Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
ชอบเรื่องผี
•
ติดตาม
27 ก.ค. 2021 เวลา 11:38 • ประวัติศาสตร์
อิตาลีขึ้นชื่อว่าเป็นดินแดนแห่งความรุ่งเรืองทางศิลปะ และวัฒนธรรมมาอย่างต่อเนื่องยาวนานนับพันปี หากทว่าท่ามกลางหน้าประวัติศาสตร์อันน่าภูมิใจเหล่านั้น กลับมีความลับอันมืดมิดซุกซ่อนอยู่เบื้องหลัง
1
โพเวกเลีย เกาะสุสานโรคระบาด
ห่างจากเมืองเวนิสแค่ระยะขับเรือ 40 นาที มีเกาะเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยโศกนาฏกรรมอันแสนหดหู่มานานนับศตวรรษจนเป็นที่โจษขานกันว่าเกาะผีสิง เกาะแห่งนี้มีชื่อว่า โพเวกเลีย (Poveglia) เกาะที่ผู้คนพากันหลีกหนีไม่แม้แต่จะเฉียดกรายเข้าไปในอาณาเขตของเกาะ เพราะกลัวว่าจะได้เห็นสิ่งที่น่าสะพรึงกลัว
แผนที่เกาะ
ประวัติศาสตร์อันยาวนาน
ประวัติศาสตร์ของเกาะโพเวกเลียนั้น เริ่มต้นราวศตวรรษที่ 5 ด้วยการเป็นสถานที่ปลอดภัยและสงบสุข จักรวรรดิโรมันในยุคนั้นกำลังเผชิญภัยสงครามอันโหดร้าย จากการรุกรานของชาวฮั่น และสงครามกับพวกก็อธ ทำให้ชาวบ้าน ชาวเมืองที่ไม่อยากตกอยู่ท่ามกลางภาวะสงครามเช่นนี้ ตัดสินใจรวบรวมทรัพย์สินทั้งหมดแล้วมุ่งหน้าออกทะเลไป เวลานั้นเกาะน้อยใหญ่ในอ่าวเวเนเชี่ยน (Venetian Lagoon) ล้วนถูกจับจองกลายเป็นที่พำนักของผู้ลี้ภัยสงครามทั้งสิ้น รวมทั้งเกาะโพเวกเลียด้วย แม้จะไม่ได้รับสวัสดิการ และการดูแลอะไรจากชนชั้นปกครอง แต่ชาวเกาะโพเวกเลียก็อาศัยอยู่ในเกาะอย่างมีความสุขเรื่อยมา
มีเรื่องเล่าต่อๆ กันมาว่า ประชากรชาวเกาะโพเวกเลียเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดอีกครั้งในปีค.ศ. 864 เมื่อดอจด์แห่งเมืองเวนิส หรือผู้ปกครองเมืองเวนิสถูกฆาตกรรม ทำให้ทาสราว 200 ชีวิตหลบหนีออกสู่ทะเลมาแสวงหาอิสระภาพยังเกาะโพเวกเลียแห่งนี้
ชาวบ้านพากันออกทะเล
ช่วงเวลาแห่งความสงบสุขของชาวเกาะโพเวกเลียนั้นมีต่อเนื่องมายาวนานถึงเกือบ 1000 ปี จนในปี ค.ศ. 1379 สงครามการค้าระหว่างเจนัวและเวนิสได้ระเบิดขึ้น การรบทั้งในสนามการค้าและน่านน้ำได้เปิดฉากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผู้ปกครองนครเวนิสในเวลานั้นจึงสั่งอพยพชาวเกาะโพเวกเลียมายังเกาะจูเด็กกา เกาะขนาดใหญ่ที่อยู่ติดกับเวนิส และเปลี่ยนเกาะโพเวกเลียให้กลายเป็นสมรภูมิรบด่านหน้าในการต่อกรกับกองทัพเรือจากเจนัวทันที แม้การรบจะกินระยะเวลาเพียงแค่ปีกว่าๆ และจบลงด้วยชัยชนะของชาวเวนิสก็ตาม แต่เกาะโพเวกเลียก็ไม่ได้กลับไปอยู่ในสภาพเดิมอีกต่อไป เนื่องด้วยทางชนชั้นปกครองได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของโพเวกเลียในฐานะจุดยุทธศาสตร์สำคัญในการปกป้องน่านน้ำ จึงตั้งแปรสภาพเกาะให้กลายเป็นฐานทัพขนาดย่อมเพื่อตรวจตรา และสอดส่องเรือทุกลำที่ล่วงเข้านานน้ำนี้ต่อไปอีกกว่า 2 ทศวรรษ
เปิดฉากรบกันระหว่างเจนัวกับเวนิส
ในขณะเดียวกันมฤตยูร้ายอย่างกาฬโรคก็ค่อยๆ คืบคลานเข้าสู่อิตาลีอย่างเงียบเชียบ โดยเริ่มที่หมู่เกาะซิซิลีทางฝั่งตะวันตกของอิตาลีในปี ค.ศ. 1347 ในไม่ช้ามฤตยูดำก็ได้คืบคลานเข้าสู่เวนิส ประมาณการณ์กันว่าในช่วงแรกๆ กาฬโรคได้คร่าชีวิตชาวเวนิสไปถึงครึ่งต่อครึ่ง จนกระทั่งหมอและชนชั้นปกครองในเวลานั้นเริ่มสังเกตเห็นแนวทางการแพร่กระจายของโรค จึงเริ่มทำการแยกโซนคนป่วยและคนตายออกจากคนปกติ แรกๆ ก็แค่ให้เอาไปไว้นอกเมือง แต่จำนวนศพจากโรคระบาดกลับเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนต้องย้ายศพไปฝังไว้บนเกาะใกล้ๆ แทน
กาฬโรคคืบคลาน คนตายจำนวนมาก
ในช่วงต้นของปี 1400 โรคร้ายก็ยังครอบงำเมืองเวนิสอย่างต่อเนื่อง จนมีไอเดียการทำสถานกักกันขึ้นเป็นครั้งแรก โดยเกาะแรกที่ถูกเลือกขึ้นมาชื่อว่า ลาซเซอเรตโต้ วัคคิโอ (Lazzaretto Vecchio) โดยคราวนี้ไม่เพียงแต่จะใช้ฝังศพผู้ตายเท่านั้น แต่ยังใช้กักกันผู้ป่วยด้วย ซึ่งดูเหมือนว่าจะได้ผลค่อนข้างดี จำนวนผู้ป่วยลดลงอย่างต่อเนื่อง
คนตายเต็มท้องถนน
ขนศพไปทิ้งเกาะอื่น
แต่ในปี ค.ศ. 1570 มฤตยูดำได้กลับมาอีกครั้งรุนแรงกว่าเดิม ทำให้ต้องใช้เกาะเล็กเกาะน้อยทั้งหมดในการเป็นสถานที่กักกันผู้ป่วย รวมทั้งเกาะโพเวกเลีย ว่ากันว่าทุกเช้าจะมีเรือมาส่งผู้ป่วย และผู้ต้องสงสัยว่าป่วยยังเกาะนี้ทุกวันๆ ผู้ป่วยไม่ว่าจะอาการเบาหรือหนัก หรือแม้แค่แสดงอาการเพียงนิดเดียว ไม่ว่าจะเด็กหรือแก่ จะถูกพรากจากครอบครัวไปทิ้งไว้ยังเกาะทันที มีหลักเกณฑ์ไว้ว่าผู้ป่วยจะอยู่ในศูนย์กักกันโรค 40 วัน หากหายขาดจึงจะสามารถกลับไปเจอครอบครัวที่บ้านได้อีกครั้ง (ทำให้เกิดศัพท์คำว่าการกักกัน หรือ quarantine นั้นมีที่มาจากภาษาอิตาลี quaranta ที่แปลว่า 40 นั่นเอง)
ในช่วงแรกๆ ก็ยังพอจะมีสถานที่รักษามีเตียงให้นอน ยังพอจะมีคนหายป่วยกลับบ้างแม้จะน้อยมากๆ แต่เมื่อสถานการณ์แย่ลง จำนวนคนป่วยที่ถูกส่งมายังเกาะมีแต่จำนวนที่เพิ่มขึ้น แม้แต่เตียงก็ไม่พอจะรักษา ผู้ป่วย 3-4 คนต้องนอนแออัดกันอยู่ในเตียงเดียว หนักเข้าก็ไม่แม้แต่จะมีเตียงให้นอน อาหารและน้ำก็ไม่เพียงพอ คนแข็งแรงเพียงกลุ่มเดียวในเกาะนี้ ก็คือ สัปเหร่อ ที่ต้องทำงานกันอย่างต่อเนื่องทั้งวันทั้งคืน
สัปเหร่อเป็นอาชีพที่ทำงานหนักมากในตอนนั้น
การฝังศพในช่วงโรคระบาดแบบนี้ก็ไม่ใช่การขุดฝังทีละศพแบบที่เห็นกันตามสุสาน แต่เป็นการขุดหลุมใหญ่ๆ ลึกๆ แล้วโยนศพลงไปเรื่อยๆ ศพแล้ว ศพเล่าจนกว่าจะเต็มแล้วค่อยเอาดินเกลี่ยปิดปากหลุม หลายครั้งที่ไม่เพียงแต่ฝังศพ แต่ยังฝังคนเป็นๆ ที่ป่วยมากจนขยับเขยื้อนหรือส่งเสียงพูดไม่ไหว ทำให้มีคนที่ถูกฝังทั้งเป็นจำนวนไม่น้อย ในช่วงที่เลวร้ายที่สุดของการระบาด ได้มีคำสั่งจากส่วนกลางให้ทำการเผาศพทั้งหมดแทนการขุดหลุมฝังอย่างเคย เพราะนอกจากจะพื้นที่ในการฝังนั้นเต็มไปทุกหย่อมหญ้าแล้ว ยังมีการกลัวว่าเชื้อโรคในศพจะแพร่กระจายมาสู่คนอีกด้วย ดังนั้น ถัดจากการถูกฝังทั้งเป็นไปพร้อมกับคนตาย ก็จะมีการถูกเผาทั้งเป็นอีกด้วย เสียงร้องโหยหวนของเหล่าดวงวิญญาณที่ถูกฆ่าทั้งที่ยังไม่ตายดังต่อเนื่องเป็นระยะเวลายาวนาน
แม้ในช่วงท้ายที่การระบาดของโรคใกล้จะสิ้นสุดแล้ว แต่ที่เกาะโพเวกเลียนั้นก็ยังคงทำหน้าที่เป็นสถานกักกันโรคตามเดิมต่ออีกหลายสิบปี เรือทุกลำที่จะเข้าสู่น่านน้ำของเวนิสจะต้องผ่านการตรวจจนแน่ใจแล้วว่า ไม่มีกาฬโรคติดมากับลูกเรือ หรือผู้โดยสารคนใด หากเจอเมื่อไหร่ ก็จะถูกส่งไปยังสถานกักกันโรคที่โพเวกเลียทันที จนกระทั่งราวปี 1814 ศูนย์กักกันบนเกาะโพเวกเลียจึงได้ปิดตัวลง ประเมินกันว่าจำนวนศพของผู้เสียชีวิตจากกาฬโรคในโพเวกเลียนั้น มีสูงถึง 160,000 ศพ ในพื้นที่เกาะเล็กๆ ที่มีพื้นที่เพียงแค่ 0.7 ตารางกิโลเมตร หรือ 45ไร่เท่านั้น!!
เกาะเล็กๆ ที่เก็บศพถึง 160,000 ศพ
การปิดตัวของศูนย์กักกันมาพร้อมกับโศกนาฏกรรมชนิดใหม่ เมื่อนโปเลียนเข้ายึดเวนิสได้ และตัดสินใจเลือกเกาะโพเวกเลียเป็นที่กองสรรพพาวุธเก็บอาวุธยุทโธปกรณ์ในการรบต่างๆ แต่ก็ไม่รู้ว่ามีข่าวรั่วออกไปทางไหน ทำให้เกิดการโจมตีเพื่อแย่งชิงอาวุธกันบนเกาะโพเวกเลีย เกาะเล็กๆ แห่งนี้ก็ถูกย้อมด้วยเลือด และศพของทหารทั้งสองฝ่ายอีกครา ก่อนที่นโปเลียนจะปราชัย ทิ้งไว้เพียงซากศพมากมายบนเกาะน้อยแห่งนี้
ทิ้งเพียงซากศพและตึกร้าง
ช่วงปี 1922 รัฐบาลอิตาลีได้ตัดสินใจเปิดเกาะโพเวกเลียอีกครั้ง ครั้งนี้ได้บูรณะอาคารเสียใหม่ ให้กลายเป็นโรงพยาบาลเฉพาะทางรักษาผู้ป่วยจิตเวช ซึ่งการรักษาทางจิตเวชในสมัยนั้นก็คล้ายๆ กับการทรมาณดีๆ นี่เอง หมอจะมุ่งเน้นไปที่การรักษาสมองของคนไข้ ทั้งผ่าตัดเปิดกะโหลก หรือการแทงเข็มเข้าไปยังสมองส่วนหน้าเพื่อสร้างความเสียหายบางส่วน ที่เรียกว่าวิธี โลโบโทมี (ได้รับรางวัลโนเบลซะด้วย) ซึ่งหมอจำนวนมากก็นิยมวิธีการนี้ จึงมีคนไข้หลายต่อหลายรายที่ถูกรักษาด้วยวิธีพิศดารเหล่านี้ยิ่งคนไข้ที่ป่วยทางจิตในสมัยก่อนจะเป็นที่อับอายถูกซุกซ่อนไว้ในมุมมืด แม้จะตายไปครอบครัวก็ไม่ค่อยเรียกร้องอะไร ทำให้มีคนไข้ถูกนำไปผ่าตัดด้วยวิธีพิสดารและตายลงอย่างต่อเนื่อง ซ้ำยังมีเรื่องเล่าของหมอที่โรคจิตที่ชอบนำเอาคนไข้เป็นหนูทดลองวิธีการผ่าตัดรักษาแบบใหม่ๆ โดยจะแอบพาคนไข้ไปผ่าตัดเงียบๆ อยู่บนหอระฆังยามค่ำคืน ว่ากันว่าเสียงกรีดร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดของคนไข้นั้นดังไปทั่วเกาะเลยทีเดียว
การรักษาด้วยวิธีโลโบโทมี
ทว่าโรงพยาบาลจิตเวชบนเกาะโพเวกเลียนั้น ไม่ได้น่ากลัวแค่วิธีการรักษาคนไข้สุดสยองแต่เพียงอย่างเดียว อย่าลืมว่า ณ เกาะแห่งนี้เต็มไปด้วยเหล่าดวงวิญญาณที่ตายอย่างทรมาณจากโรคร้ายจำนวนนับไม่ถ้วน ดังนั้นแม้ว่าจะมีปรากฏการณ์หลอนแค่ไหน คนไข้ทางจิตเวชนั้นก็มักจะถูกมองไปว่าประสาทหลอนไปเอง หรือคิดไปเองอยู่เสมอ แต่ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างสม่ำเสมอและหาสาเหตุไม่ได้อย่างการลุกขึ้นมากรีดร้องกลางดึกของเหล่าคนไข้นั้นก็สร้างความสยองขวัญต่อเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลจำนวนไม่น้อย ยิ่งพอเมื่อเกิดเหตุคุณหมอฆ่าตัวตายด้วยการกระโดดหอระฆังตอนกลางดึกก็เพิ่มความหลอนเข้าไปอีก ยิ่งพอได้ยินนางพยาบาลผู้เห็นเหตุการณ์ให้การว่า คุณหมอนั้น ได้พยายามต่อต้านหมอกปีศาจสีดำที่ผลักไสเค้าไปสู่ความตายอย่างสุดความสามารถแล้ว เหล่าหมอ พยาบาลและเจ้าหน้าที่หลายรายต่างพาอกสั่นขวัญแขวนกันไปใหญ่ ไม่รู้ว่าหมอกปีศาจนี้เกิดจากวิญญาณร้ายของคนไข้ที่ถูกทรมานหรือเปล่า ทำให้หลายต่อหลายคนชิงลาออกเสียก่อน จนท้ายที่สุดโรงพยาบาลโรคจิตบนเกาะโพเวกเลียแห่งนี้ ต้องปิดตัวลงในปี 1968
ต่อมาอีกหลายปี เกาะโพเวกเลียก็ถูกมหาเศรษฐีผู้หนึ่งซื้อไปตั้งใจจะปรับปรุงให้เป็นบ้านพักตากอากาศบนเกาะส่วนตัว
เป็นเกาะส่วนตัวไปเสียแล้ว
ในวันหยุดพักผ่อนวันหนึ่งพวกเค้าก็ยกครอบครัวกันไปพักผ่อนบนเกาะแห่งนี้ ยามค่ำก็ออกไปสำรวจผจญภัยหาสิ่งตื่นเต้นกัน ไม่มีใครรู้ว่าพวกเค้าพบกับเรื่องสยองขวัญแบบไหน หรือเจอเรื่องราวอะไร ที่แน่ๆ ครอบครัวมหาเศรษฐีกลุ่มนั้น หนีออกจากเกาะกลางดึกตั้งแต่คืนแรก โดยมีบาดแผลแหวะหวะลึกจนเห็นกระดูกบนใบหน้าของลูกสาวที่ต้องการการรักษาโดยทันที และครอบครัวนั้นก็ไม่เคยกลับไปยังเกาะโพเวกเลียอีกเลย ไม่แม้แต่จะเล่าให้คนอื่นฟังว่าเกิดเหตุการณ์ใดขึ้นกันแน่
หนีออกไปจนกลายเป็นเกาะร้าง
เกาะโพเวกเลียก็เลยกลายแป็นเกาะร้างอย่างสมบูรณ์ ผู้คนต่างเล่าลือกันว่าผืนดินครึ่งหนึ่งของเกาะเกิดมากจากกองขี้เถ้าของซากศพ ไม่ว่าจะเดินไปตรงไหนก็จะพบโครงกระดูกมากมายผสมปนเปอยู่ในดินทั่วเกาะ แม้แต่หากทรายก็มักจะมีโครงกระดูกเรียงรายกระจัดกระจายอยู่เสมอ ชาวประมงที่หาปลาบริเวณนั้นก็มักจะต้องคอยสวดมนต์ทุกครั้ง ที่แหลากเอาโครงกระดูกติดมาด้วย หลายต่อเสียงพูดกันเป็นเสียงเดียวกันว่า ทุกวันนี้ ก็ยังสามารถได้ยินเสียงกรีดร้องของเหล่าดวงวิญญาณที่พำนักอยู่บนเกาะได้ทุกค่ำคืน ทั้งเสียงร้องไห้ของเด็กน้อยมาเรีย ที่ดังอยู่บนชายหาดกว่า 400 ปี เสียงร้องที่ดังโหยหวนยิ่งกว่าใครมักจะดังออกมาพร้อมกับเสียงระฆังจากบนหอระฆัง (ที่ไม่มีระฆังแล้ว) กลางดึกราวกับว่าพวกเขายังคงมีชีวิตอยู่บนเกาะร้างแห่งนั้น มีเรื่องเล่าถึง เปโดรชายที่ถูกตัดขา พยายามไถวีลแชร์ของเค้าไปในโรงพยาบาลในยามค่ำคืน ผู้คนที่แอบขึ้นไปผจญภัยบนเกาะมักจะได้เสียงเลื่อนไถของล้อรถเข็นบนอาคารร้างอยู่เสมอ หรือดวงวิญญาณของสาวน้อยผู้หวาดกลัวหมอโรคจิตที่มักจะปรากฏให้เห็นอยู่เป็นประจำ
เหลือเพียงความเงียบเหงาและชื่อเสียงด้านผีสิง
ชื่อเสียงความเป็นเกาะผีสิงของโพเวกเลียขจรขจายไปไกล รายการโทรทัศน์หลายประเทศหลายรายการเข้าไปถ่ายทำ จนดึงดูดผู้ที่ชื่นชอบเรื่องผีมาจากทุกมุมโลก เป็นเหตุให้เกิดอุบัติเหตุหลายครั้งในเกาะแห่งนี้ จนเจ้าหน้าที่ต้องเข้าช่วยเหลือ ทำให้รัฐบาลต้องประกาศในเกาะแห่งนี้ เป็นเขตหวงห้าม ห้ามเข้าไปโดยไม่ได้รับอนุญาติโดยเด็ดขาด!!
ห้ามเข้าโดยเด็ดขาด!!!
Credit:
Link เนื้อหา
https://www.historicmysteries.com/poveglia-island-venice-italy/
https://historyofyesterday.com/the-chilling-history-of-the-haunted-venetian-island-of-poveglia-fb329f78d4c7
https://italicsmag.com/2020/03/28/italian-ghost-stories-poveglia-island/
https://thelittlehouseofhorrors.com/poveglia-island/
https://www.ranker.com/list/creepy-facts-about-poveglia-the-italian-black-plague-island/cheryl-adams-richkoff
https://www.blockdit.com/posts/5dc50d9f99f05869fb380af7
https://historyofyesterday.com/the-most-cursed-island-on-the-planet-poveglia-935f5758b9c
Link ภาพ
https://www.pinterest.com/pin/535928424383201829/
https://www.pinterest.de/pin/437060338819625095/
Roman villa in Gaul sacked by the hordes of Attila the Hun, by Georges Rochegrosse, 1910 / Wikimedia Commons
https://www.urbexstalker.com/2017/12/
http://medditerrahistory.blogspot.com/2015/09/war-of-chioggia-13781381.html
https://allthatsinteresting.com/how-did-the-black-plague-end
https://www.pinterest.com/pin/446208275576181660/
https://www.flickr.com/photos/truebritishmetal/15684721322/in/photolist-pBuGiU-oX7WeM-7HsEU2-pRM7YN-pTG6iM-pBtApw-pRLuxb-pRM2z1-pBvwmg-oX7RaP-pBwEPQ-pU1VkU-7NP2C2-pBrChp-pU1eRd-pTSi9e-7Us8gr-pTRpkz-pBrMLe-pTZQ6h-pBui59-oX8buF-pBtjdy-pU1icG
https://www.tripzilla.com/haunted-poveglia-island/6882
1 บันทึก
1
6
1
1
6
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย