18 ก.ค. 2021 เวลา 23:29 • หุ้น & เศรษฐกิจ
สรุปหนังสือ Why Moats Matter หุ้นดีต้องมีปราการ หนังสือหุ้นที่เขียนโดยนักวิเคราะห์ของ Morning Star ที่เคลมว่าเป็นหนังสือเล่มแรกและเล่มเดียวที่อธิบายแนวคิด Moat ซึ่ง Warren Buffet ใช้คัดเลือกหุ้นอย่างเป็นระบบรอบด้านที่สุด
สรุปหนังสือ Why Moats Matter หุ้นดีต้องมีปราการ
หนังสือถูกเขียนออกเมื่อปี 2014 ข้อมูลจึงมีความเก่าประมาณหนึ่ง แต่แอดว่ายังไงก็คุ้มค่าแก่การอ่าน เพราะจะทำให้เราได้หลักคิดในการวิเคราะห์กรองหุ้นใส่พอร์ต😁
.
ในตลาดเสรี... ธุรกิจที่สามารถทำกำไรได้อย่างยอดเยี่ยม สักพัก...ก็จะมีคู่แข่งเข้ามาขอส่วนแบ่งทางการตลาดด้วย การรักษาไว้ซึ่งกำไรส่วนเกินจึงเป็นสิ่งที่ทำได้ยากในระยะยาว
#ป้อมปราการทางเศรษฐศาสตร์ (Economic Moat) คือ ป้อมปราการที่ทำหน้าที่คล้ายกับปราสาทที่คอยกันข้าศึกศัตรูไม่ให้เข้ามาตีเมืองได้
เปรียบเทียบได้กับบริษัทชั้นเลิศที่มีความสามารถในการแข่งขันสูง ก็จะมีป้อมปราการทางเศรษฐศาสตร์ที่แข็งแกร่ง เมื่อมีคู่แข่งเข้ามา บริษัทเหล่านี้ก็ยังจะสามารถสร้างผลตอบแทนของเงินทุนที่สูงสม่ำเสมอไว้ได้ และในท้ายที่สุดก็จะเป็นการป้องกันตัวเองจากคู่แข่งออกได้
.
ป้อมปราการที่ว่านั้นมี 5 อย่าง คือ สินทรัพย์ไม่มีตัวตน ความได้เปรียบทางต้นทุน ต้นทุนการเปลี่ยนย้าย พลังของเครือข่าย และ ขนาดที่มีประสิทธิภาพ
ซึ่งมีทั้งแบบแข็งแกร่ง (Wide Moat) แบบอ่อนแอ (Narrow Moat) และไม่มีเลย (No Moat)
และเทรนด์ของป้อมปราการนั้นก็เป็นได้ ทั้งบวก (Positive), ลบ (Narrow), คงที่ (Stable)
บริษัทที่จัดได้ว่ามีป้อมปราการและมีเทรนด์เป็นบวกจะเติบโตได้เร็วกว่า เนื่องจากมีความสามารถในการแข่งขันเพื่อแย่งชิงส่วนแบ่งทางการตลาดมากกว่า หรือ มีความสามารถในการประหยัดต่อขนาดที่เพิ่มมากขึ้น จึงทำกำไรได้มากกว่า สามารถสร้าง ROIC ที่สูงกว่า ในขณะที่บริษัทที่ไม่มีป้อมปราการหรือเทรนด์เป็นลบก็มักจะสูญเสียส่วนแบ่ง และไม่สามารถขึ้นราคาเพื่อชดเชยกับต้นทุนที่แพงขึ้นได้
ตัวอย่างหุ้นที่เรารู้จักกัน ที่มีป้อมปราการลักษณะต่างๆ ที่แอดหาได้มาจาก Morning Star ก็เช่น
ป้อมปราการแข็งแกร่ง #เทรนด์เป็นบวก -- NVIDIA, Salesforce, ServiceNow
ป้อมปราการแข็งแกร่ง เทรนด์คงที่ -- Amazon, Google, Microsoft, Facebook, Adobe
ป้อมปราการอ่อนแอ #เทรนด์เป็นบวก -- Sea, Mercadolibre, Twilio, Zendesk, Team, Palantir
ป้อมปราการอ่อนแอ เทรนด์คงที่ -- Tesla, Square, Paypal, Airbnb, DocuSign
ไม่มีป้อมปราการ -- Teladoc, GoodRX, Fiverr, Roku, The trade desk, Unity
*อ้างอิงข้อมูลในปัจจุบัน อาจเปลี่ยนแปลงได้เมื่อสถานการณ์เปลี่ยน
.
หนังสือเล่มนี้แนะนำให้เรา #คิดแบบการเข้าเป็นเจ้าของกิจการ โดยดูจากความได้เปรียบในการแข่งขันที่ยั่งยืน การประเมิณมูลค่า และส่วนเผื่อเพื่อความปลอดภัย ซึ่งเชื่อว่าจะเป็นกุญแจสู่การเอาชนะตลาดในระยะยาว
การประเมิณมูลค่าบริษัท นับว่าเป็นส่วนที่สำคัญที่สุด ซึ่งเอาเข้าจริงก็ไม่มีใครรู้มูลค่าที่แท้จริงของธุรกิจใดๆว่าควรเป็นเท่าไหร่ เราต้องมองหาส่วนเผื่อเพื่อความปลอดภัยอยู่เสมอก่อนที่จะลงทุน และซื้อในราคาที่ถูกกว่ามูลค่าต่อให้เป็นบริษัทที่มีป้อมปราการแข็งแรงแค่ไหนก็ตาม
ดังที่วอร์เรนบัฟเฟตต์กล่าว “ราคาคือสิ่งที่คุณจ่าย มูลค่าคือสิ่งที่คุณได้” ในระยะยาวแล้วราคาหุ้นจะวิ่งเข้าสู่มูลค่ายุติธรรม (Fair Value)
วิธีการที่ใช้ในการประเมิณมูลค่าหุ้น ก็คือ #วิธีการวิเคราะห์กระแสเงินสดคิดลด Discounted Cash Flow หรือ DCF
ส่วนที่ท้าทายที่สุดในการประเมินมูลค่ายุติธรรมของบริษัท คือ การคาดการณ์กระแสเงินสดในอนาคตอย่างไรให้มีความใกล้เคียงที่สุด
ซึ่งป้อมปราการทางเศรษฐศาสตร์มีอิทธิพลโดยตรงต่อกระแสเงินสด บริษัทที่มีป้อมปราการเข้มแข็งมักจะมีสัดส่วนของกระแสเงินสดอิสระต่อกำไรค่อนข้างสูง มีการเติบโตที่รวดเร็วกว่าบริษัทที่ไม่มีป้อมปราการ
และระยะเวลาของการที่บริษัทจะสามารถรักษาป้อมปราการได้ มีความสำคัญมากกว่าส่วนต่างระหว่างผลตอบแทนต่อเงินลงทุน (ROIC) กับต้นทุนของเงินทุน (Cost of Capital)
ในการจัดอันดับความแข็งแกร่งของป้อมปราการ เราต้องเริ่มจากการตอบคำถาม 2 ข้อ
1. อัตราผลตอบแทนต่อเงินลงทุน ROIC > ต้นทุนของเงินทุนเฉลี่ยถ่วงน้ำหนัก WACC ?
2. บริษัทนั้นมีป้อมปราการ อย่างน้อย 1 ข้อ ?
#ป้อมปราการที่1 สินทรัพย์ไม่มีตัวตน (Intangible Assets)
เช่น แบรนด์ สิทธิบัตร สัมปทานของภาครัฐ
สินค้าที่มีแบรนด์ไม่ได้ถือว่ามีป้อมปราการเสมอไป อย่าง สายการบินต่างๆ ที่ลูกค้ามักจะเลือกใช้บริการมาจากราคาเป็นที่ตั้ง
แบรนด์ที่ดีมักมีอำนาจในการตั้งราคา และต้นทุนสินค้าไม่ได้สูงตามราคาที่เพิ่มขึ้น บวกกับการมีนวัตกรรมและสร้างความผูกพันกับลูกค้าได้ จึงจะจัดได้ว่ามีปราการ เช่น Coca Cola, Walt Disney, Starbucks, BMW
สิทธิบัตรที่จัดได้ว่ามีป้อมปราการต้องเป็นผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีตัวเลือกอื่นในตลาด บริษัทเทคโนโลยีชีวภาพจัดได้ว่าเป็นอุตสาหกรรมที่มีป้อมปราการนี้ ซึ่งเกิดจากแบ่งปันองค์ความรู้ ซึ่งทำให้บริษัทสามารถออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆได้ การปรับประยุกต์ใช้เพิ่มเติมจะทำให้สินทรัพย์ชนิดที่ไม่มีตัวตนยิ่งขึ้นมีความแข็งแกร่งมากขึ้นไปอีก ยกตัวอย่างเช่นบริษัท Regeneron และ Seattle genetics
ในกลุ่มผู้ผลิตยามักจะมีความยากในการเข้ามาของคู่แข่งถึงแม้ว่าสิทธิบัตรจะหมดอายุลงแล้ว เนื่องจากความยากของการผลิต ต้นทุนในการทดลองทำ และความซับซ้อนในการทำการตลาด ก็จะเป็นสิ่งที่ทำให้คู่แข่งเลือกที่จะไม่เข้ามา เช่น ยาโรคเบาหวานของ Sanofi
บริษัทที่สร้างปราการที่ยั่งยืนได้จากกฎระเบียบนั้น ต้องไม่มีสินค้าที่ทดแทนได้หรือมีข้อกำหนดในการตั้งราคา ซึ่งจะทำให้บริษัทดำเนินงานได้อย่างผูกขาด ตัวอย่างเช่น ธุรกิจบ่อนการพนัน ในจีนมีใบอนุญาติออกเพียงแค่ 6 ใบ และ สิงคโปร์มีแค่ 2 ใบเท่านั้น บริษัทอย่าง Las Vegas Sands and Wynn Resorts จึงจัดได้ว่ามีป้อมปราการจากกฎระเบียบนี้
#ป้อมปราการที่2 ความได้เปรียบทางต้นทุน (Cost Advantage)
ได้มาจาก ขั้นตอนในการดำเนินงาน – เช่น สามารถแชร์ค่าใช้จ่าย R&D ความรู้ต่างๆให้ผลิตภัณฑ์ตัวอื่นร่วมกันได้ (Economies of Scope)
ทำเลที่ตั้ง – มีผลต่อค่าขนส่ง โดยเฉพาะในสินค้าที่มีอัตราส่วนมูลค่าต่อน้ำหนักต่ำ เช่น พวกวัสดุก่อสร้าง
ขนาด – ยิ่งผลิตเยอะยิ่งประหยัด มีต้นทุนคงที่ รวมถึงการมีอำนาจต่อรองกับ Supplier
การเข้าถึงสินทรัพย์เฉพาะตัว – บางอุตสาหกรรม การเป็นเจ้าของหรือเข้าถึงทรัพยากรที่หายากอย่างแหล่งทับถมทางธรณีก็จัดว่าเป็นป้อมปราการที่แข็งแกร่งได้ คู่แข่งไม่สามารถเลียนแบบได้แม้จะมีเงินและเวลาขนาดไหน
ตัวอย่างหุ้นที่มีป้อมปราการที่มีความได้เปรียบทางต้นทุน เช่น United Health, WellPoint, Aetna บริษัทเหล่านี้ มีค่าใช้จ่ายที่คงที่ ทำให้ยิ่งบริษัทมีสมาชิกมาก ก็ยิ่งมีความได้เปรียบทางต้นทุน ทำให้ SG&A ต่อหัวต่ำลง และทำให้มีอำนาจต่อรองกับโรงพยาบาลด้วย
FedEx อีกบริษัทที่มีปราการความได้เปรียบทางด้านต้นทุน ส่วนหนึ่งมาจากการใช้เทคโนโลยีในระบบอัตโนมัติในการกระจายพัสดุที่ทำให้คู่แข่งลอกเลียนแบบได้ยาก
#ป้อมปราการที่3 ต้นทุนการเปลี่ยนย้าย (Switching Costs)
ค่าใช้จ่ายไม่ว่าจะเป็นในรูปของเวลา ความยุ่งยากกวนใจ เงิน หรือ ความเสี่ยงที่ลูกค้าต้องจ่ายเมื่อเปลี่ยนไปใช้บริการหรือสินค้าจากอีกบริษัทหนึ่ง
ลูกค้าที่มีต้นทุนการเปลี่ยนย้ายสูงจะไม่เปลี่ยนจ้าวโดยไม่จำเป็น ถึงแม้ว่าคู่แข่งจะมีสินค้าหรือบริการที่ดีกว่าหรือถูกกว่าก็ตามโดยเฉพาะสำหรับบริษัทให้บริการซอฟต์แวร์
Apple เป็นตัวอย่างหนึ่งของบริษัทที่มี Swiching Cost สูง แพลตฟอร์ม iOS ที่นำเสนอบริการอย่าง iTune และ iCloud ให้ลูกค้าซื้อเพลง หนัง หรือ เก็บข้อมูล เก็บรูปภาพ ทำให้ลูกค้ามีต้นทุนในการเปลี่ยนย้าย ซึ่งนี่ช่วยให้บริษัทรักษาฐานลูกค้าเดิมไว้ได้โดยไม่ต้องแข่งขันด้านราคา
กองทุน Black Rock ก็ถือว่ามี Switching Cost ที่สูงเพราะแม้การเปลี่ยนย้ายจะไม่ได้มีต้นทุนที่สูงและยุ่งยากลำบากนัก แต่ผลประโยชน์ของการเปลี่ยนก็ไม่ได้มากมาย จึงทำให้นักลงทุนเลือกที่จะวางเงินอยู่กับกองทุนเดิมมากกว่า
#ป้อมปราการที่4 พลังของเครือข่าย (Network Effect)
เมื่อมีคนเข้ามาใช้งานผลิตภัณฑ์หรือแพลตฟอร์มเพิ่มมากขึ้น จะเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้เครือข่าย และดึงดูดผู้ใช้งานใหม่ให้เข้ามาใช้มากขึ้นอีก ซึ่งจะทำให้ผลิตภัณฑ์หรือแพลตฟอร์มแข็งแกร่งยิ่งขึ้นไปอีกเป็นวงจรไปเรื่อยๆ
สิ่งสำคัญในการประเมินบริษัท คือ การดูว่าบริษัทนั้นสามารถทำเงินจากเครือข่ายนั้นได้อย่างไร เพราะก็มีหลายบริษัทที่สามารถสร้างเครือข่ายที่แข็งแกร่งแต่ไม่สามารถทำเงินได้มากพอจากการให้บริการ
Expedia และ Priceline ผู้นำแพลตฟอร์มด้านท่องเที่ยว Tencent ที่เป็นเจ้าของแพลตฟอร์มเกมออนไลน์และ WeChat เป็นตัวอย่างที่ดีที่มีป้อมปราการของพลังของเครือข่าย
#ป้อมปราการที่5 ขนาดที่มีประสิทธิภาพ (Efficient Scale)
ลักษณะที่ตลาดมีขนาดเล็กจำกัดจนแค่บริษัทหนึ่งแห่งหรือไม่กี่แห่งก็สามารถตอบสนองความต้องการของตลาดได้หมด คู่แข่งมีแรงจูงใจน้อยมากที่จะเข้ามาในตลาดนี้ เนื่องจากหากมีผู้เล่นเพิ่มมากขึ้นจะทำให้ผลตอบแทนของอุตสาหกรรมโดยรวมต่ำกว่าต้นทุนของเงินลงทุน ขนาดที่มีประสิทธิภาพจะเป็นตัวกีดกันคู่แข่งหน้าใหม่ไม่ให้เข้ามาได้
เช่น ธุรกิจท่อส่งน้ำมัน บริษัทเทคโนโลยีชีวภาพที่โฟกัสไปที่ยากำพร้า (Orphan drug) เช่น บริษัท Alxion ที่มียา soliris ซึ่งเป็นยาที่ไว้รักษาโรคระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำลายเซลล์เม็ดเลือดแดง
นอกจากจะดูปราการทั้ง 5 แล้ว #การจัดสรรเงินทุน ก็ถือว่ามีความสำคัญมากเช่นกัน
ดังที่ จดหมายถึงผู้ถือหุ้นของ Berkshire Hathaway เขียนไว้ว่า “เมื่อเวลาผ่านไปทักษะในการจัดสรรเงินทุนของผู้จัดการจะมีผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อมูลค่าของกิจการ”
จะเห็นว่าตัวผู้บริหารไม่ใช่รากฐานป้อมปราการ เพราะทีมผู้บริหารที่มีความสามารถอาจจะลาจากบริษัทได้
Morning Star เชื่อว่าการตัดสินใจจัดสรรเงินลงทุนสามารถนำไปสู่การสร้างและพัฒนาหรือแม้แต่ทำลายป้อมปราการได้ และผลงานบางอย่างโดยเฉพาะผลงานระยะสั้นเป็นเรื่องของโชคมากกว่าฝีมือ
ผู้พิทักษ์เงินทุนชั้นยอด มักจะมีประวัติของการเข้าซื้อกิจการที่ช่วยเพิ่มมูลค่าของบริษัท ไม่เขวออกไปจากขีดความสามารถของบริษัท ยึดอยู่กับสิ่งที่ตนรู้ดีที่สุด รวมถึงการตัดขายกิจการ และโฟกัสสร้างผลตอบแทนที่เหนือกว่าต้นทุนของเงินทุนได้สม่ำเสมอและแน่นอน
รวมถึงมีนโยบายเงินปันผลและการซื้อหุ้นคืนอย่างสมดุล สนใจไปในที่การสร้างความมั่งคั่งให้แก่ผู้ถือหุ้นในระยะยาว แม้ว่าจะทำให้ผลการดำเนินงานในระยะสั้นต้องเสีย ตัวอย่างบริษัทที่มีผู้พิทักษ์ของกิจการที่ดีเยี่ยมในข้อมูลปัจจุบันที่แอดหาได้ ได้แก่ Microsoft, Amazon, Accenture, Nike
นอกจากนั้นการดูว่าบริษัทมี #ความสามารถในการจ่ายเงินปันผล หรือไม่นั้นก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่ง
เพราะเงินปันผลสร้างวินัยแก่ผู้บริหาร หุ้นที่จ่ายปันผลมีประวัติเอาชนะหุ้นที่ไม่ได้จ่ายปันผล และหุ้นที่มีอัตราเงินปันผลสูงก็มักจะมีผลตอบแทนดีกว่าหุ้นที่มีอัตราปันผลต่ำด้วย
ถ้าบริษัทจ่ายปันผลได้แบบสม่ำเสมอและมีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้น ก็ถือว่าเป็นสัญญาณที่ดี เพราะบริษัทที่ไม่ได้มีป้อมปราการจะไม่สามารถดำรงอัตรากำไรไว้ให้เท่ากับที่เคยทำได้ ปันผลก็มีแนวโน้มจะลดลง
เมื่อบริษัท #มีเงินสด บริษัทมีทางเลือกในการจัดการกับกระแสเงินสดของตัวเอง ได้แก่ การชำระหนี้ การซื้อธุรกิจ หรือสินทรัพย์อื่น การซื้อหุ้นคืน และการจ่ายปันผล คำถามต่อมาคือวิธีใดที่จะสร้างหรือส่งผลต่อมูลค่าให้แก่ผู้ถือหุ้นได้มีประสิทธิภาพสูงสุด
ธุรกิจที่เป็นวัฏจักรอย่าง Ford หรือ GM จะมีการสะสมเงินสดไว้ในช่วงธุรกิจขาขึ้น เผื่อไว้ยามขาลง ในกรณีนี้ ถึงแม้บริษัทจะมีเงินสดอยู่เยอะ แต่ก็ไม่สามารถเรียกว่าเป็น กระแสเงินสดอิสระได้ เพราะไม่สามารถสร้างผลตอบแทนกลับไปสู่ผู้ถือหุ้นได้
และรวมถึง Apple ที่เป็นบริษัทข้ามชาติ ซึ่งมีการสะสมเงินสดเก็บไว้ต่างแดนเพื่อหลีกเลี่ยงการจ่ายภาษีเงินได้ที่มาจากต่างประเทศซึ่งมีอัตราสูงกว่าในสหรัฐด้วย
.
#การซื้อหุ้นคืน ของบริษัทกลายเป็นสิ่งที่พบเห็นได้มากขึ้น ซึ่งจะทำให้กระแสเงินสดอิสระนั้นถูกจ่ายคืนกลับไปยังผู้ถือหุ้น โดยปกติบริษัท บริษัทจะซื้อหุ้นคืนเมื่อราคาหุ้นถูกกว่ามูลค่าของธุรกิจ นั่นถึงจะเป็นการเพิ่มมูลค่าให้แก่หุ้นที่เหลือได้ แต่ในทางปฏิบัติจริงบริษัทมักซื้อหุ้นคืนโดยไม่ค่อยสนราคากันในช่วงที่บริษัทมีกระแสเงินสดอยู่มาก และไม่รู้จะเอาไปทำอะไร ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ถือว่าไม่ได้เป็นการทำเพื่อเพิ่มมูลค่าใดๆ
ในส่วนท้ายเล่มของหนังสือได้ยกตัวอย่างอุตสาหกรรมมากมายและหลากหลายมาวิเคราะห์ป้อมปราการ แต่แอดเกรงว่าจะทำให้บทความนี้ยาวเกินไป แอดจึงขอเลือกมาบางตัวอย่าง
#สินค้าโภคภัณฑ์ เช่น เหล็ก อลูมิเนียม กระดาษ สารเคมี สินค้าเพื่อการเกษตร ผลิตภัณฑ์จะไม่มีความแตกต่างกัน ราคาจึงเป็นทุกสิ่ง ที่ถูกกำหนดด้วยกฎของอุปสงค์อุปทาน
ความได้เปรียบจากต้นทุนต่ำจึงนับเป็นที่มาหลักของป้อมปราการในหมู่ผู้ผลิตสินค้าโภคภัณฑ์ บริษัทต้องมีความสามารถในการเข้าถึงวัตถุดิบและพลังงานที่ถูกกว่า หรือมีเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพทันสมัยเข้ามาใช้ในกระบวนการผลิตจึงจะสร้างป้อมปราการนี้ได้
#Consumer Products แบรนด์คือป้อมปราการทางเศรษฐศาสตร์ของอุตสาหกรรมนี้ รวมถึงความได้เปรียบทางด้านต้นทุนจากการมีขนาดที่ใหญ่ ซึ่งทำให้บริษัทมีอำนาจต่อรองกับซัพพลายเออร์ และเครือข่ายการจัดจำหน่าย เช่น Coca Cola, Pepsi, Heinz, Marlboro
#ร้านอาหาร การแข่งขันในอุตสาหกรรมจัดได้ว่าดุเดือดมาก มี barrier to entry ที่ต่ำมาก แต่ก็มีร้านอาหารจำนวนหนึ่งที่สามารถสร้างป้อมปราการจากสินทรัพย์ที่ไม่มีตัวตนและความได้เปรียบทางต้นทุนได้ ซึ่งมาจากการมีเครือข่ายกว้างขวาง มีสาขาเป็นจำนวนมาก สร้างประสบการณ์ที่แตกต่างให้ลูกค้า มีเมนูเป็นแบบเดียวกันเปลี่ยนแปลงตามท้องถิ่นเล็กน้อย ได้แก่ Mcdonald, Starbucks
#ธุรกิจการเงิน เงินและผลิตภัณฑ์ทางการเงิน จัดได้ว่าเป็นสินค้าโภคภัณฑ์แท้ๆ ทั้งยังมีกฎระเบียบและผู้เล่นจำนวนมากที่เก่งฉกาจพยายามแย่งส่วนแบ่งทางการตลาดกัน จึงไม่ใช่กลุ่มที่จะทำกำไรได้ง่ายๆ
มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่ เราจะโน้มน้าวใจให้ลูกค้าจ่ายแพงขึ้นในการใช้บริการเงินกู้ และยอมรับการจ่ายดอกเบี้ยเงินฝากที่ต่ำกว่าอีกเจ้าได้
นอกจากนี้ปัจจัยทางเศรษฐศาสตร์มหภาคอย่างอัตราดอกเบี้ยและการว่างงานก็มีผลทำให้กำไรอาจแกว่งขึ้นแกว่างลงได้มาก
ตัวอย่างธนาคารที่พอจะมีป้อมปราการอย่างอ่อนๆ ได้แก่ Wells Fargo
 
แต่ในธุรกิจประกัน ไม่มีเจ้าไหนเลยที่สามารถสร้างป้อมปราการขึ้นมาได้ เพราะผลิตภัณฑ์เลียนแบบได้ง่ายมากและลูกค้าก็จะไม่ยอมจ่ายแพงด้วย
ในส่วนของบริษัทบัตรเครดิตและบริษัทแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศที่ประสบความสำเร็จอาจจะสร้างปราการขึ้นได้จากเครือข่ายของผู้ใช้บัตร ตัวอย่างบริษัทบัตรเครดิต เช่น Visa, Mastercard
#Healthcare เป็นอุตสาหกรรมที่มีบริษัทที่มีป้อมปราการทางเศรษฐศาสตร์อยู่มากที่สุด
สินทรัพย์ที่ไม่มีตัวตน ทรัพย์สินทางปัญญา สิทธิบัตร จัดว่าเป็นป้อมปราการหลักในอุตสาหกรรมนี้
บริษัทยาและเทคโนโลยีชีวภาพได้รับการคุ้มครองสิทธิบัตรยาตัวใหม่อย่างยาวนานถึง 20 ปี พร้อมอำนาจในการตั้งราคา ขนาดที่มีประสิทธิภาพยังช่วยในตลาดยา สำหรับโรคที่พบได้ยากเนื่องจากจำนวนผู้ป่วยที่น้อยลงจะลดแรงจูงใจของคู่แข่งรายใหม่ที่จะเข้ามา
2
ความได้เปรียบทางด้านต้นทุนก็มีบทบาทสำคัญสำหรับเทคโนโลยีชีวภาพที่มีกระบวนการผลิตสลับซับซ้อนน่าจะทำกำไรได้เฉพาะบริษัทที่มีการผลิตขนาดใหญ่เท่านั้น
และการที่แพทย์ต้องเสียเวลาในการเรียนรู้ที่จะใช้งานเครืองมือต่างๆ ต้นทุนในการเปลี่ยนย้ายก็ช่วยสร้างป้อมปราการให้กับบริษัทด้วยเหมือนกัน อย่างไรก็ดี เครื่องมือแพทย์ก็มีความเป็นสินค้าโภคภัณฑ์อยู่ บริษัทที่จะมีป้อมปราการที่แข็งแกร่งได้ต้องผลิตสินค้าที่มีความแตกต่างอย่างชัดเจน บริษัทที่สามารถสร้างป้อมปราการอันแข็งแกร่งขึ้นมา เช่น Intuitive Surgical ที่ผลิตหุ่นยนต์ผ่าตัด
2
#หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ต้นทุนการเปลี่ยนย้ายถือเป็นปราการหลักในอุตสาหกรรมนี้ รวมถึงพลังของเครือข่ายเป็นที่มาสำคัญของป้อมปราการของบริษัท Software ด้วย ยกตัวอย่างโปรแกรม Office, Adobe Photoshop
.
สรุป Why Moats Matter หนังสือดีอีกเล่มหนึ่งที่ควรค่าแก่การอ่าน แอดสรุปใจความสำคัญได้แค่นี้ แต่ยังรายละเอียดอีกเยอะมาก สนใจลองหาอ่านเก็บตกกันดูนะคะ😊
.
#ฝากชอบกดไลก์ #ใช่กดแชร์ ให้ด้วยนะคะ กำลังใจดีดีให้เแอดค่ะ
ติดตามบทความได้ทุกวันเสาร์ที่ 1 และ 3 ของทุกเดือน เวลา 9.00 เช้านะคะ😊
.
--Stock Surge—
เล่าเรื่องหุ้นนอกรายตัว แบบเข้าใจง่าย อ่านจบได้ใน 2 นาที
โฆษณา