22 ก.ค. 2021 เวลา 00:04 • การศึกษา
เปิดตำนาน ภพภูมิของ "อสูร" มีอยู่จริงหรือไม่?
หากเราจะกล่าวถึงเรื่องภพภูมิหลายๆท่านก็อาจจะพอคุ้นเคยกันอยู่แล้ว แต่บางท่านก็อาจจะพอรู้แค่บางส่วน ซึ่งในคติความเชื่อของคนเรานั้นนับว่ามีอยู่จริงแน่นอน เพียงแต่เราไม่อาจจะสัมผัสได้ด้วยตาเนื้อได้เลยในบางภพภูมิของภพกายละเอียด เช่น สัมภเวสี
เทวดา มาร พรหม เปรต สัตว์นรก นาค ครุฑ คนธรรพ์ เป็นต้น
วันนี้เรามาทำความรู้จักกับเรื่องราวภพภูมิของ "อสูร" กันว่ามีสภาวะเป็นอย่างไร
ตามความเชื่อในศาสนาฮินดูและศาสนาพุทธ "อสูร"  คือเทวดากายทิพย์จำพวกหนึ่ง มีนิสัยดุร้าย เป็นปฏิปักษ์กับเทวดาพวกอื่นซึ่งอาศัยบนสวรรค์ อสูรเพศหญิงจะเรียกว่า "อสุรี"
มีเรื่องราวเคยกล่าวเอาไว้ว่า ในคัมภีร์ฤคเวทตอนต้นใช้คำว่า อสูร หมายถึงเทพชั้นหัวหน้า เช่น พระอินทร์ พระพิรุณ พระอัคนี และเป็นคำเดียวกับคำว่า อหุระ ในพระนาม “พระอหุระมาซดะ” พระเป็นเจ้าในศาสนาโซโรอัสเตอร์ สมัยต่อมา “อสูร” กลับใช้หมายถึง ศัตรูของเทพ ซึ่งพระประชาบดีทรงสร้างขึ้นมาจากลมหายใจของพระองค์ โดยคำว่า “อสุ” หมายถึงลมหายใจของพระประชาบดี
คัมภีร์ชั้นหลังต่อมา เช่น ฤคเว
ภาคหลัง อาถรรพเวท และปุราณะต่าง ๆ มีการตีความหมายใหม่ว่า “อสุระ” แปลว่า ไม่ใช่เทพ (อ- อุปสรรค/น นิบาต(ไม่ใช่, ไม่) + สุระ (เทพ)) คือเป็นอริกับเหล่าเทพ และปรากฏตำนานหลายเรื่องกล่าวถึงสงครามหรือความขัดแย้งระหว่างเทพกับอสูร เช่น ตอนกวนเกษียรสมุทรในกูรมาวตาร เทวาสุรสงคราม เป็นต้น
"อสูร" จึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของความชั่ว ความโหดร้าย ต่างจากเทวดาซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความดีและความเมตตา
ศาสนาพุทธเชื่อว่า แต่เดิมอสูรเป็นเทวดาอาศัยในเมืองสุทัศน์ บนยอดเขาพระสุเมรุ มีท้าวเวปจิตติเป็นจอมเทพ ต่อมาถูกมฆมานพซึ่งมาเกิดเป็นพระอินทร์และบริวารมอมเหล้าจนไม่ได้สติ จึงถูกจับโยนลงมาอยู่ใต้เขาพระสุเมรุ ด้วยอำนาจบุญเก่าจึงเกิดเป็นเมืองใหม่ลักษณะเหมือนเมืองสุทัศน์ อยู่ใต้เขานั้นเป็นที่อาศัยของเหล่าอสูร เหล่าอสูรก้เข้าใจว่าตนยังอยู่บนเขาพระสุเมรุ จนเมื่อเห็นต้นแคฝอยในเมืองออกดอก อสูรจึงระลึกได้ว่าตนเองอยู่ใต้เขา เพราะในเมืองสุทัศน์มีต้นปาริชาต อสูรก็จะแต่งกองทัพอสูรยกไปหมายจะชิงเอาเมืองสุทัศน์คืน จึงเรียกว่า "เทวาสุรสงคราม" (สงครามระหว่างเทพกับอสูร) ทั้งสองฝ่ายผลัดกันแพ้ชนะเรื่อยมา ฝ่ายใดแพ้ก็จะหนีกลับเข้าเมือง ฝ่ายตรงข้ามไม่สามารถตีเข้าเมืองได้ ตกยกทัพกลับไป ทั้งสองเมืองจึงได้ชื่อว่าอยุชฌปุระ (เมืองที่ไม่มีใครรบชนะได้)
คัมภีร์มโนรถปูรณีระบุว่า อสูรผู้เป็นหัวหน้า (อสุรินฺท) มี 3 ตน ได้แก่ ท้าวเวปจิตติ พระราหู และท้าวปหาราทะ
"อสูร 3 องค์ที่สำคัญ คือ"
1.ท้าวเวปจิตติ
2.พระราหู
3.ทศกัณฑ์
ท่าน "ท้าวเวปจิตติ" คือใคร?
ท้าววิประจิตติ เป็นราชาของพวกหมู่"อสูร" จึงมีสมัญญาว่า "อสุรราช"
ผู้ยิ่งใหญ่แห่งภพอสูร มีฤทธิ์มากมีอำนาจมาก มีอานุภาพมาก
"ท้าวเวปจิตติ" มีนามเดิมว่า ท้าวสมพร เป็นจอมอสูร คราวหนึ่งเกิดสงครามระหว่างเทพกับอสูร เมื่ออสูรพ่ายแพ้แล้ว มักไปทำลายอาศรมพวกฤๅษีเพราะโกรธแค้นว่าฤๅษีมักถวายคำปรึกษาแก่ท้าวสักกะจอมเทพ พวกฤๅษีจึงพากันไปเข้าเฝ้าท้าวสมพรเพื่อขอประทานความปลอดภัย แต่ท้าวสมพรปฏิเสธ พวกฤๅษีจึงสาปแช่งว่าฤๅษีต้องการความปลอดภัยเท่านั้น เมื่อไม่ประทาน ก็ให้ภัยเป็นของท้าวสมพรเอง แล้วหายตัวกลับอาศรม ในคืนนั้นท้าวสมพรตกใจตื่นร้องด้วยความกลัวถึงสามครั้ง จึงได้สมัญญาว่า เวปจิตติ (ผู้มีใจหวั่นไหว)
ท้าวเวปจิตติมีธิดาอยู่องค์หนึ่งคือพระแม่สุชาดา ต่อมากลายเป็นชายาเอกของท้าวสักกะ ลูกเขยพ่อตาคู่นี้บางครั้งก็ทะเลาะกัน บางครั้งก็เที่ยวไปด้วยกัน
ทางตำนานในศาสนาฮินดูระบุว่า ท้าววิประจิตติเป็นบุตรที่ทรงฤทธิ์ที่สุดของพระกัศยปะกับนางทนุ จึงถือเป็นพวกทานพ ท้าววิประจิตติได้เป็นพระราชาปกครองพวกทานพแทนท้าวปุโลมัน พระเชษฐาที่ถูกพระอินทร์สังหารไป คัมภีร์ปัทมปุราณะระบุว่าท้าววิประจิตติมีบุตรคือพระราหู นอกจากนี้ ในมหาภารตะยังกล่าวว่าท้าววิประจิตติได้มากำเนิดเป็นท้าวชราสันธ์อีกด้วย
"พระราหู" อสูรอีกตนหนึ่งในพระพุทธศาสนา
ในพุทธศาสนา พระราหู มีนามว่า
"พระอสุรินทราหู" เป็นอุปราชคู่กับท้าวพรหมทัตตาสูร อยู่เมืองอสูรทางทิศเหนือ เป็นเทวดาตระกูลเนวาสิก ที่มีท้าวเวปจิตติเป็นใหญ่ ต่อมาท้าวสักกะได้ยึดอำนาจและขับไล่พวกเทวดาตระกูลเนวาสิก ลงมาจากเขาพระสุเมรุในขณะที่กำลังเมาสุรา ทำให้พวกเทวดาเหล่านี้ประกาศตนใหม่ว่าเป็นพวกอสุรา หรือ อสูร และสร้างเมืองอสูรขึ้นในหุบเขาตรีกูฏ ใต้เขาพระสุเมรุ
ด้านคัมภีร์อนาคตวงศ์ ระบุว่าพระโคตมพุทธเจ้าตรัสกับพระสารีบุตรว่า พระอสุรินทราหูจะได้มาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า "พระนารทสัมพุทธเจ้า" สูง ๒๐ ศอก พระชนมายุ ๑๐,๐๐๐ ปี มีไม้จันทน์เป็นที่ตรัสรู้ ได้บำเพ็ญปรมัตถบารมี ในสมัยพระกัสสปะพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์ได้เกิดเป็นกษัตริย์มีพระนามว่า พระยาสิริคุตตมหาราช ครองเมือง มัลลนคร มีพระราชอัครมเหสี นามว่า ลัมภุราชเทวี มีพระราชโอรสและพระราชธิดา นามว่า นิโครธกุมารและโคตมีกุมารีตามลำดับ วันหนึ่งมี พราหมณ์ ๘ ท่าน มาทูลขอราชสมบัติและพระนคร พระองค์ก็พระราชทานด้วยจิตใจที่ปลาบปลื้มยินดี และพาครอบครัวออกบวช ไปอาศัยอยู่ที่อาศรมในป่า ในครั้งนั้นมียักษ์ชื่อว่า ยันตะ ร่างกายสูงถึง ๑๒๐ ศอก มาขอพระราชโอรสและธิดาทั้งสอง พระองค์ เพื่อเป็นอาหาร และ ยันตะยักษ์ ยังกล่าวอีกว่า ถ้าได้ถวายพระราชโอรสและพระราชธิดาแล้ว อนาคตจะได้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างแน่นอน เมื่อพระยาสิริคุตตมหาราชได้ฟังเช่นนั้นเกิดความปลาบปลื้มเป็นอย่างมาก จึงตอบว่า ไม่ใช่ไม่รักลูกทั้งสองแต่ท่านเป็นผู้ที่รักในพระโพธิญาณยิ่งกว่าสิ่งใด จึงตัดใจสละพระกุมารีทั้ง ๒ ให้ยักษ์และหลั่งน้ำเหนือมือของยักษ์ พร้อมทั้งประกาศแก่เทวดาและพระแม่ธรณีให้เป็นสักขีพยาน แห่งมหาทานนี้ เมื่อยักษ์ได้รับมอบพระกุมารีทั้งสองไปแล้ว ก็เคี้ยวกินต่อหน้าต่อตาพระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์เห็นเลือดที่ไหลจากปากของยักษ์ ก็มิได้หวาดกลัวเลยด้วยจิตใจอันเปี่ยมด้วยยินดี และนับเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตพระองค์ที่ ๕ (นับพระศรีอริยเมตไตรยเป็นพระองค์ที่ ๑)
เรื่องราวเกี่ยวกับอสูรก็มีด้วยประการฉะนี้แล
ขอให้ทุกท่านมีความสุขกับการอ่านนะครับขอบคุณสำหรับการติดตามอ่านนะครับ ขอบคุณครับ😊🙇"
ขอบคุณข้อมูล : Wikipedia
เรียบเรียงเนื้อหา/นำเสนอบทความโดย :
"สาระหลากด้าน"
โฆษณา