17 ก.ค. 2021 เวลา 05:06 • หุ้น & เศรษฐกิจ
"รู้จัก GPSC ธุรกิจโรงไฟฟ้าของกลุ่ม ปตท."
1
GPSC หรือบริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) คือ บริษัทผู้ดำเนินธุรกิจหลักในการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าที่มีคู่ค้าหลักๆคือ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) อีกทั้งยังมีธุรกิจในเครือที่หลากหลายรวมไปถึงธุรกิจในภาคธุรกิจปิโตรเคมี
1
ปัจจุบันมีรายชื่อผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัท 3 อันดับแรก ที่ล้วนแล้วเป็นบริษัทฯในเครือของ กลุ่มปตท.ทั้งหมด ได้แก่
ผู้ถือหุ้นอันดับ 1 คือ บริษัท ปตท. จำกัด(มหาชน) หรือ PTT ถือหุ้นอยู่ 894,351,484 หุ้น คิดเป็น 31.72%
รองลงมาคือ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด(มหาชน) หรือ PTTGC จำนวน 640,909,693 หุ้น คิดเป็น 22.73%
และบริษัท ไทยออยล์ จำกัด(มหาชน) หรือ TOP จำนวน 586,071,567 หุ้น คิดเป็น 20.78%
โดยสัดส่วนที่ทั้ง 3 บริษัทฯในกลุ่ม ปตท.ถือหุ้น GPSC อยู่นั้น คิดเป็นสัดส่วนรวมกันกว่า 75% ของจำนวนหุ้นทั้งหมดเลยทีเดียว (อ้างอิงข้อมูล ณ วันที่ 16/07/64)
1
บริษัทฯสามารถแบ่งการประกอบธุรกิจออกเป็น 4 ประเภทหลักๆ ได้แก่
 
1.ไฟฟ้า มีกำลังการผลิต 5,055 เมกะวัตต์ (MW)
2.ไอน้ำ มีกำลังการผลิต 2,946 ตันต่อชั่วโมง (T/h)
3.น้ำเย็น มีกำลังการผลิต 15,400 ตันความเย็น (RT)
4.น้ำเพื่อการอุตสาหกรรม มีกำลังการผลิต 7,372 ลูกบาศก์ต่อชั่วโมง (cu.m./h)
(อ้างอิงกำลังการผลิต จากรายงานประจำปี 2563)
และจากผลการดำเนินงาน ของปี 2563 บริษัทฯมีสัดส่วนรายได้หลักมาจากไฟฟ้า คิดเป็นสัดส่วน 75% รองลงมาคือ ไอน้ำอีก 20% และอื่นๆอีก 4%
1
ผลประกอบการย้อนหลัง 3 ปี เป็นอย่างไรบ้าง ?
ปี 2561 รายได้รวม 25,301 ล้านบาท กำไรสุทธิ 3,359 ล้านบาท
ปี 2562 รายได้รวม 67,481 ล้านบาท กำไรสุทธิ 4,061 ล้านบาท
ปี 2563 รายได้รวม 70,983 ล้านบาท กำไรสุทธิ 7,508 ล้านบาท
โดยในปี 63 จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทั่วโลกที่ยังคงมีการแพร่ระบาดต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อภาพรวมธุรกิจของ GPSC มากนัก เพียงแต่ทำให้ภาคเศรษฐกิจต้องมีการชะลอตัวลง อีกทั้งบริษัทฯยังสามารถทำกำไรสุทธิได้เพิ่มขึ้น คิดเป็นร้อยละ 85 เมื่อเทียบกับช่วงปี 62
สาเหตุมาจากการรับรู้รายได้จากการควบรวมกิจการของโกล์วฯ ทั้งปี บวกกับการรับรู้รายได้จากโรงไฟฟ้าพลังน้ำไซยะบุรี ที่เริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์(COD) ในเดือนตุลาคม 2562
1
และในไตรมาส 1/64 ที่ผ่านมา บริษัทฯมีรายได้รวม 16,985 ล้านบาท กำไรสุทธิ 1,973 ล้านบาท เพิ่มขึ้นอีก 25% เมื่อเทียบจากในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเรียกได้ว่าบริษัทฯยังคงรักษามาตรฐานในการเติบโตของธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม นอกจากธุรกิจโรงไฟฟ้าแล้ว ทาง GPSC ก็ได้เข้าไปถือหุ้นในธุรกิจอื่นๆเช่นกัน และที่น่าสนใจคือ บริษัท 24M Technologies, Inc. (24M) ในประเทศสหรัฐอเมริกา โดยเป็นบริษัทที่ดำเนินงานวิจัยและพัฒนาแบตเตอรี่เพื่อใช้ในระบบกักเก็บพลังงานไฟฟ้า และแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจที่บริษัทฯหันไปลงทุนในธุรกิจที่กำลังจะเป็นเทรนด์ในอนาคตอีกด้วย
1
อีกทั้ง เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2564 ที่ผ่านมา ได้มีข่าวว่าทาง GPSC ได้บรรลุข้อตกลงในการเข้าไปลงทุน บริษัทฯ Avaada ซึ่งเป็นผู้ประกอบธุรกิจพลังงานหมุนเวียนที่ประเทศอินเดีย คิดเป็นมูลค่าการลงทุนกว่า 14,825 ล้านบาท โดยคิดเป็นสัดส่วนการลงทุนประมาณ 41.6% ของทุนจดทะเบียนทั้งหมด
และทาง GPSC เอง ก็ได้มีเป้าหมายในการเพิ่มกำลังการผลิตของพลังงานหมุนเวียน กว่า 8,000 เมกะวัตต์ ภายในปี 2573 นี้
1
โดยสรุป GPSC ค่อนข้างจะเป็นหุ้นที่มีพื้นฐานที่แข็งแกร่งและมีแนวโน้มในการเติบโตของธุรกิจในระยะยาวที่ค่อนข้างดี ซึ่งเห็นได้ชัดจากการระบาดของโรคโควิด-19 ตั้งแต่ปี 63 ที่ยังคงระบาดอยู่จนถึงปัจจุบัน ไม่ได้ส่งผลทางลบต่อภาคธุรกิจของบริษัทฯมากนัก
บวกกับในอนาคตที่เทรนด์ของรถยนต์ไฟฟ้าก็คงจะเข้ามามีบทบาทสำคัญต่อการเดินทางของผู้คนบนโลกมากขึ้น ซึ่งก็ไม่แน่ว่า ต่อไปรถยนต์ไฟฟ้าที่คนใช้กัน ก็อาจจะมีชิ้นส่วนแบตเตอรี่รถยนต์ที่ทำมาจากบริษัทฯที่ GPSC เข้าไปถือหุ้นอยู่ก็เป็นได้
1
**หมายเหตุ** ทุกการลงทุนมีความเสี่ยง อย่าลืมศึกษาหาความรู้และทำความเข้าใจ ก่อนลุงทุนทุกครั้งเสมอ
ขอขอบคุณ ข้อมูลจาก www.gpscgroup.com/th/investor-relations/home, set.or.th
-กดติดตาม รู้ก่อนลงทุน-
อัพเดทบทความน่ารู้เกี่ยวกับการลงทุนในทุกวัน
โฆษณา