระดับโลกมาร่วมสร้างสรรค์ลวดลายต่าง ๆ บนฟิกเกอร์
ซึ่งส่วนใหญ่มักจะเป็นบุคคลที่มีความเชื่อมโยงกับศิลปะ แฟชั่น ดนตรี และวัฒนธรรม ไม่ว่าจะเป็น Kaws, Futura, Chanel, Nike, The Beatles และ BTS
ที่น่าสนใจ คือ BE@RBRICK ยังมีลักษณะเฉพาะหลายอย่าง ตั้งแต่วิธีการเรียกขนาดเป็น เปอร์เซ็นต์ (%) ซึ่งขนาดมาตรฐานที่มีความสูง 70 มม. จะเรียกว่า 100% และขนาดอื่น ๆ
จะอ้างอิงจากขนาดมาตรฐาน
เช่น 50% คือ ขนาดเล็กที่สุด มีความสูง 35 มม., 1000% คือ ขนาดใหญ่ที่สุด มีความสูง 700 มม. และ Other Size คือ ขนาดพิเศษที่ไม่มีกำหนดความสูงตายตัว
โดยในแต่ละปี BE@RBRICK จะมีการออกสินค้า 2 รอบ คือ ช่วงฤดูร้อนและช่วงฤดูหนาว
และเรียกการออกสินค้าในชื่อว่า “ซีรีส์ (Series)” และ “รูปแบบ (Types)”
ซึ่งแต่ละซีรีส์จะเป็นการไล่ลำดับตัวเลขไปเรื่อย ๆ อย่างซีรีส์ที่ออกล่าสุด คือ “ซีรีส์ 41”
และมีการแบ่งรูปแบบออกเป็น 4 ประเภท ดังนี้
1. “Basic” ฟิกเกอร์ที่มีตัวอักษรอย่าง B / E / @ / R / B / R / I / C / K อยู่บนตัว และถ้านำมาเรียงกันก็จะได้คำว่า “BE@RBRICK” นั่นเอง
2. “Standard” ฟิกเกอร์ที่มีธีมต่างกันตามซีรีส์นั้น ๆ แบ่งออกเป็น 8 ธีม ได้แก่
- Jellybean พลาสติกสีสันสดใสและโปร่งแสง
- Pattern ลวดลายซ้ำ ๆ ในลักษณะเดียวกัน
- Flag ลายธงชาติของแต่ละประเทศ
- Horror ลายจากตัวละคร และภาพยนตร์สยองขวัญ หรือเรื่องราวน่าสะพรึงกลัว
- SF ลายที่มีพื้นฐานจากนวนิยายวิทยาศาสตร์ ซึ่งมักมาจากภาพยนตร์ที่ได้รับความนิยม
- Cute ลวดลายที่มีความน่ารัก เช่น ตัวการ์ตูนต่าง ๆ
- Animal ลวดลายของสัตว์นานาชนิด
- Hero ลายของเหล่าฮีโรจาก DC Comics
3. “Artist” ลายที่ออกแบบร่วมกับศิลปินหรือนักออกแบบชื่อดัง
4. “Secret” การออกแบบลายที่ไม่เปิดเผยข้อมูลล่วงหน้า จึงมีมูลค่าสูงและหายากกว่าประเภทอื่น
ซึ่งรูปแบบลวดลายดังกล่าว รวมถึงการผสมผสานระหว่างของเล่นและศิลปะหลายแขนงนี้เอง เป็นจุดสำคัญที่ทำให้ BE@RBRICK กลายเป็น “ของเล่นครีเอทีฟอาร์ต” ที่เหมือนกับผืนผ้าใบรูปหมีที่สามารถแต่งแต้มลวดลายที่สื่อถึงสไตล์ ศิลปะ และแฟชั่นได้ตามใจผู้ออกแบบ
นี่จึงเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ BE@RBRICK ได้รับความนิยม และมีราคาขายทอดตลาดสูงขึ้นไปหลายเท่าตัว
โดย BE@RBRICK บางรุ่นมีราคาเริ่มต้นตั้งแต่หลักหมื่น ถึงหลักแสนบาท แต่สำหรับบางตัวที่มีความพิเศษมาก ๆ ก็อาจมีมูลค่าถึงหลักล้านบาทเลยทีเดียว
ที่น่าสนใจกว่านั้น คือ สิ่งที่ทำให้มูลค่าของ BE@RBRICK เพิ่มขึ้นนั้น มาจากการที่สินค้าที่ผลิตออกมาแล้ว จะไม่มีการผลิตซ้ำหรือจำหน่ายใหม่ แม้ว่าจะขายดีแค่ไหนก็ตาม ประกอบกับช่องทางจำหน่ายออนไลน์ของ MediCom Toy ก็ไม่ได้มีบริการจัดส่งนอกประเทศญี่ปุ่น
อีกทั้งมีการวางจำหน่ายในลักษณะ “Blind Box” ที่ไม่สามารถรู้ได้ว่าภายในกล่องนั้นเป็นลายอะไรจนกว่าจะได้ซื้อมา บอกเพียงแค่ขนาดความสูง และเปอร์เซ็นต์ที่ข้างกล่องว่ามีโอกาสเปิดเจอรูปแบบไหน ทำให้เกิดความสนุกในการสะสม ได้ลุ้นว่าจะใช่ชิ้นที่ต้องการหรือไม่
ในขณะเดียวกัน นักสะสมหลายคนก็ยังนิยมไปซื้อ BE@RBRICKS จากการเปิดประมูล ที่ได้เห็นสินค้าก่อนตัดสินใจซื้อ แม้ว่า BE@RBRICKS ที่ถูกนำมาประมูลจะมีราคาที่สูงขึ้นก็ตาม แล้วยิ่งถ้าหากเป็นชิ้นที่หายาก และเป็นที่ต้องการมากเท่าไร ก็ย่อมมีราคาขายทอดตลาดสูงขึ้นตามไปด้วย
เราลองมาดูตัวอย่าง BE@RBRICK ที่มีความพิเศษจากการร่วมมือกับศิลปินและแบรนด์ดังต่าง ๆ
ซึ่งมีการซื้อขายในราคาสูง และยากที่จะหามาครอบครอง อาทิ
“Karimoku Wood 1000%”
เป็นการร่วมมือกับแบรนด์เฟอร์นิเจอร์ไม้ที่มีชื่อเสียงของญี่ปุ่น โดยเป็นงานฝีมือและผลิตด้วยไม้วอลนัตทั้งตัว ซึ่งในตลาดรีเซลเคยมีคนเสนอซื้อในราคาสูงถึง 424,000 บาท
“Readymade x A Bathing Ape 1000%”
เป็นการร่วมมือกันของแบรนด์ Readymade และแบรนด์ A Bathing Ape ซึ่งความพิเศษของ BE@RBRICK รุ่นนี้ คือ มีเสื้อฮูดของจริงลายฉลามที่เป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ A Bathing Ape สวมในฟิกเกอร์นี้โดยเฉพาะ มีราคาประมูลสูงราว 523,000 บาท
และอีกหนึ่ง BE@RBRICK ที่น่าสนใจก็คือ “Coco Chanel 1000%”
ฟิกเกอร์หมีในชุดผ้าทวีด สร้อยไข่มุก แว่นกันแดด และดอกคามิเลีย ซิกเนเชอร์ของแบรนด์ Chanel ซึ่งออกแบบโดยดีไซเนอร์ดังอย่างคุณ Karl Lagerfeld ที่ผลิตออกมาสำหรับงานการกุศลเพียง 1,000 ชิ้น และบางชิ้นถูกประมูลต่อไปในราคาสูงถึงประมาณ 975,000 บาท
 
อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว ก็คงจะทราบคำตอบว่าทำไม BE@RBRICK ของเล่นที่มีราคาสูงขนาดนี้ถึงยังคงได้รับความนิยม
ในขณะที่ของเล่นทั่วไปมักจะออกแบบมาสำหรับเด็กเท่านั้น
BE@RBRICK กลับสร้างมูลค่าสูงเกินกว่าจะเป็นของเล่นธรรมดา
ด้วยรูปทรงสุดคลาสสิก หน้าตาที่คุ้นเคย สินค้าที่มีอย่างจำกัด พร้อมกับลวดลายที่เกิดจากการร่วมมือ ผสมผสานไอเดียอย่างไร้ขีดจำกัด จึงไม่แปลกใจเลยที่ฟิกเกอร์หมีที่เป็นมากกว่าของเล่นชิ้นนี้จะชนะใจนักสะสมทั่วโลก..
1
โฆษณา