25 ก.ค. 2021 เวลา 15:07 • หนังสือ
"อย่าให้ความอาย (หรือความเกรงใจ) ทำลายชีวิตคุณ"
แค่เห็นชื่อหนังสือก็โดนใจผมเลยครับ เพราะปกติแล้ว ผมจะมีนิสัยขี้เกรงใจ ไม่กล้าปฏิเสธคนอื่นในสิ่งที่ผมก็ไม่ได้อยากทำ ทำให้เกิดความรู้สึกว่า "ตกลงชีวิตเป็นของเราจริงๆหรือเปล่า?" ผมเชื่อว่าใครหลายๆคนก็น่าจะเป็นแบบเดียวกันครับ
โดยผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ชื่อว่า "โจวเหวยลี่" เป็นผู้เชี่ยวชาญในการให้คำปรึกษาทางด้านจิตวิทยา และเป็นวิทยากรชื่อดังให้กับองค์กรในประเทศจีนและชั้นนำระดับโลก มาดูกันว่ามีแนวคิดหรือเทคนิคอะไรบ้างที่น่าสนใจสำหรับหนังสือเล่มนี้ครับ
1. ความหมายของคำว่า "อาย" หรือ "ความเกรงใจ" ในหนังสือเล่มนี้
คำว่า "อาย" หรือ "เกรงใจ" หมายถึง ความขี้เกรงใจคนอื่นจนตัวเองเสียเปรียบ ไม่มีความเชื่อมั่นในจิตใจ กลัวเสียหน้า ไม่มีความกล้า หวั่นไหวต่อคำพูดของคนอื่น ขี้กลัว ไม่กล้าปฏิเสธ ไม่กล้าแสดงความคิดเห็นเพราะกลัวคนอื่นจะว่า ไม่กล้าพูดความรู้สึกของตัวเอง สิ่งต่างๆเหล่านี้ จะทำให้เราไม่เป็นอิสระ และเป็นคนอ่อนแอครับ
2. "ความอาย" หรือ "ความเกรงใจ" คือตัวถ่วงของความสำเร็จ
ทำความเข้าใจเกี่ยวกับ 4 ทฤษฎีที่มีผลต่อชีวิตของเราในเรื่องของ ความอาย หรือความเกรงใจ
1
- ทฤษฎีการประทับตรา: ความคิดบวกจะทำให้ชีวิตดีขึ้น ความคิดลบจะทำลายตัวเรา
ยิ่งเราคิดกับตัวเองในทางที่ไม่ดีบ่อยๆ เช่น เราโง่ ไม่เก่ง ห่วย ขี้ขลาด เป็นต้น สะสมเป็นเวลานาน จะมีแน้วโน้มที่เราก็จะเป็นคนแบบนั้น
1
วิธีการแก้คือ ให้พูดกับตัวเองในทางที่ดีบ่อยๆ ตำหนิตัวเองให้น้อยลง ชื่นชมตัวเองให้มากขึ้น กล้าวิจารณ์และกล้าเปลี่ยนแปลงตัวเอง ไม่ประเมินคุณค่าของตัวเองต่ำจนเกินไปครับ
2
- ทฤษฎีผีเสื้อกระพือปีก: ระมัดระวังอย่าให้เรื่องเล็กๆ ส่งผลกระทบต่อชีวิต
1
ในบางครั้งการที่เราทำตามความคาดหวังคนอื่นมากจนเกินไป โดยที่เราไม่เต็มใจจะทำ อาจจะดูเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ถ้าทำสะสมบ่อยๆเข้า จะทำให้เรารู้สึกอัดอั้นตันใจ สุดท้ายจะทำให้เราระเบิดอารมณ์ออกมา จนส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงได้ครับ
2
วิธีการแก้คือ อยู่กับปัจจุบัน หัดสังเกตอารมณ์ที่เกิดขึ้นของตัวเอง ถ้ารู้สึกว่าไม่อยากทำตามที่คนอื่นขอให้ช่วย ให้รีบปฏิเสธทันที ตัดไฟตั้งแต่ต้นลม ต้องมีจิตใจที่เข้มแข็งครับ
- ทฤษฏีเท้าค่อยย่างเข้าประตู: อย่าปล่อยให้ความเกรงใจ ทำให้ใครๆเอาเปรียบคุณ
1
โดยทฤษฎีมีอยู่ว่า "เมื่อเราได้ตอบตกลงให้ความช่วยเหลือผู้อื่นในเรื่องเล็กๆน้อยๆแล้ว เมื่อได้รับคำขอร้องที่มากกว่านี้ เราจะมีแนวโน้มที่จะยินยอมให้ความช่วยเหลือด้วยเช่นกัน หรือเรียกอีกแบบหนึ่งว่า ได้คืบจะเอาศอก"
วิธีการแก้คือ ให้คิดเสมอว่า "ของฟรีไม่มีในโลก" อะไรที่ปฏิเสธได้ก็ควรปฏิเสธ หลีกเลี่ยงการกลัวเสียหน้า กำหนดขอบเขตของตัวเองให้ชัดเจนว่าอะไรที่เราสามารถช่วยคนอื่นได้ และสุดท้ายคือ อย่ารับปากใครง่ายๆ ให้คิดก่อนเสมอครับ
- ทฤษฎีไวน์และน้ำเสีย: กำจัดสิ่งที่ไม่ดีออกไปเสียก่อน ก่อนที่มันจะทำลายเรา
หมายความว่า "หากคุณเทไวน์จำนวนหนึ่งช้อนโต๊ะลงไปในถังที่บรรจุน้ำเสีย ไวน์ที่คุณเทลงไปก็จะกลายเป็นน้ำเสีย และหากคุณเทน้ำเสียจำนวนหนึ่งช้อนโต๊ะลงไปในถังไวน์ มันก็จะกลายเป็นน้ำเสียเช่นกัน" ความเกรงใจ ความอาย เปรียบเสมือนน้ำเสีย ถ้าไม่รีบกำจัดออกไป จะเป็นอุปสรรคต่อการใช้ชีวิตของเราครับ
วิธีการแก้คือ ให้รู้จักตัวเองมากขึ้น ให้ผู้อื่นเป็นกระจกสะท้อนพฤติกรรม ข้อดี และข้อเสียของเรา อย่าให้คำวิพากษ์วิจารณ์ของคนอื่นมากำจัด "การรู้จักตัวเองในแบบผิดๆ" ให้เราวิเคราะห์ก่อนว่าสิ่งที่คนอื่นพูดนั้นเป็นความจริงหรือไม่
3. "ความขี้ขลาด" จะทำให้เราไม่กล้าแสดงความคิดเห็นและความรู้สึกตัวเอง
ส่งผลให้เราไม่ได้รับความสำคัญจากผู้อื่น กลัวไปหมดทุกอย่าง ทำให้เราไม่ประสบความสำเร็จ
1
วิธีเอาชนะความขี้ขลาด
- กำจัดความโดดเดี่ยวในจิตใจ: ให้เชื่อว่าตัวเองสามารถพบเพื่อนแท้ เพื่อนที่ดีในสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคยได้
- เอาชนะความน้อยเนื้อต่ำใจ เพิ่มความเชื่อมั่นในตัวเอง: อย่าประเมินตัวเองต่ำเกินไป ให้คิดว่า "ฉันสู้ใครเขาไม่ได้จริงๆเหรอ"
- หัดเข้าสังคมบ่อยๆ: ทำความรู้จักเพื่อนใหม่ ชื่นชมคนอื่น พูดคุยกับคนแปลกหน้ามากขึ้น
6
4. ฝึกฝนตัวเองให้เป็นคน "ใจกล้า เด็ดขาด เด็ดเดี่ยว ฉลาดทันคน ไม่เสียเปรียบใคร"
3
อย่าหน้าบาง ใจอ่อนเกินไป เพราะกลัวจะผิดใจกับคนอื่น ผลที่ได้รับ อาจร้ายแรงกว่าที่คิด วิธีการฝึกคือ ให้กล้าพูดในที่สาธารณะต่อหน้าคนแปลกหน้าบ่อยๆ โดยที่ไม่ต้องกลัวว่าผู้ฟังจะตะโกนด่า กล้าพูดแสดงความคิดในที่ประชุม ในวงสนทนา
นี่ก็เป็นตัวอย่างแนวคิดที่ผมได้หยิบมาจากหนังสือ หวังว่าคนที่ไม่กล้าปฏิเสธคนอื่น ไม่กล้าแสดงความคิดเห็น เกรงใจหรืออายจนเกินไป จะทำให้เรามีความกล้า มั่นใจในตัวเองมากขึ้น มีจิตใจที่เข้มแข็ง เพื่อให้เราบรรลุเป้าหมายที่ตั้งใจไว้ครับ :)
โฆษณา