22 ก.ค. 2021 เวลา 07:29 • หุ้น & เศรษฐกิจ
Tapering คืออะไร ? ส่งผลต่อตลาดอย่างไร ?
Tapering คือ นโยบายที่ปรับแต่งการกระทำของธนาคารกลาง
ความพยายามของ Tapering ในขั้นต้น คือพุ่งเป้าไปที่อัตราดอกเบี้ย และควบคุมการรับรู้ทิศทางอัตราดอกเบี้ยในอนาคตของนักลงทุน
และอาจจะรวมถึงการปรับเปลี่ยน อัตราคิดลด หรือความจำเป็นในการเพิ่มทุนสำรอง
รวมทั้ง Tapering เกี่ยวโยงกับการชะลอการเข้าซื้อสินทรัพย์ ซึ่งตามทฤษฎีก็คือ การดึงกลับของการนโยบายอัดฉีดเงิน(QE) ซึ่งดำเนินการโดยธนาคารกลาง
Tapering จะเริ่มทำหลังจากนโยบาย QE ได้บรรลุผลตามความคาดหวัง
ในการกระตุ้นและทำให้เศรษฐกิจมีเสถียรภาพแล้ว
เข้าใจการ Tapering
Tapering คือ การลดอัตราการสะสมสินทรัพย์ใหม่ภายใต้การ QE ในงบดุลของธนาคารกลาง
อันดับแรก คือ การถอนเงินทั้งหมดออกจากระบบการกระตุ้นทางการเงินที่ถูกปล่อยออกไป
เมื่อธนาคารกลางออกนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจในภาวะถดถอย(Recession) พวกเขาก็สัญญาว่าจะเก็บคืนการนโยบายการกระตุ้น(QE) ในตอนที่เศรษฐกิจฟื้นตัวแล้ว
สาเหตุเพราะว่า การกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยเงินอัดฉีดที่ต่อเนื่องและมากเกินไปนั้น อาจจะนำไปสู่ ภาวะเงินเฟ้อ(Inflation)ที่ไม่สามารถควบคุมได้ ฟองสบู่ราคาสินทรัพย์จากเงินที่อัดฉีดไป และความร้อนแรงที่สูงเกินไปของเศรษฐกิจ
ธนาคารกลางทำอย่างไรในการ Tapering
การพูดคุยอย่างเปิดเผยกับนักลงทุนที่ตระหนักถึงทิศทางของนโยบายและสิ่งที่จะทำในอนาคตของธนาคารกลาง ช่วยให้ตั้งความคาดหวังให้ตลาด และลดความไปแน่นอนของตลาด
นี่คือสาเหตุว่า ทำไมธนาคารกลางถึงค่อย ๆ ทำการ Tapering มากกว่าที่จะหยุดนโยบายการอัดฉีดอย่างทันที
ธนาคารกลางช่วยลดความไม่แน่นอนของตลาดโดยการเน้นย้ำถึงเป้าหมายในการ Tapering และเน้นย้ำเงื่อนไขโดยละเอียดว่าจะ Tapering ต่อ หรือพอแค่นี้ การคาดการณ์การลดการอัดฉีดลงถูกสื่อสารให้ตลาดเริ่มปรับตัวในการกระทำอย่างจริงจัง
ประวัติศาสตร์เผยถึงการ Tapering คือ การกระทำแค่ในเชิงทฤษฎี
ในช่วงเวลาอันหลากหลาย Fed และธนาคารกลางอื่น ๆ ที่ทำ QE ในทศวรรษนี้ ได้ทำการประกาศความตั้งใจที่จะ Tapering หรือดึงการ QE กลับในที่สุด
1
อย่างไรก็ตาม ธนาคารกลางก็ไม่สามารถที่จะทำการดึงกลับได้ทั้งหมด น้อยมากที่จะดึงการ QE กลับมาได้ทั้งหมด
The U.S. Fed, Bank of England, European Central Bank, Bank of Switzerland และ Bank of Japan ทั้งหมด มีความต้องการหรือความพยายามที่จะ Tapering หรือ คลี่คลายการอัดฉีดของพวกเขา ในภายหลังจากการเร่งเข้าซื้อสินทรัพย์และภายหลังการการขยายงบดุลอย่างต่อเนื่อง
Sweden's Central Bank, Sveriges Riksbank ประสบความสำเร็จอย่างมากในการลดงบดุลของเขา ตั้งแต่ปี 2010-2011
แต่หลังจากนั้น เกิดการขยายงบดุลอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ตอนนั้นเกือบจะเป็น 2 เท่าของจุดสูงสุดของการขยายงบดุลก่อนหน้า
จากการศึกษาพบว่า แนวคิดทางทฤษฎีเกี่ยวกับการ Tapering ของธนาคารกลางยังคงเป็นสัญญาที่ว่างเปล่า มากกว่าที่จะเป็นความจริง
อีกหนึ่งสาเหตุที่อธิบายว่า ทำไมธนาคารกลางถึงไม่เต็มใจที่จะดึงการ QE ที่ว่านี้กลับมา เพราะว่า มันจะเกิดสิ่งหนึ่งตามมา นั่นก็คือ "Taper Tantrum"
ซึ่งนักลงทุน(รวมถึงตลาดการเงินทั้งหมด)มีปฏิกิริยาในทาง extreme กับการตอบสนองต่อการชะลอการอัดฉีดจากธนาคารกลาง
ยกตัวอย่างเช่น การประกาศความตั้งใจ Tapering ของธนาคารกลาง ส่งผลให้ ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว (นักลงทุนพร้อมใจกันเทพันธบัตร) และตลาดหุ้นร่วงไปตาม ๆ กัน สิ่งนี้ส่งผลอย่างมากให้ผู้ออกนโยบายทางการเงิน
ชะลอ หรือย้อนกลับแผนการที่จะ Tapering ของพวกเขา เพราะต้องการที่จะหลีกเลี่ยงความรุนแรงในภาคส่วนทางการเงิน
นี่คือ concept ดั้งเดิมของ Tapering
ถ้าธนาคารกลางปรับปลี่ยนการดำเนินการเร็วเกินไป มันอาจจะทำให้เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอยได้
หรือถ้าธนาคารกลางไม่เคยผ่อนคลายนโยบายการกระตุ้นเศษฐกิจเลย ผลกระทบที่ไม่คาดฝันจากการเพิ่มขึ้นของอัตราเงินเฟ้อที่ไม่พึงปรารถนาอาจตามมาได้
ตัวอย่างของการ QE ของ Fed หลังจากวิกฤตทางการเงิน ปี2007-2008
ในสหรัฐอเมริกา การ QE ของ Fed เกี่ยวโยงกับการเข้าซื้อสินทรัพย์ ที่ประกอบด้วย mortgage-backed securities และสินทรัพย์อื่นๆในระยะยาว
เพื่อที่จะช่วยลดอัตราดอกเบี้ย ทำให้จำนวนพันธบัตรที่มีในตลาดลดลง ส่งผลให้ราคาสูงขึ้น และผลตอบแทนลดลง
ผลตอบแทนที่ลดลงส่งผลให้ต้นทุนในการกู้ยืม(ของอีกฝ่าย)ลดลง ตามทฤษฎีแล้ว เมื่อต้นทุนในการกู้ยืมลดลงส่งผลให้ธุรกิจมีความสะดวกขึ้น ในการเริ่ม Project ใหม่ (ส่งผลให้การจ้างงานเพิ่มขึ้น) และเมื่อการจ้างงานเพิ่มขึ้นก็จะนำไปสู่การบริโภคทั้งหมด และส่งผลถึงการเติบโตของเศรษฐกิจ
ตัวอย่างปัจจุบันของการพยายาม Tapering โดย Fed ที่ไล่ตามเก็บการ QE ที่ดำเนินการตอบสนองต่อวิกฤตทางการเงินในปี 2007-2008
การ Tapering ได้ดำเนินการก่อนเดือนมิถุนายน 2013 เมื่อ Ben Bernanke (อดีตประธานFed) ประกาศว่า Fed จะลดจำนวนการเข้าซื้อสินทรัพย์ลงทุก ๆ เดือน จนกว่าเงื่อนไขทางเศรษฐกิจ เช่น ตัวเลขเงินเฟ้อ อัตราการว่างงาน จะดีขึ้น ในกรณีนี้ Tapering คือการลด ไม่ใช่การยกเลิก การเข้าซื้อสินทรัพย์ของ Fed
1
ในปี 2013 คณะกรรมการ Fed สรุปถึงการ QE ว่า งบดุลของ Fed ที่ได้เพิ่มขึ้นไปถึง 4.5 trillion dollars ได้บรรลุผลตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ และมันถึงเวลาที่จะมีการพูดคุยเรื่อง Tapering ซึ่งกระบวนการ Tapering จะเกี่ยวโยงกับการเข้าซื้อพันธบัตรให้น้อยลงในเดือนตุลาคม 2014
แผนการ Tapering ของ Fed
ในช่วงต้นปี 2014 Fed ประกาศความตั้งใจของเขา ในการลดการเข้าซื้อสินทรัพย์ลงทุกเดือน ๆ จาก 75 billion dollars จนเหลือ 65 billion dollars
การ Tapering จะเริ่มที่ 6 billion dollars ต่อเดือนสำหรับ
treasury securities และ 4 billion dollars สำหรับ mortgage backed securities
กระบวนการนี้จะดึงเงินกลับมา 30 billion dollars จาก Treasury Securities และ20 billion dollars จาก MBS
ในช่วงระยะเวลานี้ งบดุลของ Fed จะถูกคาดหวังว่า จะลดลงไปเหลือต่ำกว่า 3 trillion dollars ในปี 2020 แทนที่จะเผชิญหน้ากับ Taper Tantrum โดยตรง Fed เลือกที่จะรักษางบดุลไว้ให้อยู่ที่ประมาณ 4.5 trillion dollars จนถึง ต้นปี 2018
ในจุดนี้ คือการเริ่มต้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป ในการลดการถือครองสินทรัพย์อย่างช้า ๆ
แต่แล้ว ในกลางปี 2019 ปฏิกิริยาของตลาดใน Tapering ส่งผลทำให้เกิด inverted yield curve และเกิดเพิ่มขึ้นของสัญญาณการเข้าสู่ภาวะถดถอย (Recession)
เป็นอีกครั้งที่ Fed เริ่มการ QE อีกรอบ (โดยการเพิ่มการเข้าซื้อพันธบัตร) ด้วยสินทรัพย์ที่สูงกว่า 4 trillion dollars ในเดือน ธันวาคม 2019 และเพิ่มขึ้นสูงถึงกว่า 7 trillion dollars ในต้นปี 2020 ในขณะที่ความกลัวเรื่อง Coronavirus ได้ครอบงำ Fed
หลังจากการแพร่ระบาดของ Covid-19 Fed ได้ดำเนินนโยบายต่าง ๆ มากมายที่จะช่วยให้เศรษฐกิจฟื้นตัว
ในปลายเดือนพฤษภาคม 2021 จากบันทึกการประชุมของ Fed ถูกปล่อยออกมา ได้เริ่มถูกจับตามองในหมู่นักลงทุนว่า Fed อาจจะเริ่มทำการ Tapering
ตามบันทึกการประชุมระบุว่า ผู้เข้าร่วมประชุมจำนวนหนึ่งกล่าวว่า
หากเศรษฐกิจยังคงฟื้นตัวได้ดีอย่างรวดเร็วจนถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ มันก็อาจจะเป็นเวลาเหมาะสมที่จะพูดคุยเรื่องการปรับเปลี่ยนการเข้าซื้อสินทรัพย์
Tapering ส่งผลกระทบอย่างไรต่อตลาดหุ้น
นโยบาย QE ดำเนินการหลังจากวิกฤตทางการเงินปี 2007-2008 เป็นผลดีอย่างมากต่อราคาหุ้น และพันธบัตร ในตลาดการเงินของสหรัฐ
แต่จากการศึกษาพบว่า นักลงทุนมีความกังวลอย่างรุนแรงต่อการ Tapering หรือความเป็นไปได้ที่จะลดการเข้าซื้อสินทรัพย์
แม้ว่า Tapering จะมีความเป็นไปได้ในทางทฤษฎี (มันไม่เคยถูกดึงกลับโดยธนาคารกลางได้สมบูรณ์เลย) แต่มันก็ยากที่จะบอกอย่างชัดเจนว่า มันส่งผลอะไรต่อตลาดหุ้น
อย่างไรก็ตาม ในอดีตมีความเชื่ออย่างแพร่หลายว่า เมื่อ Fed เริ่มค่อย ๆ ดึง
การกระตุ้นเศรษฐกิจกลับอย่างช้า ๆ จะส่งผลในทางลบต่อตลาดหุ้น
โฆษณา