21 ก.ค. 2021 เวลา 09:03 • ข่าว
EP. 120 “How to dig your own grave”
ในปี 1999 เกิดเรื่องที่ร้ายแรงมากกับสองพี่น้องตระกูล Reed
Stacie ผู้เป็นพี่สาวถูกฆาตกรรม ส่วน Kristie Reed น้องสาวเกือบจะเอาชีวิตไม่รอด การรอดชีวิตของ Kristie เป็นสาเหตุที่เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมฆาตกรได้ในทันที ทั้งครอบครัวก้าวผ่านความโศกเศร้า และ Kristie ผู้กล้าหาญ ขึ้นให้การต่อหน้าคนร้ายที่เกือบจะพรากเอาชีวิตของเธอไปแม้เธอจะกลัวมากๆก็ตาม
และเป็นที่น่าเสียดายที่คนร้ายที่สมควรจะได้รับโทษประหารมากที่สุดคนนึง รอดตายจากการถูกลงโทษมาแบบหวุดหวิดเนื่องจากเทคนิคทางกฎหมาย เขากระหยิ่มยิ้มย่องกับความฉลาดและความโชคดีของตัวเอง
….ได้ไม่นานหรอกค่ะ เพราะในไม่ช้า ก็มีคนขุดหลุมรอที่จะฝังดินกลบหน้าเขาอยู่
***เกาะให้แน่นตามให้ทัน เตรียมติดเครื่องด่ากันได้เลย 🔥🔥🔥หวังว่าทุกคนคงจะชอบเรื่องนี้ เพราะเราถึงขั้นต้องไปทำสิ่งที่ทำให้เราต้องดมยาดมมากที่สุดมาตั้งแต่สมัยเรียน คือการหาข้อมูลทางด้านกฎหมายนั่นเอง 😩 . ไม่เอาใจลูกเพจทำไม่ได้นะ บอกเลย แทบจะข้ามแล้วบอกทุกคน กรุณาไปอ่านตามเอาเองได้ไหมคะ 5555 🤣
1
เกิดอะไรขึ้น:
ในปี 1999 Stacie Reed วัย 16 ปี กับ Kristie Reed วัย 14 ปี อาศัยอยู่กับ Lorraine ผู้เป็นแม่ และ Robert พ่อเลี้ยงในเมือง Manassas ของรัฐ Virginia สหรัฐอเมริกา
วันที่ 29 มกราคม ปี 1999 นั่นเอง Stacie กลับมาจากโรงเรียนหลังจากสอบเสร็จในช่วงบ่าย พอกลับมาถึงบ้านในตอนที่คุยโทรศัพท์กับ Sean แฟนหนุ่มอยู่ Stacie ก็เห็นว่า Paul Powell เพื่อน/คนรู้จัก/เพื่อนบ้าน ยืนรออยู่หน้าบ้าน จึงไขประตูบ้านเปิดเข้ามาพร้อมกับ Paul ที่เดินตามหลัง
Stacie Reed Cr:suzukisthought
Paul Powell ณ ตอนนั้นอายุได้ 20 ปี เขามักจะมา hang out ที่บ้านของ Stacie บ่อยครั้งเพราะรู้จักกันมานาน แถมบ้าน Paul ยังอยู่แค่ถัดไปอีกถนนเดียว จริงๆแล้วเขานั้นแอบชอบ Stacie มานานและอยากจะออกเดทกับ Stacie แต่ Stacie ปฏิเสธ เพราะเธอมีแฟนแล้วนี่นา
Paul Powell Cr: Murderpedia
แต่จุดประสงค์ที่ Paul มาในวันนี้เพราะเขาโมโห ไม่ใช่โมโหที่โดน Stacie ปฏิเสธไม่ยอมออกเดทด้วยอย่างเดียว แต่โมโหที่จริงๆแล้วรู้ว่า Sean แฟนหนุ่มของ Stacie เป็นคนผิวดำ
ใช่แล้วค่ะ Paul นั้นคือคนเหยียดผิวตัวพ่อ ที่แสดงตัวอย่างเปิดเผยว่าเขานะเป็นพวก Neo-Nazi หรือ White Supremacist (แหวะ ไอ้พวกคนน่ารังเกียจ) และยอมไม่ได้ที่เห็น Stacie ไปออกเดทคบหาสมาคมกับพวกคนผิวดำ เขามาที่บ้านของ Stacie เพื่อโน้มน้าวให้ Stacie เลิกกับ Sean แล้วมาคบหากับเขาแทน แน่นอน เอาความบ้ามาประเคนให้ Stacie ถึงบ้านขนาดนี้ ทำให้ทั้งคู่มีปากเสียงกันทันที Stacie เดินหนีขึ้นข้างบนเพื่อที่จะไปห้องของตัวเอง Paul เดินตามและโต้เถียงกันไปด้วย พอขึ้นไปถึงห้องนอน Stacie ปิดเสียงวิทยุและเริ่มโต้เถียงกันอย่างรุนแรง Paul พยายามกด Stacie ลงบนเตียง และบอกกับ Stacie ว่า เขานั้นก็แค่อยากมีอะไรกับ Stacie เท่านั้นแหละ “we could do it the easy way or the hard way” ก่อนที่ Stacie จะตอบตกลง แต่พอเมื่อลุกขึ้นได้ ทั้งสองก็เกิดการต่อสู้กันอีกครั้ง ต่อสู้กันไปมา Paul บอกกับ Stacie อีกว่า หาก Stacie ต่อสู้หรือขัดขืนอีกครั้ง เขาจะฆ่าเธอทิ้งซะ
1
Stacie พยายามที่จะเดินออกนอกห้อง ในจังหวะที่เธอกำลังจะเบี่ยงตัวออกจากประตูที่มี Paul ยืนขวางอยู่นั้น Paul หยิบมีดที่เขาพกมา จ้วงแทงเข้าไปที่หน้าอกของ Stacie
พอโดนแทง Stacie เดินโซซัดโซเซ ก่อนจะไปล้มลงที่ห้องของ Kristie ผู้เป็นน้องสาว เธออ้าปากพยายามจะหายใจ โดยมี Paul เดินตามมา แทนที่เขาจะโทรเรียกรถพยาบาล Paul เอาเท้าข้างนึงพาดตรงลำคอของ Stacie ก่อนจะเหยียบและกระทืบไปมา ทำให้ Stacie หายใจได้ยากลำบากขึ้นและขาดใจตายในที่สุด
หลังจากที่ Stacie เสียชีวิตแล้ว Paul เดินลงมาข้างล่าง เพื่อหาอะไรดื่ม เขาคว้าชาเย็นมานั่งดื่มก่อนที่จะนั่งสูบบุหรี่อย่างสบายใจที่โซฟาของบ้านอย่างสบายใจ นั่งอยู่อย่างนั้นแหละค่ะ
เพราะเขารู้ว่า...อีกไม่นาน Kristie น้องสาววัย 14 ปี ของ Stacie กำลังจะเดินทางกลับมาจากโรงเรียน
เวลาประมาณ 15.00 น. Kristie กลับมาถึงบ้าน เธอถือกุญแจในมือ และยังไม่ทันจะได้ไขกลอนประตู Paul ก็เดินมาเปิดประตู รับเธอเข้าบ้าน Kristie นั้นไม่ได้แปลกใจอะไร เพราะคิดว่า Paul มาหา Stacie และเขาก็มาที่บ้านออกจะบ่อย Kristie ถามหาว่า Stacie อยู่ไหน Paul ชี้ไปข้างบนบ้านและบอกว่าน่าจะอยู่ในห้องนอน ก่อนที่จะกลับไปนั่งที่โซฟาตามเดิม
Kristie เดินขึ้นมาข้างบน เธอมองเข้าไปในห้องของ Stacie ก็ไม่เห็น พอเปิดประตูเข้าไปในห้องของตัวเอง เธอก็พบกับภาพอันน่าสยดสยองของ Stacie ที่นอนจมกองเลือด หนังสือที่ถือมาในมือตกลงที่พื้นและ Kristie เริ่มร้องไห้ จังหวะนี่เอง Paul โผล่มาจากข้างหลังและเอามีดจี้ Kristie บังคับให้เธอเดินลงไปที่ห้องใต้ดิน
เมื่อมาถึงห้องใต้ดิน Paul บังคับให้ Kristie ถอดเสื้อผ้า Kristie กลัวมาก เธอยอมทำตามเพราะไม่อยากถูกทำร้าย Paul รู้ว่า Kristie ที่มีอายุเพียงแค่ 14 ปีนั้นยังไม่เคยมีประสบการณ์เรื่องทางเพศมาก่อน แต่ก็ข่มขืนเธออยู่ดี ในตอนที่ทำร้าย Kristie อยู่นั้น มีเสียงคนมาเคาะที่ประตูบ้าน จริงๆแล้วก่อนหน้านี้ Kristie นัด Mark เพื่อนของเธอให้มาเที่ยวเล่นที่บ้าน Mark มาถึงที่บ้านและเริ่มเคาะประตูกับกดกริ่ง Paul ตัดเอาเชือกรองเท้าของ Kristie มามัดมือมัดขา Kristie ไว้ และห้าม Kristie ตะโกนหรือร้องออกมาเด็ดขาด ก่อนจะขึ้นไปข้างบนเพื่อจะดูว่าใครมา
2
***โชคดีมากที่ Mark พอเห็นว่าไม่มีใครมาตอบรับก็เดินกลับบ้านไป จริงๆแล้ว Paul คิดว่าเป็นตำรวจหรือเปล่า และหากใครที่จะบุกเข้าบ้านมา เขาก็พร้อมที่จะฆ่าคนนั้นด้วยเหมือนกัน ในวันนั้น Paul พกมาทั้งมีดและปืน
ช่วงที่ Paul เดินขึ้นไปข้างบนนี่เอง Kristie แกะเชือกที่เท้าจนหลุด และสามารถเขยิบไปอยู่ใต้บันไดที่เป็นทางลงมาที่ห้องใต้ดินได้ แต่เธอคิดไปคิดมา เธอไม่น่าจะมีทางหนี เพราะหากจะวิ่งขึ้นไป คือต้องวิ่งสวน Paul ที่เดินลงมา จึงเดินกลับไปนอนที่จุดเดิมที่เขาทิ้งเธอไว้ดีกว่า เพื่อไม่ให้สถานการณ์มันเลวร้ายมากไปกว่านี้
1
Paul เดินลงมาที่ชั้นใต้ดินอีกครั้ง ก่อนจะใช้เชือกรองเท้ารัดคอ Kristie จนเธอหมดสติไป และเพื่อให้มั่นใจว่า Kristie จะไม่สามารถมาเป็นพยานชี้ตัวเขาได้ในภายหลัง Paul เอามีดที่พกมา จ้วงแทงไปที่ท้องของ Kristie หลายต่อหลายแผล เขาเอามีดปาดคอ Kristie หลายครั้งด้วยกัน และยังเอามากรีดข้อมือทั้งสองข้างของ Kristie ด้วย พอคิดว่า Kristie ไม่น่ารอดแน่แล้วก็เดินขึ้นมาชั้นบน ค้นหาชาเย็นมากินอีกครั้ง พยายามควานหาของมีค่าที่บาน และเดินออกจากบ้านไป
6
ประมาณ 16.10 น. Robert ผู้เป็นพ่อเลี้ยงกลับมาจากที่ทำงาน เขาจะโกนเรียกชื่อของพี่น้องสองสาว แต่ก็ไม่ได้ยืนเสียงตอบรับ เขาเดินขึ้นไปที่ห้องนอนของทั้งสองสาวข้างบนก็ต้องพบกับศพของ Stacie ด้วยความตกใจ Robert ตาลีตาเหลือกรีบควานหาโทรศัพท์เพื่อที่จะโทรแจ้งตำรวจ เขาได้ยินเสียงอะไรซักอย่าง ดังมาจากห้องใต้ดิน เมื่อลงมาดูก็พบเข้ากับ Kristie (ที่ในตอนนั้นได้ยินเสียง Robert กลับมาบ้านก็พยายามจะเปล่งเสียงออกมา เพื่อที่จะเรียก แต่เรียกได้ไม่ดัง เพราะอาการบาดเจ็บที่คอ) Robert พยายามปฐมพยาบาล Kristie เบื้องต้นเพื่อรอหน่วยแพทย์ เมื่อเจ้าหน้าที่มาถึงที่บ้านที่เกิดเหตุ Kristie ที่ถึงแม้จะบาดเจ็บสาหัส ก็พยายามบอกกับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่มาถึงที่เกิดเหตุว่า “Paul Powell” เป็นคนทำ
Kristie ถูกส่งไปรักษาที่โรงพยาบาลด้วย Helicopter และต้องเข้ารับการผ่าตัดถึง 5 ชั่วโมง หมอต้องเย็บแผลที่คอ Kristie ถึง 60 เข็ม (และยังทิ้งรอยแผลเป็นจนถึงทุกวันนี้) และแผลที่ท้อง ที่ข้อมือ แผลที่ท้องกับที่คอนั้น ห่างจากเส้นเลือดสำคัญไปเพียงแค่ 1 หรือ ครึ่งเซ็นติเมตร
Kristie Reed ในตอนที่ฟื้นจากการผ่าตัด Cr: lowkeydeadly.com
Stacie ถูกส่งศพไปชันสูตร เจ้าหน้าที่พบว่าที่สมองได้รับการบาดเจ็บถึงกับเลือดออกในสมอง เธอถูกแทงเข้าที่หัวใจสองแผลด้วยกัน และยังมีรอยฟกช้ำที่ตัว โดยเฉพาะที่คอที่ได้รับการบาดเจ็บจากการโดนกระทืบหลายต่อหลายครั้ง
เจ้าหน้าที่ตามไปจับตัว Paul ได้ที่บ้านเพื่อนของเขาในวันรุ่งขึ้นนั้นเอง หลังจากที่ออกจากบ้านของครอบครัว Reed ไปแล้วก็ไปซื้อหายาเสพติดมาเสพ ก่อนที่จะไปอยู่กับเพื่อคนดังกล่าว ถูกเจ้าหน้าที่จับได้ก็ยอมรับหน้าตาเฉยว่า เขาฆ่า Stacie เพราะ Stacie อะ “stupid” (เอ้า อิห่านจิก) แล้วก็พยายามจะมาผลัก มาข่วนหน้าเขา เถียงกันไปเถียงกันมา ก็ดันมา “stuck” กับมีดเข้าเอง (เหมือนจะโทษว่าเอาตัวเองมาพุ่งใส่มีดเข้าเองนี่นา) และยอมรับว่าเขานี่แหละเป็นคนทำร้ายและข่มขืน Kristie
**อยากจะบอกว่าเขาไม่ได้บอกหมดนะคะว่าเขาทำอะไรบ้าง ที่เราบรรยายมาด้านบน เขารับบางส่วน ไม่ได้บอกเจ้าหน้าที่หมดค่ะ
เจ้าหน้าที่จับกุมตัว Paul พร้อมทำเรื่องส่งฟ้องหลายต่อหลายข้อหาด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นพยายามข่มขืน + ฆ่า Stacie ข่มขืนและพยายามฆ่า Kristie ทำร้ายร่างกาย หน่วงเหนี่ยวกักขัง และข้อหาเล็กๆน้อยๆอื่นๆเช่นลักขโมย เป็นต้น ซึ่ง Paul ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาและพร้อมต่อสู้คดีเต็มที่ (ถึงแม้ว่าหลักฐานที่ได้จากที่เกิดเหตุจะมีอย่างท้วมท้น และพยานก็รอดชีวิตมาเล่าเหตุการณ์และชี้ตัวด้วย)
1
Paul ในตอนที่ถูกจับ Cr.murderpedia
Paul ถูกนำขึ้นศาลพิจารณาคดี และถึงแม้จะถูกตัดสินให้จำคุกตลอดชีวิตในข้อหาอื่นๆ ถึงสามชีวิตด้วยกัน + ต้องจ่ายค่าเสียหายให้ครอบครัวเหยื่อ 200,000$ แต่ความสำคัญมันอยู่ที่คดีที่เขาฆ่า Stacie ว่าจะได้รับโทษประหารชีวิตด้วยหรือเปล่า เพราะโทษในคดีนั้น เจ้าหน้าที่รัฐชงเรื่องเป็นข้อหาแบบ Capital Murder หรือการฆาตกรรมที่ควรจะได้รับโทษประหารชีวิต ซึ่งรัฐ Virginia ในตอนนั้นยังมีโทษประหารชีวิตอยู่ ทางฝ่าย Paul ก็ต้องลุ้นว่าคณะลูกขุนจะเอาไง
ไปๆมาๆ ลูกขุนเห็นสมควรว่า Paul นั้นมีความผิดจริงและแนะนำว่าให้ลงโทษประหารชีวิต ในปี 2000 ผู้พิพากษาก็เห็นสมควรสั่งลงโทษ Paul ให้ได้รับโทษประหารชีวิตจากการฉีดยา และเขาถูกย้ายไปอยู่ที่เรือนจำอีกแห่งเพื่อรอรับโทษประหาร
…..เหมือนจะจบเหรอ? ถ้าจบแบบดื้อๆแบบนี้ เราคงไม่ให้ทุกคนเตรียมติดเครื่องด่า
Escaping the death Penalty:
ในปี 2001 Paul อุทธรณ์โทษประหารชีวิตของตัวเองต่อศาลฎีกา และข้อต่อสู้ของเขาในคดีนี้ก็คือ อัยการรัฐไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่า การกระทำความผิดของเขาเข้าข่าย “Capital Murder” หรือไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่า เขากระทำการครบองค์ประกอบความผิดนั่นเอง
Capital Murder มันต่างจาก Murder หรือการฆาตกรรมยังไง? ตามที่เราเข้าใจคือการฆาตกรรมบางทีไม่จำเป็นต้องได้รับโทษประหารชีวิตเสมอไป บางรัฐของสหรัฐอเมริกา ยังมีการนำเอาข้อหาที่เรียกว่า 1st degree หรือ 2nd degree murder มาใช้ ทุกคนอาจจะคุ้นๆกันอยู่ เคยได้ยินผ่านๆกันมาบ้าง มันระบุระดับความรุนแรงของการฆาตกรรม (มีเจตนาไหม การก่อเหตุก่อกับใคร รุนแรงขนาดไหน) บางรัฐที่ยังใช้บังคับเรื่องโทษประหารชีวิตอยู่ หากทำผิดในข้อหา 1st degree murder ก็อาจจะโดนลงโทษประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิต
2
Paul ณ ตอนที่ขึ้นศาลในปี 2000 Cr. Murderpedia
แต่ที่รัฐ Virginia ต้องได้รับโทษจาก capital murder เท่านั้นถึงจะได้รับโทษประหาร (ไม่ใช่ first degree murder)
แล้วมันต่างกันยังไง?
คือข้อหา Capital Murder เนี่ย ต้องสามารถพิสูจน์ให้ได้ว่า 1. ต้องมีเจตนา 2. ต้องมีการวางแผนมาก่อน 3. ต้องมีการฆาตกรรม และ 4. ในตอนที่ทำการฆาตกรรมเนี่ย คนร้ายจะต้องก่อเหตุรุนแรงหรือก่ออาชญากรรมที่เป็นความผิดแบบร้ายแรง เช่น พกพาอาวุธสงครามไปก่อเหตุ ข่มขืนหรือพยายามจะข่มขืน ฆ่าเด็กอายุต่ำกว่า 14 ปี หรือฆาตกรรมเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นต้น พูดง่ายๆเลยคือ ต้องทำความผิดร้ายแรงสองความผิดเข้าด้วยกัน
ซึ่งในคดีนี้ ขอให้เอาเรื่องของ Kristie ออกจากหัวก่อน เพราะ capital muder โยงเข้ากับเรื่องของ Stacie เท่านั้น ฝ่าย Paul ต่อสู้ว่า เจ้าหน้าที่รัฐไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่า Paul พยายามจะข่มขืน Stacie ก่อนที่จะฆาตกรรมเธอ (เพราะตอนเจอศพ เสื้อผ้าก็ดูปรกติ ไม่มีร่องรอยถูกทำร้ายทางเพศแต่อย่างใด) Paul ก็ไม่ยอมรับว่าเขาพยายามจะบังคับให้ Stacie มีเพศสัมพันธ์ด้วย (เป็นองค์ประกอบความผิดสุดท้าย)
ด้วยเหตุนี้เอง เมื่อไม่มีพยานหรือหลักฐานมาบ่งชี้ว่า Paul พยายามจะข่มขืน หรือข่มขืน Stacie ก่อนฆาตกรรมเธอ มันทำให้องค์ประกอบความผิดไม่ครบ ศาลฎีกาจึงกลับคำพิพากษา และยกเลิกโทษประหารชีวิตของ Paul ในที่สุด (ถึงแม้ว่า Paul จะต้องใช้กรรมรับโทษจำคุกตลอดชีวิตในคดีฆาตกรรม Stacie และคดีที่ทำร้าย Kristie ก็ตาม) กลายเป็นว่า Paul นั้นรอดชีวิตจากโทษประหารได้อย่างเฉียดฉิว
…..แต่แทนที่จะอยู่เฉยๆ เงียบๆ รับโทษทำตัวดีๆไป เผื่อได้ออกมาเร็ว แต่นั่นดูเหมือนไม่ใช่เวย์ของ Paul เพราะคนสารเลว ก็ยังเป็นคนสารเลวอยู่วันยังค่ำ
พอรู้ว่าตัวเองรอดจากโทษประหารมา Paul เขียนจดหมายหาอัยการของรัฐที่เป็นคนดูแลคดีนี้ (ชื่อ Paul Ebert แต่เพื่อความไม่สับสนขอเรียกว่า Ebert”
***ขอสรุปมาให้เข้าใจความหยาบช้า ตัวเต็มๆสามารถอ่านได้ข้างล่าง
“Mr. Ebert,
1
⚖️ เนื่องจากศาลฎีกากลับคำพิพากษาโทษประหารของผมแล้ว และศาลได้บอกว่าคุณไม่สามารถแจ้งข้อหา Capital Murder กับผมได้อีกครั้ง ผมก็เลยคิดว่าจะเขียนมาบอกคุณว่ามันเกิดอะไรกันขึ้นแน่ๆในวันที่ 29 มกราคม ปี 1999 เพื่อแสดงให้เห็นว่า “How stupid all of y’all mother f***ers are”
⚖️ จริงๆแล้วพวกคุณก็ควรจะรู้อยู่ว่า เรื่องจริงนะมันมีมากกว่าที่ผมบอกพวกคุณ ก็คุณบอกเองนี่นาว่าผมมีแผนที่จะฆ่าทั้งครอบครัว แล้วทำไมถึงไม่คิดละว่า หากผมที่แผนจะทำแบบนั้นจริงๆ ทำไมผมถึงต้องสู้กับ Staice ก่อนจะฆ่าเธอ? จริงๆแล้วผมมีแผนที่เตรียมมาสำหรับเธอต่างหากละ
⚖️ ในวันดังกล่าวผมมาที่บ้านหลังจากที่ Bobby กลับไปทำงานแล้ว (Bobby คือ Robert พ่อเลี้ยงของ Stacie ที่มาทานข้าววกลางวันที่บ้าน) ตอนที่กลับมานั้นผมเจอ Stacie คุยโทรศัพท์อยู่ ก็เลยนอนรอบนโซฟา Stacie กับเราคุยกันหลายเรื่อง เธอขึ้นไปข้างบนและเอาเสื้อผ้าลงไปซักที่ชั้นล่าง ผมเดินไปล็อกประตูแล้วตามเธอไป ก่อนที่จะยื่นมือไปจับหน้าอกของ Stacie แล้วก็ถามว่าเธออยากมีเพศสัมพันธ์กับผมไหม แต่ Stacie ปฏิเสธเพราะว่าเธอมีแฟนแล้ว มันทำให้ผมโกรธมาก จึงเกิดการถกเถียงกันขึ้นเพราะปรกติแล้ว Stacie ไม่ปฏิเสธใครแค่เพียงเพราะว่าเธอมีแฟนนี่นา
1
*** ต่อจากนี้ก็บรรยายถึงขั้นตอนการทำร้ายและฆาตกรรม Stacie เหมือนกับที่เราบอกไว้ข้างต้น
⚖️ ผมอยากจะขอบคุณคุณมากนะที่ช่วยชีวิตผม และหากคุณยังไม่เข้าใจว่าคุณช่วยชีวิตผมไว้ยังไง ผมจะบอกคุณให้เอาบุญ
3
“You saved my life by fucking up. There were 2 main fuck-ups you made that saved me. The first was the way you worded my capital murder indictment. The second was the comment you made in your closing argument when you said we won't know because he won't tell us.”
1
⚖️ แหม คุณก็น่าจะรู้ดีนี่นาว่า ผมรู้แล้วละว่า Stacie นะตายไปแล้วและไม่มีทางกลับมาบอกเรื่องจริงกับพวกคุณได้หรอก วันที่ถูกตำรวจสอบปากคำ ผมก็เลือกที่จะบอกพวกคุณแค่เรื่องที่พวกคุณน่าจะหาหลักฐานเจอเท่านั้นแหละ ตอนนี้คุณก็รู้แล้วนะว่าจริงๆแล้วมันเกิดอะไรขึ้นในวันที่เกิดเหตุ ผมคิดว่าผมคงลืมเล่าไปนะ 55 แล้วพอศาลฎีกาบอกว่าคุณไม่สามารถแจ้งข้อหา capital murder ดำเนินคดีกับผมได้อีก ผมเลยตัดสินใจจะเล่าให้คุณฟังทั้งหมดเลย โอ้ยยยย จริงๆแล้วพวกคุณสมควรจะเป็นคนที่ฉลาดมากๆไม่ใช่เหรอ ไม่น่าเชื่อเลยว่าพวกคุณจะคิดว่าผมสารภาพไปหมดแล้วนะเนี่ย
1
⚖️ อ้อ ตอนนี้ก็สายไปแล้วนะ ไอ้ fat, cocksucking, cum guzzling, gutter slut (ไม่อยากแปล เดี๋ยวบิน) เจอกันที่ศาลในวันที่ 18 ธันวา เพราะผมจะไม่รับสารภาพใดๆทั้งสิ้น อ้อ แล้วบอกครอบครัว (stacie กับ Kristie) ด้วยว่าให้เตรียมตัวให้ดีๆ เพราะหากผมจะต้องทรมานอยู่ในคุกไปอีก 50 - 60 ปี ก็ให้พวกแม่งทุกข์ทรมานจากการต้องกลับไปเผชิญเรื่องราวดังกล่าวต่อไปอีกซักไม่กี่วันละกัน
⚖️ ที่นี่คุณเกลียดตัวเองหรือยังที่โง่ทำพลาด แล้วดันช่วยชีวิตผมเนี่ย?
จดหมายตัวเต็มอยู่ด้านล่าง
“Mr. Ebert,
“Since I have already been indicted on first degree murder and the Va. Supreme Court said that I can't be charged with capital murder again, I figured I would tell you the rest of what happened on Jan. 29, 1999, to show you how stupid all of y'all mother fuckers are.
“Y'all should have known that there is more to the story than what I told by what I said. You had it in writing that I planned to kill the whole family. Since I planned to kill the whole family, why would I have fought with Stacie before killing her? She had no idea I was planning to kill everybody and talked and carried on like usual, so I could've stabbed her up at any time because she was unsuspecting.
“I had other plans for her before she died. You know I came back to the house after Bobby's lunch break was over and he had went back to work. When I got back, she was on the phone so I went inside and I laid down on the couch. When the cab came to bring me my pager, I ran out of the house and she jumped and got off the phone and came off the porch to see why I ran out of the house like I did.
“When the cab left we went in the house. I laid on the couch again and she went to her room and got her clothes and went downstairs to do her laundry. When she went downstairs, I got up and shut and locked the back door and went downstairs. We talked while she put her clothes in the wash. We continued talking when she had everything in the wash and I reached over and touched her tit and asked if she wanted to fuck. She said no, because she had a boyfriend.
“I started arguing with her because she had never turned anybody down because of having a boyfriend.
“We started walking upstairs, arguing the whole time. When we got upstairs we went to her room and she turned the radio off. After she turned the radio off I pushed her onto her bed and grabbed her wrists and pinned her hands down by her head and sat on top of her. I told her that all I wanted to do was fuck her and then I would leave and that we could do it the easy way or the hard way.
“She said she would fuck me so I got up. After I got up, she got up and started fighting with me and clawed me face. We wrestled around a little and then I slammed her to the floor. When she hit the floor I sat on top of her and pinned her hands down again. She said she would fuck me and I told her that if she tried fighting with me again, I would kill her.
“When I got up she stood up and kept asking me why I was doing this and all I kept saying is take your clothes off. Finally she undid her pants and pulled them down to her ankles. She was getting ready to take them the rest of the way off and the phone rang. When she heard the phone she pulled her pants back up and said she had to answer the phone. I pushed her back and said no. She said that she wouldn't say anything about me being there and I told her no and to take her clothes off.
“She tried to get out of the room again and I pushed her back and pulled out my knife. I guess she thought I was just trying to scare her and that I wouldn't really stab her because she tried to leave again.
“When she got to me and tried to squeeze between me and the door jam I stabbed her. When I stabbed her, she fell back against the door jam and just looked at me with a shocked look on her face.
“When I pulled the knife out she stumbled a couple steps and fell in her sister's room. I walked over and looked at her. I saw that she was still breathing so I stepped over her body and into the bedroom. Then I put my foot on her throat and stepped up so she couldn't breath. Then I stepped down and started stomping on her throat. Then I stepped back onto her throat and moved up and down putting more pressure to make it harder to breathe.
“When I didn't see her breathing anymore, I left the room and got some iced tea and sat on the couch and smoked a cigarette. You know the rest of what happened after that point.
“I would like to thank you for saving my life. I know you're probably wondering how you saved my life, so I'll tell you.
“You saved my life by fucking up. There were 2 main fuck-ups you made that saved me. The first was the way you worded my capital murder indictment. The second was the comment you made in your closing argument when you said we won't know because he won't tell us.
“One more time, thank you! Now y'all know everything that happened in that house at 8023 McLean St. on Jan. 29, 1999.
“I guess I forgot to mention these events when I was being questioned. Ha Ha! Sike!
“I knew what y'all would be able to prove in court, so I told you what you already knew. Stacey was dead and no one else was in the house so I knew ya'll would never know everything she went through unless she came back to life.
“Since the Supreme Court said I can't be charged with capital murder again, I can tell you what I just told you because I no longer have to worry about the death penalty. And y'all are supposed to be so goddamn smart. I can't believe that y'all thought I told you everything.
“Well, it's too late now. Nothing you can do about it now so fuck you you fat, cocksucking, cum guzzling, gutter slut. I guess I'll see your bitch ass on Dec. 18 at trial because I'm not pleading to shit. Tell the family to be ready to testify and relive it all again because if I have to suffer for the next 50 or 60 years or however long then they can suffer the torment of reliving what happened for a couple of days.
“I'm gone. Fuck you and anyone like you or that associates with people like you. I almost forgot, fuck your god, too. Jesus knows how to suck a dick real good. Did you teach him?
“Well, die a slow, painful, miserable death. See ya punk.
“Do you just hate yourself for being so stupid and for fuckin' up and saving me?
“Sincerely,
“Paul Powell.”
ถ้าคิดว่าจดหมายนี่สุดๆไปแล้ว จริงๆมันยังไม่สุดค่ะ ระหว่างที่ขึ้นศาลและรอวันถูกพิจารณาคดี พิพากษาหรือรับโทษนี่ เหมือนมันไม่มีอะไรให้ทำ อิตานี่ก็ขยันค่ะะะะะะ ขยันเขียนจดหมาย โดยเฉพาะจดหมายส้นๆทั้งหลาย ที่เด็ดสุดคือจดหมายที่เขียนไปหา Lorraine แม่ของ Stacie และ Kristie แล้วก็แนบภาพกึ่งเปลือยของผู้หญิงคนนึงที่มีหน้าตาละม้ายคล้าย Stacie ผู้ตายมาด้วย
“Lorraine ช่วยผมนึกหน่อยสิว่า ผู้หญิงคนนี้นะ หน้าตาคุ้นๆนะ เหมือนคนที่ผมเคยรู้จักเลย แต่ เอ นึกไม่ออกว่าใคร ถ้าคุณนึกออก ช่วยบอกผู้หญิงคนนี้ให้เขียนจดหมายหาผมด้วยนะ อ้อ แล้วถ้านึกไม่ค่อยออกลองถาม Kristy กับ Kelly (ชื่อเพื่อของ Stacie) ดูก็ได้ว่าช่วยนึกหน่อย
Kristie กับ แม่ Cr: Murderpedia
มีจดหมายนึงที่ Paul เขียนไปหาเพื่อนของตัวเองสารภาพว่าจริงๆแล้ว เขานะ อยากจะฆ่าทั้งครอบครัว เขารอ Stacie กลับมาก่อน หลังจากนั้นจะฆ่า Kristie ฆ่าแม่กับพ่อเลี้ยงแล้วก็จะขโมยรถหนีไปอีกรัฐนึงด้วยซ้ำ ฆ่า stacie ไปเพราะ Stacie นะไม่ได้มีความหมายอะไรกับเขาเลย เป็นแค่ “Ni*** lover” เท่านั้นก็สมควรแล้ว จดหมายอีกฉบับก็เขียนไปหาเพื่อนอีกคนนึง บอกเพื่อนให้หาคนไปโทรศัพท์ขู่ Kristie ว่าให้ Kristie กลับไปบอกตำรวจซะว่า เรื่องที่พูดไปทั้งหมดนะเป็นเรื่องโกหก ไม่งั้นจะโดนฆ่า (อิป่วง เกิดมาไม่เคยรู้สึกอยากเบิดกะโหลกใครมากเท่านี้มาก่อน)
*** เราก็ไม่แน่ใจว่า ทำไมถึงเขียนจดหมายแบบนี้ออกมาจากเรือนจำได้ ก่อนจะเขียนออกมา ปรกติมันจะมีเจ้าหน้าที่อ่านก่อนไหมอะ? หรือมันไม่ผิดกฎหมายเลยปล่อยให้เขียนออกมาได้ เราก็ไม่แน่ใจค่ะ
Digging his own grave:
2
ตอนที่ส่งจดหมายหา Ebert นั้นนะ แทนที่ Ebert ผู้ที่ได้รับจดหมายจะรู้สึกโกรธและหดหู่ กลับกลายเป็นว่า เขาดีใจเป็นอย่างมาก เพราะจดหมายฉบับนี้ละ จะเป็นสิ่งที่พลิกคดีของ Paul ไปอย่างสิ้นเชิง
1
ความหยิ่งยโสของ Paul และความชาติชั่วที่มีเลเวลสูงเป็นการส่วนตัว ทำให้เขาตัดสินใจทำเรื่องที่เป็นเหมือนการเซ็นคำพิพากษาลงโทษประหารชีวิตตัวเอง
ความมั่นใจในความรู้ทางกฎหมายที่ผิดๆของ Paul ทำให้ Paul คิดเองเออเองว่า เขาไม่สามารถถูกฟ้องซ้ำในคดีเดิมได้อีก เพราะคำตัดสินมันมาจากศาลฎีกาแล้วนี่นา แต่สิ่งที่ Paul ไม่ทราบคือ การที่คำพิพากษากลับในเรื่องการรับโทษนั้น ไม่ใช่การยกฟ้องจากการพิจารณาคดีของคณะลูกขุน สรุปเลยคือกฎเรื่องการฟ้องซ้ำไม่สามารถนำมาใช้ในคดีนี้ได้ และอัยการรัฐก็สามารถทำเรื่องส่งฟ้องคดีในข้อหา capital murder ได้อีกครั้งหากมีหลักฐานมากพอ
1
...ก็จดหมายที่เขาเขียนมารับสารภาพนั่นแหละค่ะ เพราะในตอนนี้เขาบอกเองว่า เขาพยายามจะข่มขืน Stacie ก่อนฆ่าเธอทิ้ง ครบองค์ประกอบความผิดพอดี
ในปี 2003 Paul ก็ต้องไปขึ้นศาลอีกครั้ง ในข้อหาเดิม แต่ในคราวนี้ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เพราะจดหมายดังกล่าวถูกส่งให้คณะลูกขุนอ่าน สภาพของ Paul ในตอนมาขึ้นศาลครั้งนี้ก็ต่างจากครั้งแรก เขาดูจะควบคุมสติอารมณ์ไม่ได้ นั่งเงียบหน้าซึมเป็นหมาหงอย ร้องไห้บ้างในบางครั้งแต่พอประมาณ แตกต่างจากครั้งแรกที่ทำตัวชูคอ หยิ่งยโส และที่สำคัญ แสยะยิ้มเป็นระยะๆ เยาะเย้ยครอบครัวของ Stacie และ Kristie
Kristie ขณะให้การในศาล Cr:Fredrikburg.com
แต่ถึงจะพยายามแสร้ง หรือเสียใจจริงๆก็ไม่รู้ ก็ไม่ได้ผล เพราะในครั้งนี้ ลูกขุนเห็นแล้วว่า Paul นั้นนะ ไม่ได้มีความเสียใจ สำนึกผิดเลยแม้แต่น้อย แถมยังยินดีปรีดาไปกับความเศร้าโศก ความเสียใจของเหยื่อ และสะใจที่ได้ทรมานความรู้สึกคนอื่น แถมยังเหยียดผิวอีกต่างหาก เลยลงความเห็นกันเป็นเอกฉันท์ว่า ไปลงนรกซะเธอนะเธอจ๋า อยู่ไปก็รกโลกและเปลืองข้าวรัฐ (จริงๆแค่บอกว่าให้ตัดสินประหารชีวิต แต่เราเชื่อว่าทุกคนคิดเหมือนกัน)
1
เหมือนพอรู้ตัวว่าขุดหลุมฝังศพตัวเองเพราะความโง่ + อวดฉลาด มันเลยกลายเป็นความอีเดียตแบบคอมโบ แตกออกมาเป็นโกโก้ครั้นช์ โดนคนด่าว่าชั่วยังไม่เจ็บเท่าโดนด่าว่าโง่แบบ but soap ฉะนั้นแล้ว Paul จึงเลือกที่จะหุบปากตัวเองไว้ดีกว่าหลังจากที่โดนคำพิพากษาให้รับโทษดังกล่าว
ในที่สุดวันที่ 18 มีนาคม ปี 2010 เวลาของ Paul ก็มาถึง ศาลให้เขาเลือกว่าจะเลือกการประหารชีวิตแบบฉีดยาพิษ หรือเก้าอี้ไฟฟ้า ซึ่ง Paul เลือกการประหารแบบเก้าอี้ไฟฟ้าแทน (นี่ก็แปลกใจ ทำไมเลือกวิธีที่ดูทรมานกว่า)
ก่อนหน้าที่ Paul จะถูกประหาร เขาเหมือนคนที่ได้เกิดใหม่อีกครั้ง เขาติดต่อ Lorraine และ Kristie เพื่อแสดงความเสียใจ “ในแบบฉบับของเขา” โดยได้พูดขอโทษทั้งสองคนผ่านทางโทรศัพท์ และยอมรับว่า เรื่องที่เกิดขึ้นเนี่ย มันไม่มีเหตุผล และไม่ควรจะเกิดขึ้นเลย และเขาไม่รู้ว่าเขาทำเรื่องแบบนั้นลงไปได้ยังไง
Lorraine กับ Kristie ยกโทษให้กับ Paul ตั้งนานแล้ว (เพื่อความสงบสุขในจิตใจของตัวเอง) พวกเธอยังบอกอีกด้วยว่า พวกเธอจะสวดมนต์ภาวนาให้กับเขานะ
แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า Lorraine กับ Kristie จะอยากให้หยุดโทษประหาร ครอบครัวของ Stacie และ Kristie ต่อสู้กันมานานมากๆ เป็นระยะเวลา 11 ปีด้วยกันกว่าเรื่องนี้จะจบลงซักที
วันที่ Paul ถูกนำตัวไปประหารชีวิต เขาดูหวั่นวิตกอย่างเห็นได้ชัด เจ้าหน้าที่นำเขาตรึงไว้กับเก้าอี้ ก่อนที่จะเอาหน้ากากดึงลงมาปิดบริเวณหน้า และเว้นไว้เพียงแค่ช่วงจมูก Paul ได้รับอนุญาตให้พูดอะไรสั่งเสียเป็นครั้งสุดท้าย เขาไม่พูดอะไร สายตามองเหม่อไปข้างหน้า เจ้าหน้าที่กด switch เพื่อ ดำเนินการขั้นตอนครั้งสุดท้ายและ Paul เสียชีวิตลงในเวลาไม่กี่นาที
Lorraine, Kristie, ครอบครัวของทั้งคู่ กับ Ebert เข้าร่วมดูการประหารนั้นด้วย สำหรับ Kristie แล้ว เธออยากเห็นว่า เรื่องนี้มันจบแล้วจริงๆ และ Paul ไม่มีวันกลับมาทำร้ายเธออีก และเธอจะไม่ต้องมายุ่งกับเรื่องนี้อีก แล้วโฟกัสกับการใช้ชีวิตต่อไป
1
📪 >>>>สำนึกผิดในตอนนี้มันสายเสียแล้ว ตอนก่อเหตุว่าเลวแล้ว ตอนหลังก่อเหตุนี่เกินเบอร์ไปมาก เหมือนไม่ใช่มนุษย์ เรียกร้องความสนใจ ยโส โอหัง แถมโง่แบบฉุดไม่อยู่ ที่สำคัญคนที่ทำร้ายนะ ยังเป็นเด็กอยู่เลย แล้วก็เหยียดผิวอีกด้วย อย่าอยู่นานเลย เพราะหาประโยชน์จากการมีอยู่ของคนแบบนี้ไม่ได้เลยจริงๆค่ะ
EP. เก่าๆดูได้อีกทางที่นี้ค่ะ
Facebook Page:
Blockdit:
Sources:
โฆษณา