25 ก.ค. 2021 เวลา 05:10 • สุขภาพ
ช่วงนี้นอกจากที่จะได้เห็นข่าวสถิติ New High ที่เกี่ยวกับทั้งผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตที่มีเพิ่มมากขึ้น มากขึ้น และมากขึ้นในแต่ละวัน แต่อีกข่าวที่ข้าพเจ้าได้เห็น ได้ยิน ได้ฟัง ได้รับทราบ ทั้งจากสื่อต่าง ๆ และการสื่อสารโดยส่วนตัวนั้น ก็คือ การเจ็บป่วย และการจากไปในหน้าที่ของบุคลากรทางด้านการสาธารณสุข ซึ่งถือว่าเป็นด่านหน้า เป็นนักรบชุดขาวที่กำลังต่อสู้เข้าร่วมรบกับสงครามแห่งมหาอุบัติเหตุโรคภัยไข้เจ็บของมวลมนุษยชาติในครั้งนี้
3
หมอ พยาบาล เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลผู้ที่มีจิตใจดี จิตใจประเสริฐ
ข้าพเจ้าได้เริ่มสัมผัสกับวิถีชีวิตของบุคลากรทางการสาธารณสุขในช่วงเกือบ ๆ สิบปีที่ผ่านมา ทั้งหมอ ทั้งพยาบาล และเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาล ผ่านโครงการปฏิบัติธรรมต่าง ๆ ทั้งอย่างเป็นทางการและไม่เป็นทางการ
2
เริ่มแรกขอเล่าเท้าความในสิ่งที่ข้าพเจ้าได้พบ ได้เจอ ได้สัมผัสในเบื้องต้นก่อน อาจจะยาวไปสักหน่อย แต่ก็เล่ามาจากสิ่งที่ข้าพเจ้าได้รู้ ได้เข้าใจ ซึ่งถ้าผิดพลาดประการใด ก็ขออภัยไว้ ณ ที่นี้
2
หมอ ไม่มีการลา แบบลาแล้ว ลาเลย...
อาจจะฟังยากไปสักหน่อย ซึ่งข้าพเจ้าขอขยายความตามความเข้าใจดังนี้
ในอดีต ข้าพเจ้าเคยทำงานเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัย เมื่อต้องได้มีโอกาสไปประชุม ไปสัมนา ไปอบรมในโครงการต่าง ๆ ซึ่งต้องแจ้งลา หรือเขียนใบลา หรือเป็นคำสั่งไปราชการนั้น การไปในแต่ละครั้งคือ ลาแบบ “ลาแล้ว ลาเลย” ไม่ต้องมาใช้หนี้ในสิ่งที่ลาไป นอกจากเสียว่า อาจจะต้องมาสอนชดเชยเด็ก ๆ นักศึกษา ในชั่วโมงที่ขาดสอนไป หรือบางครั้งอาจจะแก้ไขได้จากการที่สั่งนักศึกษาทำรายงาน ในบทการสอนที่ขาดไปในช่วงเวลานั้น ๆ
2
หรือถ้าเป็นอาชีพอื่นบางอาชีพ การที่ได้ถูกมอบหมายให้ไปที่โน่นที่นี่ คือ ไม่ต้องเข้ามาในสำนักงาน ก็คือว่า จบแล้วจบเลย คือ จบงานในวันนั้น ๆ ไป
ได้เงิน ได้ค่าจ้าง แล้วไม่ต้องมีภาระผูกพันธ์ใด ๆ ในวันรุ่งขึ้นหรือวันถัด ๆ มา
หนำซ้ำบางอาชีพ การได้ออกไปข้างนอก ไปอบรม ก็ถือว่าเป็นโบนัส คือ ได้เงินเดือน ได้ค่าจ้างเต็มจำนวน โดยไม่ต้องทำงาน แถมอาจจะยังมีเงินเบี้ยเลี้ยง ค่าเดินทางให้อีกเสียด้วยซ้ำ
1
แต่ทว่า... หมอไม่ได้ลาแล้วลาเลย
สิ่งที่ข้าพเจ้าจุดประเด็นในครั้งนี้ก็เนื่องมาจากว่า การได้พบเห็นจากการจัดโครงการปฏิบัติธรรมในหลาย ๆ ครั้ง สัดส่วนของหมอที่จะมาปฏิบัติธรรมนั้นน้อยมาก หรืออาจจะไม่มาเลยแม้แต่คนเดียว
ยกตัวอย่างเช่น โครงการหนึ่งอาจจะคนเข้าร่วมสามสิบคน ห้าสิบคน อาจจะมีหมอมาสัก 1-2 คน หรืออาจจะไม่มีเลย นอกจากนั้นก็จะเป็นพยาบาล ประมาณ 20-30 เปอร์เซ็นต์ สำหรับสัดส่วนที่เหลือก็จะเป็นเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาล
3
หมอ พยาบาล เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลผู้ที่มีจิตใจดี จิตใจประเสริฐ
ซึ่งจากความฉงนนั้น ข้าพเจ้าได้ทราบความจริงในส่วนแรก ก็คือ ถ้าหมอมาปฏิบัติธรรม คือ ไม่ได้ไปทำงาน จะต้องกลับไปทำงานชดใช้ในส่วนที่ลาวันนั้น แต่อันนี้ไม่ใช่ความผิดของหมอนะ มิใช่หมอไม่อยากจะกลับไปใช้เวร หรือใช้กรรมอะไร แต่ทว่า การที่ไม่ได้ลาแบบ ลาแล้วลาเลยก็เพราะว่า ถ้าหมอไม่ได้ไปทำงาน ก็แสดงว่าตารางนัดของคนไข้ทั้งหลายนั้นจะต้องขยับไปด้วย ถ้าหมอลางาน ก็มิใช่ว่าคนไข้ที่นัดไว้ไม่ต้องตรวจนะ
3
เมื่อลาหนึ่งวัน สมมตินัดคนไข้ไว้วันละ 100 คน อย่างไรก็ตามก็จะต้องกลับไปใช้เวร คือ กลับไปนัดเวลาตรวจคนไข้ใหม่อีกครั้งหนึ่ง ซึ่งส่วนใหญ่จะต้องเลื่อนเวลานัดออกไป จะนัดก่อนก็ไม่ได้ เพราะตารางงานเดิมแน่นเอียดอยู่แล้ว
ดังนั้น ถ้ามาปฏิบัติธรรม 3 วัน ก็จะมีคนไข้ตกค้าง คิดง่าย ๆ สมมติว่าเป็น 300 คน ที่จะต้องกลับไปนัดตารางตรวจใหม่ (ให้หมอคนอื่นตรวจแทนไม่ได้นะ) และคนไข้บางคนก็รอเวลาไม่ได้ เพราะนี้คือเรื่องชีวิต เรื่องความเป็นความตาย ดังนั้น หมอจึงเสียสละในการเข้าโครงการต่าง ๆ เพื่อที่จะรักษาคนไข้ มากกว่าจะทำอะไรในสิ่งที่ตนเองชอบ
3
หมอ พยาบาล เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลผู้ที่มีจิตใจดี จิตใจประเสริฐ
พยาบาล ก็มีสัดส่วนมากขึ้น แต่ก็ไม่เยอะ ประมาณ 20-30 เปอร์เซ็นต์
สำหรับพยาบาลนั้น ที่ข้าพเจ้ารับทราบในมุมมองเล็ก ๆ นั้น เมื่อข้าพเจ้าได้ทราบครั้งแรกแล้วก็ถึงกับ “อึ้ง” ไปอยู่นานเหมือนกัน เพราะไม่คิดว่าจะมีการทำงานระบบนี้อยู่จริง ๆ แต่มันก็เป็นความจริง ก็คือ
2
พยาบาลจะทำงานเข้าเวรเหมือนกับการเข้ากะ ครั้งละ 8 ชั่วโมง เช้าบ่ายดึก เช้าบ่ายดึก (อาจจะผิดพลาดเรื่องตัวเลขนะ)
แต่ความเข้าใจก็คือ ทำ 8 พัก 8 ไม่เหมือนกับการทำงานทั่วไปที่ทำ 8 พัก 16 คือ คนส่วนใหญ่จะ ทำงานเช้า ก็เช้าทุกวัน เย็นก็กลับไปบ้าน นอนพัก ตื่นเช้าก็กลับมาทำงานใหม่ เป็นแบบนี้ทุกวัน
3
แต่ทว่า พยาบาลจะทำงานสลับกันไป วันนี้เข้าเช้า ออกเย็น ไปพัก 8 ชั่วโมง แล้วก็กลับมาทำงานใหม่ ในอีกเวลาหนึ่ง เช้า บ่าย ดึก สลับกันไป
ซึ่งลองคิดดูว่า สมมติทำงานแปดโมง ออกสี่โมงเย็น เมื่อสี่โมงเย็นกลับบ้าน กว่าจะถึงบ้านก็ห้าหกโมง นอนพักแป๊บนึง เที่ยงคืนก็ต้องมาเข้างานใหม่ ทำงานจนถึงแปดโมง กลับไปพัก แล้วก็วนกลับมาเข้างานตอนเย็น สลับกันไป
นี่คือวิถีชีวิตของพยาบาลที่ใคร ๆ อาจจะยังไม่เคยรู้
6
หมอ พยาบาล เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลผู้ที่มีจิตใจดี จิตใจประเสริฐ
ถ้าใครอยากพักมาก ทำอย่างไร ก็ต้องแลกเวร สลับเวร ส่วนใหญ่พยาบาลเด็ก ๆ รุ่นใหม่ที่เข้าไปทำงาน ยังไม่มีครอบครัว ก็อาจจะมีการเข้าเวรแทนรุ่นพี่ ๆ ซึ่งมีครอบครัว เด็ก ๆ ก็จะมีรายได้เพิ่มมากขึ้น แต่ก็มีเวลาพักที่น้อยลง สำหรับพยาบาลรุ่นพี่ ๆ ที่มีภาระทางครอบครัว ก็เหมือนจะมีเวลาพักมากขึ้น แต่ก็มีรายได้ที่ลดลง
2
สิ่งที่ข้าพเจ้าพูดว่า เหมือนจะมีเวลาพักมากขึ้นนั้นก็เพราะว่า พยาบาลรุ่นพี่ ๆ ที่อาจจะเข้าเวรเช้าก็เช้าตลอด ทำงาน 8 ได้พัก 16 นั้น เหมือนจะได้พัก แต่ไม่ได้พัก เพราะเวลา 16 ชั่วโมงนั้น จะต้องกลับไปทำงานบ้าน เลี้ยงดูลูก ทำความสะอาดบ้าน ล้างห้องน้ำ ทำกับข้าว ดูแลครอบครัว อะไรจิปาถะ
2
ดังนั้น ถ้ามีโอกาสเจอเด็กน้อง ๆ พยาบาลที่ยังไม่มีครอบครัว ข้าพเจ้าจะบอกเสมอว่า “การไม่มีครอบครัว เป็นลาภอันประเสริฐ” คือ ไม่จำเป็นก็อย่าไปแต่งงาน เพราะไม่อยากให้น้อง ๆ เป็นทุกข์
“การเกิดทุกคราวเป็นทุกข์ร่ำไป”
การเกิดทางร่างกายหลาย ๆ ปี สิบปี ร้อยปี จะเกิดกันสักครั้ง แต่ทว่าเกิดไปมีสามี มีครอบครัวเมื่อไหร่ ความทุกข์ทั้งหลายก็จะเกิดขึ้นทุกเวลานาที
2
ดังนี้เองเราจะเห็นได้ว่าเวลาของหมอและพยาบาลนั้นถือว่าเป็นอาชีพหนึ่งที่ต้องทำงานหนักและต้องพักผ่อนน้อยถึงน้อยมาก
2
หมอ พยาบาล เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลผู้ที่มีจิตใจดี จิตใจประเสริฐ
เกริ่นมานานก็ขอเข้ากับสถานการณ์ช่วงโรคระบาดรุนแรงในครั้งนี้
แต่เดิม หมอ พยาบาลหลาย ๆ ท่าน จะแวะเวียนมาเยี่ยมแม่ของข้าพเจ้าเป็นประจำ มีเวลา แลกเวรได้ก็มากัน แต่ช่วงหลัง ๆ หลาย ๆ คนไม่ได้มา มิใช่แลกเวรไม่ได้นะ แต่ทุกคนจะพูดไปทำนองเดียวกันว่า
“พวกเราไม่อยากเอาเชื้อโรคมาฝากแม่”
2
หมอ พยาบาล เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลผู้ที่มีจิตใจดี จิตใจประเสริฐ
สิ่งนี้ถ้าวัดเป็นคำพูดอาจจะดูเหมือนผิวเผิน แต่ทว่าคำพูดนี้นั้น แสดงถึงจิตใจที่มีความห่วงใยต่อทุก ๆ คนโดยเฉพาะคนที่เขารัก
3
หมอ พยาบาล เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลทุก ๆ คนนั้น มิได้กลัวเชื้อโรค หรือว่ากลัวที่จะติดโรค แต่เขาไม่อยากให้เชื้อโรคไปติดคนที่เขารัก
1
ดังนั้น หมอ พยาบาล เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลทุก ๆ คนจึงถือว่าเป็นบุคคลที่เสียสละ น่ายกย่อง เพราะมีจิตใจที่งดงามและประเสริฐอย่างแท้จริง
3
แต่ทำไมช่วงหลัง ๆ บุคลากรในสายนี้หลาย ๆ ท่านจึงมีข่าวการล้มป่วย และจากไปก่อนวัยอันสมควร
เชื้อโรคที่ว่าร้ายแรงแล้ว แต่มิอาจเทียบเท่ากับจิตใจที่ระทม ตรม และทุกข์
1
หมอ พยาบาล เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลทุก ๆ คน อยากทำในสิ่งที่ตนเองรัก อยากกลับไปหาคนที่ตนเองรัก แต่ทว่า ทุกคนก็ห่วงใยคนที่ตนเองรัก จึงต้องยอมห่าง ยอมจาก เพื่อรักษาระยะห่างจากคนที่รักนั้นให้ปลอดภัย
1
หมอ พยาบาล เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลผู้ที่มีจิตใจดี จิตใจประเสริฐ
จิตใจที่ต้องห่วงหา อาวรณ์ ไม่ได้พบหน้า มิได้ใกล้ชิดเหมือนแต่ก่อน ก็ยิ่งทำให้ความทุกข์นั้นคืบคลาน ปะเดปะดัง
1
ขอย้อนกลับไปอีกนิด น้อง ๆ หมอ น้อง ๆ พยาบาลทุกคน “การไม่แต่งงานเป็นลาภอันประเสริฐ จริง ๆ นะ” เพราะเราจะตัดการเกิดแห่งความทุกข์ออกไปได้อีกมาก
ผู้หญิงในทุกวันนี้มิจำเป็นต้องแต่งงานเพื่อให้ผู้ชายมาทำนาทำสวนเหมือนแต่ก่อน ยิ่งเรามีอาชีพ มีหน้าที่ มีการงานที่เลี้ยงตัวเองได้ เลี้ยงพ่อแม่เราได้ และหน้าที่ของเรานั้นถือว่าได้ทำบุญทำกุศลอยู่ตลอดเวลา ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีที่ประเสริฐมากที่สุดแล้ว
2
แต่ทว่า... เมื่อใครมีครอบครัว มีภาระ มีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบแล้วก็ต้องทำหน้าที่ให้ดีที่สุดต่อไปเนอะ
2
หมอ พยาบาล เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลผู้ที่มีจิตใจดี จิตใจประเสริฐ
ดังนั้น ย้อนกลับมาว่า จากเดิมพยาบาลรุ่นใหม่ ๆ ที่ทำงาน 8 พัก 8 ก็ถือว่าพักได้น้อยอยู่แล้ว ยิ่งทำงานหนัก เวลาพักผ่อนน้อย ร่างกายก็เริ่มเสื่อมถอย
พยาบาลรุ่นกลาง ๆ พยาบาลรุ่นพี่ ๆ ที่ทำงาน 8 แล้วเหมือนได้พัก 16 แต่เลข 16 ที่เหมือนจะได้พักนี้ก็ต้องนำไปใช้ดูแลครอบครัว ทำงานบ้านสารพัดสารเพ จาก 16 นั้น บางคนอาจจะเหลือเวลานอนพักผ่อนจริง ๆ ไม่ถึง 4 ชั่วโมง
2
การทำงานนั้นเครียดมาก
งานหมอ งานพยาบาล เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลแต่เดิมนั้นเครียดอยู่แล้วเพราะต้องอยู่กับความเป็นความตาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องพบต้องเจอกับคนที่มีทุกข์ทั้งกาย ทุกข์ทั้งใจอยู่แล้วตลอดทั้งวัน และทุก ๆ วัน
เพราะถ้าใครมีความสุขเค้าคงไม่พากันมาโรงพยาบาลหรอกเนอะ
คนที่มาโรงพยาบาลนั้น ก็มีความทุกข์กันทั้งนั้น ทั้งผู้ป่วย ทั้งญาติผู้ป่วย ล้วนแต่มีความทุกข์กาย ทุกข์ใจ เขาจึงจำเป็นต้องมา
2
ดังนั้นการทำงานที่เจอแต่ความทุกข์ตลอดทุกเมื่อเชื่อวัน เป็นการสั่งสมความเครียดไปโดยปริยาย เซลล์ในร่างกายก็แปรเปลี่ยนไป
1
หมอ พยาบาล เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลผู้ที่มีจิตใจดี จิตใจประเสริฐ
ข้าพเจ้าจึงบอกน้อง ๆ ที่รู้จักทุก ๆ ครั้งว่า มงคลชีวิตของเราเหล่าหมอ พยาบาล เจ้าหน้าที่โรงพยาบาล มงคลในตอนเย็น ตอนค่ำ ก่อนนอน หรือถ้าทำงานที่มีเวลาไม่แน่นอน เวลาก่อนกลับบ้านนั้น “มงคลอยู่ที่เท้า” ก็คือ ให้เราชำระล้างเท้าก่อนกลับบ้าน
1
การชำระล้างเท้าก่อนกลับบ้านก็หมายถึง ให้เราลืม เราล้างความทุกข์ทั้งหลายที่ได้ประสบพบเจอกับหน้าที่การงานของเราออกให้หมด มิควรนำความทุกข์กลับไปที่บ้าน ก่อนเข้าบ้านก็ล้างเท้า ล้างความทุกข์ออกไว้นอกบ้าน เราเป็นนางฟ้าที่โรงพยาบาลแล้ว ก็ให้เรากลับบ้านไปเป็นนางฟ้าด้วย
2
คนที่อยู่ในบ้านในครอบครัวจะได้รู้สึกว่า มีนางฟ้า นางสวรรค์กลับมาบ้านแล้ว
1
นางฟ้า นางสวรรค์ที่กลับบ้านก็คือ กลับไปด้วยรอยยิ้ม พูดดี พูดเพราะ พูดสุภาพ
รอยยิ้มและการพูดจาที่ไพเราะนั้น มีค่ามีความสำคัญมากกว่าวัตถุสิ่งของใด ๆ
บ้านของเราจะได้เป็นสวรรค์เป็นวิมาน เมื่อออกไปทำงานโรงพยาบาลของเราก็จะเป็นสวรรค์เป็นวิมานเหมือนกัน เพราะเราเป็นนางฟ้า นางสวรรค์ในทุก ๆ ลมหายใจ
2
หมอ พยาบาล เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลผู้ที่มีจิตใจดี จิตใจประเสริฐ
บันทึกนี้จากความตั้งใจที่จะสื่อออกมานั้นเขียนมาได้ประมาณ 1 ใน 3 แต่ถ้าอาจจะเขียนทั้งหมดในบันทึกเดียวคงจะยาวเกินไป ดังนั้นขออนุญาตจบในส่วนแรกไว้ในเบื้องต้นแค่นี้ก่อนนะ
1
ยังอยากจะเขียนถึงเรื่องอื่น ๆ อีก เช่น ไอ้เจ้าชุดโคตรมหาร้อน มหานรก คือ ชุดป้องกันเชื้อโรคที่เหมือนชุดมนุษย์อวกาศที่คุณหมอคุณพยาบาลใส่กัน
1
หมอ พยาบาล เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลผู้ที่มีจิตใจดี จิตใจประเสริฐ
การฉีดบูสเตอร์โดสเข็มที่สาม ที่กว่าจะฉีดให้ คนหน้างานก็ร่อแร่ หรือจากไปหลายราย อันนี้รู้สึกโมโหแทนจริง ๆ นะ ปกติข้าพเจ้าจะพยายามไม่ใส่อารมณ์ลงไปในงานเขียน แต่ทว่า ประสบการณ์เดิมที่เคยผ่าน ๆ มา คุณนักการเมือง กับคุณผู้บริหารทั้งหลาย ต่างชอบพากันมองแต่ว่า ชีวิตที่เสียไปเป็นเพียงตัวเลขทางสถิติ และที่เกลียดที่สุดคือชอบพูดกันว่า "นั้นเป็น Case study" ที่เราต้องนำมาศึกษา
2
ก็ใช่สิ คุณพูดได้ เป็นกรณีศึกษา ก็เพราะว่า เขาไม่ใช่พ่อแม่ ญาติพี่น้องคุณไง เอ้า ว่าจะไม่ใส่อารมณ์ แต่พูดไปพูดมา เริ่มจะอดรนทนไม่ได้ เอาเป็นว่า คุณนักการเมืองทั้งหลาย อย่ามองเห็นชีวิตคนเป็นแค่เพียงตัวเลขหรือเป็น case study อีกนะ แค้นๆๆ (ยังไม่หาย)
2
เอาเป็นว่า บันทึกนี้จบไว้แค่นี้ก่อนเนอะ
แต่ก็ขอเพิ่มอีกนิดนึง (เหมือนย้ำคิดย้ำทำ) คือ ความตั้งใจที่สื่อสารบันทึกนี้ คือ อยากให้ทุกคนเข้าใจชีวิตของผู้ให้ ผู้เสียสละ ที่ทำอาชีพคุณหมอ คุณพยาบาล และเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลทุก ๆ คนว่า เขาเสียสละมากนะ สิ่งใดที่ช่วยกันได้ก็ช่วยกัน
1
การช่วยเหลือนั้นก็มิใช่จะนำของหรือนำเงินไปให้เขาอย่างเดียว
1
สิ่งที่สำคัญ คือ ถ้าเจอคนใส่ชุดหมอชุดพยาบาลที่ไหน อย่าไปทำท่าทางรังเกียจเขานะ
(นึกขึ้นได้ สิ่งนี้ก็อยากเขียนถึง พวกพ่อค้าแม่ค้าที่ทำท่ารังเกียจหมอพยาบาล คือ พ่อค้าแม่ค้าส่วนน้อยนะ)
เพียงให้คุณเพียงยิ้มให้ผู้ที่ใส่ชุดกราวน์ ชุดหมอ ชุดพยาบาล แค่นี้ก็เป็นกำลังใจที่ยิ่งใหญ่แล้ว
2
และที่สำคัญ เราต้องพยายามไม่สร้างตนเองเป็นภาระให้คุณหมอคุณพยาบาลทั้งหลาย โดยการไม่นำตัวเองเข้าไปในสถานที่เสี่ยงต่าง ๆ ที่จะเป็นการเพิ่มภาระงานให้กับคุณหมอคุณพยาบาลอีกมาก เพราะโรคแห่งความเกิดแก่เจ็บตายทั่ว ๆ ไปก็มีมากอยู่แล้ว ยิ่งมีโรคระบาดครั้งนี้ออกมา งานของท่านทั้งหลายก็ยังต้องเพิ่มอีกมากโข
2
ถ้าเราทุกคนทุกฝ่ายร่วมด้วยช่วยกัน เราทั้งหลายก็จะสามารถข้ามพ้นวิกฤตภัยครั้งนี้ไปได้อย่างรวดเร็วและแน่นอน
1
ขอบพระคุณทุกท่านที่อ่านบันทึกยาว ๆ นี้มาจนถึงกระทั่งบรรทัดสุดท้าย
ขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่งครับ
2
ร่วมด้วยช่วยกัน ร่วมรวมพลังให้กับบุคลากรทางการสาธารณสุขของประเทศไทย
โฆษณา