25 ก.ค. 2021 เวลา 09:26 • ประวัติศาสตร์
ตำนานหรือความจริง!? เปิดเรื่องราว 5 มหานครลึกลับในตำนานที่ไม่มีรู้ว่ามีจริงหรือไม่!!?
2
หลายคนอาจเคยได้ยินตำนานอาณาจักรแอตแลนติส ดินแดนที่เคยเจริญรุ่งเรืองเมื่อราวหนึ่งหมื่นปีก่อนที่จะถูกคลื่นยักษ์ซึนามิถล่มจนดินแดนทั้งหมดของอาณาจักรแห่งนี้จมลงสู่ก้นทะเล จวบจนถึงปัจจุบัน ก็ยังมีนักสำรวจที่พยายามแกะรอยจากตำนานที่นักปราชญ์ชาวกรีกนามว่าเพลโต้ได้ให้เบาะแสเอาไว้ แต่ก็ยังไม่มีนักสำรวจคนใดที่สามารถระบุตำแหน่งที่ตั้งของอาณาจักรที่สาปสูญนี้ได้
นอกเหนือจากแอตแลนติส ดินแดนที่สาบสูญ ก็ยังมีดินแดนในตำนานทีได้อันตธานหายไปอย่างไร้ร่องรอยเช่นเดียวกัน และนี่คือเหล่าบรรดารายชื่ออาณาจักรในตำนานที่หายสาปสูญไปอย่างลึกลับ ที่ตั้งอยู่ตรงกลางระหว่าง 'เรื่องจริง' และ 'ตำนานปรัมปรา'
1. เลมูเรีย (Lemuria)
1
เชื่อว่าใครที่รู้จักเรื่องราวอาณาจักรที่สาบสูญอย่างแอตแลนติสแล้ว ก็น่าจะเคยได้ยินเรื่องราวของมหาทวีปเลมูเรีย อารยธรรมโบราณที่เคยเจริญรุ่งเรืองเมื่อราวห้าหมื่นปีก่อน โดยมหาทวีปแห่งนี้คาดว่าน่าจะตั้งอยู่ใจกลางมหาสมุทรแปซิฟิค และยังถูกยกย่องให้เป็นต้นกำเนิดแห่งอารยธรรมทั้งหมดทั้งมวลของมนุษย์เลยทีเดียว
ขณะเดียวกัน ก็ยังมีตำนานของชาวทมิฬโบราณ ที่ได้กล่าวถึงทวีปลึกลับที่ตั้งอยู่กลางมหาสมุทรอินเดีย และดินแดนแห่งนี้ถูกเรียกว่า ‘กุมารี กัณฑัม’ (Kumari Kandam) โดยจุดเริ่มต้นของเรื่องราวดังกล่าวเกิดขึ้นจากการที่นักโบราณคดีชาวตะวันตกได้พยายามค้นหาคำตอบเพื่ออธิบายถึงความคล้ายคลึงด้านธรณีวิทยาของทวีปแอฟริกา เกาะมาดากัสการ์ และออสเตรเลีย เพราะได้มีการค้นพบซากฟอสซิลของสัตว์จำพวกลิงวานรจำพวกลีเมอร์ (Lemur) ที่มีความใกล้เคียงกันในสามดินแดนที่กล่าวมาข้างต้น
2
หากดูในแผนที่โลก จะพบว่าดินแดนทั้งสามอยู่ห่างไกลกันคนละโยชน์ จึงเป็นข้อสังเกตว่าบางทีในสมัยอดีตกาลเมื่อหลายพันปีก่อน อาจมีมหาทวีปที่เชื่อมดินแดนทั้งสามเข้าด้วยกัน ซึ่งก็ไปสอดคล้องกับตำนานของชาวทมิฬ ที่ได้ชื่อว่าเป็นกลุ่มประชากรที่เก่าแกที่สุดในโลกที่ได้ระบุว่า เคยมีมหาทวีปที่ตั้งอยู่ใจกลางมหาสมุทรอินเดียเมื่อราว 50,000 ปี ดินแดนแห่งนี้คือบ้านเกิดบรรพบุรุษของชาวทมิฬที่มีความเจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุด ก่อนล่มสลายลงเมื่อ 16,000 ปีก่อนจากคลื่นยักษ์ซึนามิที่พัดทำลายดินแดนแห่งนี้จมหายลงไปในมหาสมุทรอินเดีย
3
2. เคอร์ อิส (Ker ys)
1
ชาวเบรตัน คือกลุ่มคนที่อพยพมาจากทางตะวันตกเฉียงใต้ของบริเตนใหญ่ เพื่อมาตั้งรกรากใหม่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศฝรั่งเศสในช่วงศตวรรษที่ 3-9 และภายหลังพวกเขาก็เรียกดินแดนใหม่ว่าบริตตานี (Brittany)
ชาวเบรตันเองก็มีตำนานเมืองที่สาบสูญที่ถูกเรียกว่า ‘เคอร์ อิส’ (Ker ys) เมืองท่าที่ตั้งอยู่ริมอ่าวโดอาร์เมเนซของประเทศฝรั่งเศส โดยเมืองแห่งนี้ถูกยกย่องว่าเป็นเมืองที่มั่งคั่งร่ำรวยที่สุดในมหาสมุทรแอตแลนติกจากการค้าขาย โดยชาวเมืองของเคอร์ อิสเองก็ล้วนมีชีวิตที่สุขสบาย มั่นคงและมั่งคั่ง
1
โดยตำนานเล่าว่า ดาฮูท นักมายากลหญิง บุตรสาวของแกรนลอนราชาแห่งเคิร์น มีความรักต่อท้องทะเล จึงได้ขอร้องให้พ่อสร้างเมืองริมชายทะเล และนั่นคือจุดเริ่มต้นของเมือง แต่ภายหลัง ดาฮูทก็เป็นผู้ทำลายเมืองเนื่องจากเธอเป็นคนมักมากในกามและชื่นชอบในการร่วมประเวณีแบบหมู่คณะ จนทำให้เหล่าบรรดาทวยเทพโกรธ จึงได้สังหารชายผู้เป็นที่รักของเธอทุกคนที่เดินทางเข้ามาภายในเมือง
ครั้งหนึ่งได้มีอัศวินแดงหนุ่มรูปงามเดินทางมาถึง แต่เขาไม่สามารถเดินทางผ่านประตูเมืองได้ เพราะแกรนลอนพ่อของดาฮูทเป็นผู้ถือครองกุญแจ ดาฮูทจึงขโมยกุญแจจากพ่อเพื่อเปิดประตูให้อัศวินแดงหนุ่มรูปงามได้เข้ามาในเมืองตามที่ใจตนปรารถนา ทว่าอัศวินแดงคนนั้นคือปีศาจจำแลงกายมาเพื่อหลอกล่อให้ดาฮูทเปิดประตูให้คลื่นยักษ์เข้ามาถล่มเมืองให้จมหายไปในท้องทะเล
1
หลังจากหนีรอดออกมาได้ แกรนลอนผู้เป็นพ่อตัดสินใจผลักดาฮูทลูกสาวของตนเองลงสู่ท้องทะเลจากคำแนะนำของทวยเทพ เพื่อเอาชีวิตรอด และภายหลังดาฮูทได้กลายเป็นนางเงือกที่คอยหลอกล่อให้มนุษย์และกะลาสีเรือที่เดินทางผ่านบริเวณนั้นต้องตายตกไปตามกัน
1
3. ธูเล่ (Thule)
ชาวยุโรปในยุคโบราณจวบจนถึงยุคกลางมีเชื่อว่ายังมีเกาะลึกลับที่มีชื่อว่า ‘ธูเล่’ (Thule) เหล่าบรรดานักทำแผนที่เดินเรือยุคโบราณต่างเชื่อกันว่าเกาะธูเล่ตั้งอยู่ ณ สุดขอบโลก และเกาะแห่งนี้ไม่เคยมีใครพบเห็นมาก่อน ต่อมาได้มีนักเขียนแผนที่ชาวสวีดิชนามว่า โอลัส แมคนัส ได้เขียนแผนที่เดินเรือ Carta marina ในปี ค.ศ.1532 โดยแผนที่ดังกล่าวได้แสดงพื้นที่ชายฝั่งและรายละเอียดบริเวณคาบสมุทรสแกนดิเนเวีย
และที่น่าสนใจก็คือ แผนที่ฉบับดังกล่าว ได้เขียนระบุที่ตั้งของเกาะธูเล่ในตำนาน ซึ่งเชื่อกันว่าเกาะแห่งนี้ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของหมู่เกาะโอคนีย์ของประเทศสก็อตแลนด์ และถูกล้อมลอบด้วยสัตว์ทะเลขนาดใหญ่
ซิลิอุส อิตาลิคัส นักกวีชาวโรมันที่ระบุว่าชาวธูเล่มักใช้สีน้ำเงินทาตัวเองเวลาออกรบ พวกเขานิยมล่าวาฬหัวโค้ง แมวน้ำ และสัตว์ทะเลทุกชนิดที่พวกเขาพอจะล่าได้ บ้านของพวกเขาทำมาจากกระดูกปลาวาฬ และเสื้อผ้าของพวกเขาทำมาจากหนังของแมวน้ำที่ให้ความอบอุ่นและกันน้ำ ขณะเดียวกัน ไพเธียส นักสำรวจชาวกรีก ก็เป็นอีกคนที่ได้พูดถึงในเรื่องนี้ว่า ธูเล่คือดินแดนที่พื้นดินและท้องทะเลถูกบดบัง
2
นักทำแผนที่สมัยใหม่เชื่อกันว่า ตำนานเกาะธูเล่ที่ถูกพูดถึง น่าจะตั้งอยู่ ณ ท้องทะเลที่ไหนสักแห่งระหว่างประเทศนอร์เวย์และไอซ์แลนด์
4. อิแรมแห่งพิลลาร์ (Iram of the Pillars)
1
ในคัมภีร์อัลกุรอาน ได้กล่าวถึงเมืองอิแรมแห่งพิลลาร์ ที่เจริญรุ่งเรืองกลางทะเลทรายที่แห้งแล้ง เมืองแห่งนี้เต็มไปด้วยเสาที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อแสดงถึงความมั่งคั่งและสูงส่ง ผู้คนในเมืองนี้ถูกเรียกว่าชาวแอด (Ad) ทว่าภายหลังพวกเขาหันหลังให้กับพระเจ้า
1
ทว่าพระเจ้ายังมีความเมตตา และต้องการให้ชาวเมืองสำนึกผิด ด้วยการส่งผู้เผยพระวจนะนามว่าฮัด เพื่อพบกับกษัตริย์แชดแดดแห่งเมืองอิแรม เพื่อให้กษัตริย์และชาวเมืองกลับเข้ามาสู่เส้นทางที่ถูกต้องของศาสนาอิสลาม ทว่ากษัตริย์และชาวเมืองอิแรมปฏิเสธและต่อต้านโอกาสในการกลับตัวกลับใจ พระเจ้าจึงลงโทษกษัตริย์และชาวเมืองนอกรีตเหล่านี้ด้วยพายุทรายขนาดใหญ่เป็นเวลานาน 8 วัน 7 คืน จนเมืองทั้งเมืองจมหายลงไปในทะเลทรายที่แสนกว้างใหญ่
ในปี ค.ศ.1990 ทีมนักสำรวจไค้นพบซากเมืองโบราณในประเทศโอมาน ซึ่งบางคนคิดว่าเมืองที่ถูกค้นพบนี้น่าจะเป็นเมืองอิแรมที่ถูกพูดถึงในคัมภีร์อัลกุรอาน นักสำรวจยังค้นพบถนนและบ่อน้ำ พร้อมกับหลักฐานร่องรอยที่ชี้ชัดว่าเมืองโบราณแห่งนี้น่าจะเคยมีความเจริญรุ่งเรืองด้านการค้ามาก่อน พร้อมกันนี้ยังมีการค้นพบป้อมปราการขนาดใหญ่บางส่วน จนทำให้เชื่อว่าเมืองโบราณแห่งนี้น่าจะเป็นเมืองอิแรมแห่งพิลลาร์จริง ๆ
แต่ถึงกระนั้น ก็ยังไม่มีใครตอบได้ว่าตกลงแล้ว เมืองแห่งนี้ถูกทำลายจากพระเจ้าหรือภัยธรรมชาติกันแน่?
1
5. อกาธาร์ (Agartha)
ยังมีเรื่องเล่ามากมายเกี่ยวกับตำนานเมืองใต้ดินทั่วโลก ไกอัส พลินีอัส เซกุดัส หรือ พลินีผู้อาวุโส นักเขียนและนักปรัชญาชาวโรมัน เองก็เคยกล่าวว่าชาวแอตแลนติสที่รอดชีวิตน่าจะหลบหนีภัยพิบัติไปยังแก่นกลางใต้โลก
แม้ว่าโลกใต้พิภพนี้จะมีชื่อเรียกมากมาย แต่ยังมีดินแดนใต้โลกที่ถูกพูดถึงอยู่บ่อยครั้งก็คือ อกาธาร์ (Agartha) ดินแดนใต้พื้นผิวโลกที่ถูกเชื่อมต่อด้วยเส้นทางและอุโมงค์ ในแง่ความเชื่อทางศาสนา กล่าวกันว่ามนุษย์ที่อาศัยอยู่ใต้พื้นผิวโลก (หมายถึงชาวอกาธาร์) นั้นมีศีลธรรมและคุณธรรม แตกต่างจากมนุษย์บนพื้นผิวโลกที่มีอารมณ์รุนแรง ก้าวร้าวและโหดร้าย บ้างก็ว่า ดินแดนอกาธาร์ นั้นเต็มไปด้วยสัตว์ประหลาดและปีศาจร้าย
ถึงแม้จะฟังดูเป็นตำนานเพ้อฝัน แต่ก็ยังมีกลุ่มคนที่มีความเชื่อและศรัทธาอย่างแรงกล้าว่า โลกของเรานั้นกลวง โดยคนกลุ่มนี้ถูกเรียกว่า ‘Hollow-Earthers’ ที่เชื่อว่าใต้ดินลึกลงไปเป็นที่อยู่ของอารยธรรมชั้นสูง และไม่ได้มีแกนกลางเหล็กเหมือนที่นักวิทยาศาสตร์ตั้งสมมติฐานเอาไว้ และพวกเขาเชื่อว่าทางเข้าดินแดนใต้พิภพนั้นถูกซ่อนอยู่ ณ ที่ไหนสักแห่งในทะเลทรายโกบี ของประเทศมองโกเลีย ซึ่งทางเข้าที่ว่านี่ ถูกสร้างขึ้นโดยเทคโนโลยีขั้นสูงของชาวอกาธาร์เพื่อไม่ให้มนุษย์บนโลกตรวจพบเจอได้โดยเด็ดขาด
3
โดยดินแดนใต้พื้นพิภพนั้นมีเมืองที่ถูกสร้างหลายเมือง โดยมีเมืองหลวงที่มีชื่อว่า ‘ชัมบาลา’ (Shambala) ที่มีพระอาทิตย์เป็นของตัวเอง เพื่อให้แสงสว่างและชีวิตแก่ชาวอกาเธียนทั้งมวล
ข้อมูลจาก : THEPORTALIST.COM
โฆษณา