18 ก.ค. 2021 เวลา 16:26 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์
สุสานหิ่งห้อย และเรื่องจริงสุดสะเทือนใจ 👥
เมื่อไม่นานมานี้ ได้มีโอกาสนั่งค้นหาภาพยนตร์เก่าๆที่เก็บไว้มานั่งดู ก็ไปสะดุดเอากับหนังเรื่อง "สุสานหิ่งห้อย" ภาพยนตร์สุดคลาสสิค เเละเป็นหนังที่นำเอาเรื่องจริงสะท้อนให้เห็นถึงความโหดร้ายของสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่เกิดขึ้นในอดีต ผมเคยพูดกับตัวเองว่า จะไม่เปิดดูมันอีก เพราะดูทีไรจิตตกทุกๆที แต่ด้วยความที่อยากตอกย้ำความเจ็บปวดนั้น อยากระลึกถึงความโหดร้ายแห่งสงครามที่ก่อให้เกิดหายนะตามมาอย่างมากมายจึงตัดสินใจเปิดดู
ในหนังเป็นเรื่องราวความรักความสัมพันธ์ของสองพี่น้องที่อาศัยอยู่ในเมืองโกเบ ประเทศญี่ปุ่น เซตะ โยโกกาวา ลูกชายของ พลทหารสังกัดกองทัพเรือญี่ปุ่น อายุ 14 ปี กำลังขนเสบียงลงหลุมเพื่อให้มีอาหารเพียงพอเวลาสงครามสงบ และในเวลานั้นเครื่องบินกำลังบินผ่านมายังเมืองเพื่อปล่อยระเบิดครั้งรุนแรงกว่าที่ผ่านมา เซตะจึงให้แม่ของตนออกเดินทางไปยังหลุมหลบภัยก่อน เนื่องจากแม่เป็นโรคหัวใจ โดยเซตะ และ น้องสาว เซซึโกะ อายุ 4 ขวบ จะตามไปทีหลัง ซึ่งระหว่างทางไปหลุมหลบภัย ระเบิดจากเครื่องบินของทหารอเมริกาถูกทิ้งลงมา ทำให้เซตะและเซซึโกะ พลัดหลงกับแม่ของพวกเขา ทำให้เซตะพาน้องสาวไปหลบภัยอยู่หลังเนินถนนสูงเป็นกำแพงหินริมทะเล ซึ่งภายหลังพวกเขาพบว่าบ้านของพวกเขาถูกไฟไหม้หมดทั้งหลัง และรอบๆบริเวณนั้นถูกทำลายทั้งหมดจนไม่เหลืออะไรเลย
สองพี่น้องพยายามตามหาแม่ของตน มีคนมากบอกเซตะว่าแม่ของเขาบาดเจ็บสาหัสและเสียชีวิตลงเนื่องจากถูกไฟลวก ศพของแม่ถูกนำไปกองเผาไปพร้อมกับศพมากมายที่ตายในสงคราม และเมื่อเวลาผ่านไปเซซึโกะถามหาแม่ของเขาแต่เซตะบ่ายเบียงไม่ยอมบอกและปกปิดน้องสาวของเขาไม่ให้รู้ว่าแม่ได้เสียชีวิตแล้ว และทั้งสองก็ได้ไปอยู่กับป้า ฮิซาโกะ ของพวกเขา ซึ่งป้าของเซตะถามถึงอาการปาดเจ็บของแม่ เซตะจึงต้องบอกความจริงไปว่าแม่ได้เสียชีวิตไปแล้ว ป้าของเขาก็เป็นคนที่เห็นเเก่ตนเอง เมื่อเวลาทำอาหารก็จะเลือกสิ่งดีๆให้ตนเเละลูก เเต่จะมีเพียงเศษๆส่วนเหลือเท่านั้นที่มอบให้เซตะเเละน้องสาว ทั้งๆที่เซตะก็ได้นำอาหารส่วนตนมามอบให้แก่ป้าทั้งหมด และต่อมาทำให้พวกเขาก็ทนนิสัยป้าของเขาไม่ไหวจึงออกจากบ้านป้ามาทั้งสองคน ทั้งสองพี่น้องจึงไปอยู่ในเหมืองเก่าๆ รกร้างซึ่งในสมัยก่อนใช้เป็นที่หลบภัย ภายในเหมืองมีแสงสว่างน้อยมากทำให้เซซึโกะกลัวความมืดมาก เมื่อเป็นเช่นนั้น เซตะพี่ชายจึงไปหาหิ่งห้อยมาปล่อยไว้มากมายทำให้มีแสงสว่างมากพอทำให้เซซึโกะไม่กลัว
และเมื่อเวลาผ่านไปนาน อาหารก็เริ่มหมด และไม่มีอาหารให้แลกแล้ว และเซซึโกะก็เริ่มมีอาการเจ็บป่วยเกิดขึ้น ซึ่งเซซึโกะป่วยเป็นโรคขาดสารอาหาร และเมื่ออาหารหมด ทำให้เซตะต้องขโมยของตามบ้านเมื่อมีการทิ้งระเบิดของทหารอเมริกา ผู้คนมากมายกำลังหลบหนีระเบิดอยู่แต่เซตะกลับวิ่งฝ่าระเบิดเข้าไปตามบ้านคนที่ว่างเปล่าเพื่อเข้าไปหาของกินมาให้เซซึโกะ และนานวันเข้าอาการป่วยของเซซึโกะเริ่มมากขึ้น เซตะจึงพาน้องไปหาหมอแต่หมอก็ไม่มียารักษาให้ มีวันหนึ่งเซตะเข้าไปในตัวเมืองเพื่อไปถอนเงินก้อนสุดท้ายเพื่อเอาออกมาใช้ และเขาก็ได้ข่าวว่าญี่ปุ่นยอมแพ้สงครามแล้วเรือทุกลำจมลงทะเลหมด จมไปพร้อมกับความหวังที่จะเห็นพ่อซึ่งเป็นทหารเรือกลับมาหาตนและน้อง
เมื่อเซตะกลับมาที่เหมือง เขาเห็นน้องสาวนอนอมลูกหินอยู่ ซึ่งเซซึโกะคิดว่าเป็นลูกอมแสนหวาน เซตะจึงห้ามไม่ให้น้องสาวกินลูกหินอีกต่อไป และเขาจึงไปเอาแตงโมมาป้อนให้เซซึโกะกินและปล่อยให้เซซึโกะนอนพัก เมื่อเห็นน้องสาวนอนพัก เซตะจึงไปทำอาหาร และตั้งแต่นั้นมา เซซึโกะก็ไม่ตื่นขึ้นมาอีกตลอดกาล
ในคืนที่ฝนตกหนักและหนาวเย็นเซตะนอนกอดร่างไร้วิญญาณของน้องสาวเขาทั้งคืน และพอเช้าเซตะ ก็ได้เผาร่างของเซซึโกะและนำเศษกระดูกมาใส่ในกล่องลูกอมเหล็กและเซตะก็นำกล่องนั้นติดตัวไปตลอดจนกระทั่งเขาเสียชีวิตลงในวันที่ 21 กันยายน ปี 1945
ในตอนเริ่มเรื่องและตอนจบของเรื่อง
จะสื่อถึงความสัมพันธ์ของทั้งสองซึ่งแม้แต่เสียจะชีวิตลงไปทั้งสองคน แต่ทั้งคู่ก็เป็นวิญญาณและอยู่ด้วยกันตลอดไป หลังจากนั้น 1 เดือนหลังจากจบสงคราม จึงมีการกฎหมายบังคับใช้คุ้มครองเด็กที่ประสบในภาวะสงครามขึ้น
ในเรื่องสุสานหิ่งห้อยนั้น จะเปรียบหิ่งห้อยที่มีชีวิตอยู่ได้ไม่กี่วัน เหมือนกับชีวิตเด็กๆที่อดอยากไม่มีกิน เนื่องจากผลจากการกระทำของสิ่งใดก็ตาม และยังเปรียบแสงของหิ่งห้อยเหมือนความหวังอันริบหรี่ของเด็กๆที่สุดท้ายความหวังอันนั้นก็ดับไปพร้อมก็แสงสว่างของหิ่งห้อยยามเมื่อมันเสียชีวิตลงเเละเมื่อไม่นานมานี้ในหลายๆแหล่งมีการเปิดเผยภาพที่มาของเเรงบันดาลใจในการสร้างภาพยนตร์เรื่องสุสานหิ่งห้อย ภาพนี้ถูกถ่ายโดยช่างภาพชาวอเมริกัน "Joe O'Donnell" ในเมืองนางาซากิ ปี 1945 เขาให้สัมภาษณ์กับสื่อหลายๆเเขนงในภายหลังว่า .. "ผมเห็นเด็กชายคนหนึ่งอายุ ประมาณ 10 ขวบ แบกเด็กน้อยไว้ที่หลังของเขาตลอดเวลา แต่ก็ไม่ได้คิดอะไร เพราะว่าในประเทศญี่ปุ่น เรามักจะเห็นเด็กที่มีน้องชาย น้องสาว แบกน้องไว้ที่หลังตัวเองเป็นปกติอยู่แล้วแต่เด็กคนนี้ เห็นได้ชัดว่า มีอะไรบางอย่างที่แตกต่างจากเด็กคนอื่นๆ เหมือนเค้ามายืนอยู่ตรงนี้ด้วยเหตุผลที่ซีเรียส มีสีหน้าเคร่งเครียด และไม่ได้สวมรองเท้า ส่วนเด็กน้อยที่อยู่บนหลัง หงายศีรษะขึ้น ราวกับคนที่เพิ่งจะหงายหลับไปด้วยความเร็ว"
"เด็กชายคนนี้ยืนอยู่ตรงนั้น นานประมาณ 5 -10 นาทีเห็นจะได้ก็มีชายสวมหน้ากากปิดปากสีขาว เขาไม่พูดจาอะไร เดินอ้อมไปที่เด็กแล้วอุ้มเด็กที่หลังเด็กชายออกมา นั่นแหละผมถึงรู้ว่า เด็กทารกที่เห็นนั้นได้ตายไปแล้ว จากนั้นผู้ชายก็เอาร่างของเด็กทารกคนนั้นวางบนกองไฟ"
"เด็กชายก็ยังคงยืนดูเปลงไฟอยู่ตรงนั้น ไม่ไปไหน ผมดูที่หน้าเขาเห็นเขากัดริมฝีปากล่างอย่างแรงจนเลือดไหล จนกระทั่วเปลวไฟมอดลงดวงอาทิตย์ก็กำลังจะตกดินแล้วเช่นกัน เด็กชายมองหันไปรอบๆตัว แล้วก็เดินออกไปอย่างเงียบๆ .. "
**ภาพนี้มาจากหนังสือ อัตชีวประวัติ อะคิยูกิ โนซากะ กับร่างน้องสาวของเขา ถ่ายโดยช่างภาพ สงครามชาวต่างชาติที่พบเจอ อะคิยูกะ กับน้องสาวในขณะนั้น ภาพนี้ได้ถูกตีพิมพ์ไปทั่วโลกและได้มีการส่งมอบภาพนี้แก่ อะคิยูกะภายหลัง
โฆษณา