26 ก.ค. 2021 เวลา 08:58 • ความคิดเห็น
ว่าด้วยเรื่อง 1.นาฬิกาชีวิต กับ 2.เรื่องสมาธิมา-ปัญญาเกิด
1️⃣นาฬิกาชีวิต
มีอาจารย์ท่านหนึ่งสอนให้ข้อคิดไว้ว่า แต่ละช่วงอายุคนให้แบ่งเป็นสี่ส่วน ให้เขียนรูปวงกลมเหมือนหน้าปัดนาฬิกาและแบ่งเป็น 4 ส่วน เริ่มวนตามเข็มจากเลข12 วนไปทางขวาถึงเลข 3 นาฬิกา เปรียบประมาณอายุตั้งแต่เกิดจนถึงอายุ 25 ปี เป็นช่วงวัยเด็กจนเป็นวัยรุ่น โตขึ้นบรรลุนิติภาวะ เป็นช่วงเวลาของการเรียนรู้วิชาการ หาความรู้ให้ได้มากที่สุด
นาฬิกาชีวิต
ช่วงที่สองถัดจากเลข 3 นาฬิกาไปจนถึงเลข 6 คืออายุ 25 ปีถึง 50 ปี เป็นช่วงเวลาพึ่งพาตัวเอง ต้องทำงานหนัก สร้างฐานะ สร้างครอบครัวเพื่อชีวิตที่ดีและมั่นคง ให้เพียงพอกับการใช้ชีวิตในช่วงที่เหลือด้วย ช่วงที่สามต่อจากเลข 6 ไปถึงเลข 9 คืออายุราว 50-75 ช่วงอายุนี้จะผ่านประสบการณ์ รู้"วิชาการงาน" รู้"วิชาชีวิต" มามากแล้วจึงควรใช้สร้างประโยชน์ให้สังคมสาธารณะ ให้แก่ผู้อื่นเท่าที่ทำได้ และสุดท้ายจากเลข 9 ไปถึง 12 นาฬิกา เป็นช่วงเวลาที่ต้องดูแลตัวเองตามกฎของธรรมชาติ
ผมชอบข้อคิดนี้ ตอนนี้ผมอยู่ในช่วงที่ 3 มีความคิดอยู่ตลอดกับการสร้างประโยชน์ เคยไปติดต่อกับเจ้าหน้าที่ กศน.แห่งหนึ่ง ว่าจะเอาความรู้และประสบการณ์ไปแนะนำสร้างแรงบันดาลใจให้กับนักเรียน กศน.   เพราะตอนเป็นเด็กเคยหยุดเรียนไปสามปีแล้วกลับมาเริ่มใหม่กับ กศน. จึงอยากมีส่วนร่วมในการสอนให้ข้อคิด  แต่การพูดคุยไม่สำเร็จไม่ได้ไปต่อถูกถามเรื่องใบประกอบวิชาชีพครู
ตอนนี้สิ่งที่ทำเพียงช่วยเหลือกันให้เพื่อนหรือคนรู้จักกันเล็กๆ น้อยๆ เป็นงานอดิเรกบ้าง บางครั้งก็ทำข้อคิดเห็นข้อแนะนำ เมื่อได้คุยกับน้องๆ ที่เคยทำงานด้วยกันมา มีประเด็นคำถามก็แนะนำให้ข้อคิด ให้คำปรึกษา หรือเป็นเรื่องที่อยากบอกเล่าสู่กับคนอื่นด้วย ก็ครีเอทบันทึกเป็นเอกสารขึ้นมา และสื่อสารออกไปอาจเป็นประโยชน์บ้างหรือไม่เป็นบ้าง
บันทึกต่อไปนี้เป็นอีกเรื่องที่อยากแนะนำ ยามที่ทำงานแล้วคิดอะไรไม่ออกจะทำอย่างไร
2️⃣สมาธิมา-ปัญญาเกิด
มีโจทย์งาน "ยาก" คิดไม่ออกบอกไม่ถูกว่าจะทำอย่างไร?
หาที่ปรึกษา หาคนช่วยคิดก็ทางหนึ่ง แต่บางงานบางเรื่องต้องคิดเองทำเอง ก็ต้องคิดให้ออกจึงจะทำต่อไปได้ วิธีการที่จะทำให้คิดได้ คิดออก ต้องใช้เคล็ดไม่ลับคือ
ต้องมีสมาธิ เมื่อสมาธิมาปัญญาก็เกิด คือจะคิดออกเอง เป็นเรื่องจริงไม่ใช่แค่พูดเล่นๆ
สมาธิ-ทำอย่างไรจึงจะมีสมาธิ แต่ละคนไม่เหมือนกัน บุคคลสำคัญที่มีชื่อเสียง เช่น ในพุทธประวัติกล่าวถึงพระพุทธเจ้าเมื่อนั่งสมาธิอยู่ที่ใต้ต้นโพธิ์ริมแม่น้ำ ยามค่ำคืนดึกสงัด มีน้ำไหลเคลื่อนไหวอยู่ตรงหน้าและก็ตรัสรู้ได้ในคืนนั้น, Steve jobs เขาบอกว่าสมองเขาแล่นคิดอะไรได้มากตอนที่เขาเดินคุยไปกับเพื่อน, นักวิทยาศาสตร์ ดร.อาจอง ชุมสายท่านชอบ นั่งทำสมาธิ, ดร.เก็ตส์  นักวิทยาศาสตร์ นักประดิษฐ์ที่มีชื่อเสียง ที่ทำงานเขามีห้องไว้นั่งทำสมาธิ  เขาจะเข้าไปทำสมาธิในห้องเมื่อเขาเจอโจทย์ยากๆ ต้องการหาคำตอบ,
อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ชอบเดินเท้าจากที่พักไปสอนหนังสือในมหาวิทยาลัย มันเป็นช่วงเวลาที่เขามีสมาธิจินตนาการหรือคิดอะไรได้มาก ฯลฯ
สำหรับคุณ(ผู้อ่าน) ลองทบทวนตัวเองบ้างสิครับ  เคยสังเกตตัวเองไหม ที่เป็นช่วงเวลาไดที่สมองปลอดโปร่งรู้สึกมีความสุขสมองโล่งว่างเปล่า มันต้องเคยมีเกิดขึ้นบ้าง อันนั้นแหละคือเริ่มมีสมาธิ เคยเกิดขึ้นเวลาไหนที่ไหนสักแห่ง มุมไหนส่วนไหนของบ้าน ลองทบทวนดู และในขณะที่สมองปลอดโปร่งนั้น ให้เริ่มคิดใคร่ครวญโจทย์ที่ยังคิดไม่ออก มีสมาธิพิจารณาอยู่ในเรื่องเดียวใคร่ครวญอย่างต่อเนื่อง แล้วคำตอบมันจะแว๊บเข้ามาเอง  "อ๋อรู้ละ งานนี้จะต้องทำ...แนวทางแบบนี้"  แสดงว่าคิดออกแล้ว อันนี้เราต้องมีความรู้ รอบรู้ สะสมความรู้ฝังอยู่ในความจำของเรามาก่อนด้วย เมื่อมีสมาธิจะช่วยให้มองเห็นคำตอบได้ง่ายขึ้น ดังนั้นเมื่อโจทย์งานมีคำตอบคิดออกก็สามารถจัดการ"งาน"นั้นต่อไปได้
ตามตัวอย่างของคนที่มีชื่อเสียงข้างต้น  เรื่องเล่าประวัติของเขาทำให้เราได้เรียนรู้วิธีการว่าต้องเริ่มจากมีสมาธิก่อน ในอริยาบทที่แตกต่างกันของแต่ละคน
สำหรับผมเคยมีเหตุการณ์ที่คิดไม่ออกในเวลาต่อมาก็คิดได้ จะเล่าให้ฟังสัก 2 เหตุการณ์
ผมเขียน code ชุดโปรแกรมคอมพิวเตอร์ foxpro เวลาคิดไม่ออกก็เปิดหนังสือ หรือไม่ก็บึ่งมอเตอร์ไซค์ไปเข้าร้านหนังสืออ่านข้อหรือบทที่ต้องการอยากรู้แล้วจดหรือจำเอามา(ไม่ซื้อ)   แต่บางทีต้องคิดเอง มีโจทย์หนึ่งผมเขียนต่อไปไม่ได้คือผมต้องการเขียนให้คอมพิวเตอร์แปลความตัวเลขให้เป็นตัวอักษรภาษาไทย ใช้เวลานานมากที่หน้าจอคอมฯ จนเลิกงาน ตอนเย็นไปเดินเล่นออกกำลังกาย สักพักก็คิดถึงเรื่องที่ค้างอยู่  ก็คิดได้ในตอนนั้นว่าน่าจะลองใช้วิธี... พอวันรุ่งขึ้นก็เขียนสคริปต่อและก็สำเร็จได้ (ตอนนั้นไม่มีเนทไม่มีกูเกิ้ล)
อีกครั้งเป็นเรื่องของการบริหาร เมื่อมีตำแหน่งหน้าที่ต้องพิจารณาแต่งตั้งบุคคลในตำแหน่งที่สำคัญ ต้องพิจารณาคัดเลือกคนที่เหมาะสม มีผู้ใหญ่แนะนำมาว่าให้ผมไปปรึกษาถามคนนู้นคนนี้ แน่นอนเขาก็เสนอคนที่เหมาะสมในมุมของเขา แต่นิยามว่าอะไรคือดีคือเหมาะสมแต่ละคนก็คิดเอาเองที่ตนชอบ  หากเราต้องพึ่งพาเขาอยู่แบบนี้ก็หมายความว่าเราต้องเชื่อเขาไปตลอด คนที่เขาว่าดีเหมาะสมมันใช่ของจริงหรือ ผมต้องหาทางวิธีการพิจารณาที่ดีที่สุดให้ได้ นี่คือโจทย์ปัญหาที่ค้างอยู่ในหัว  หลังเลิกงานระหว่างทางเดินทางกลับผ่านสวนสาธารณะได้หยุดพักผ่อนเดินออกกำลังกาย เดินวนไปประมาณ 1 รอบสนามฟุตบอล เหงื่อซึมๆ รู้สึกเพลิน สมองโล่ง และเมื่อหวนคิดถึงโจทย์ที่ยังไม่มีคำตอบนั้น มันก็แว๊บคำตอบขึ้นมามีสมาธิพิจารณาได้ต่อเนื่องยาวๆ และก็นึกออกว่าเราต้องทำการ"ประเมินศักยภาพ" ประเมิน talent และจะต้องทำอย่างไร*… ผมก็ได้คำตอบที่ไปต่อได้ดีมากๆ
(ฝากกดติดตามด้วยครับ ขอบคุณครับ)
เมื่อสมาธิมาปัญญาก็เกิด ไม่ใช่ใช้เพียงการแก้ปัญหาหรือโจทย์งานที่คั่งค้างคิดไม่ออก ยังสามารถใช้คิดเพื่อการพัฒนางาน เพื่อการคิดริเริ่มสร้างสรรค์ สร้างนวัตกรรมพัฒนางานต่างๆ ก็ได้.
อย่างไรก็ตามอยากให้สะสมความรู้ให้เยอะๆ ไปไหนก็เอาหนังสือติดมือไปสักเล่ม อ่านซ้ำๆ ก็จะเข้าใจมากขึ้น เมื่อถึงเวลาก็เอาออกมาใช้ได้
เรื่องสมาธิมา-ปัญญาเกิด ขอให้ทบทวนหาสถานที่ช่วงเวลาที่ทำให้คุณมีสมาธิ หาให้เจอนะครับ แล้วใช้ประโยชน์มันในยามที่ต้องการ
🙏ขอให้ประสบความสำเร็จ คิดออกทุกๆ เรื่องนะครับ โชคดีมีชัยครับ.(จบ)
ดนัย แดงฉ่ำ
แถมท้าย
*อ่านเพิ่มเติมจากเรื่องการประเมินฯ
โฆษณา