27 ก.ค. 2021 เวลา 14:19 • หนังสือ
#รีวิวหนังสือ 𝗥𝗲𝗮𝘀𝗼𝗻𝘀 𝘁𝗼 𝗦𝘁𝗮𝘆 𝗔𝗹𝗶𝘃𝗲 แด่ผู้แหลกสลาย
ผมว่าหลายคนเคยได้ยินคำว่า "โรคซึมเศร้า" มาบ้าง แต่บอกเลยว่า 'การรู้จักโรค' นี้ กับ 'ความรู้สึกจริงๆ' ของโรคนี้นั้นต่างกันจนคุณแทบจะจินตนาการไม่ออกเลย
จึงไม่ผิดที่คนรอบๆตัวจะไม่เข้าใจว่าตัวโรคจริงๆนั้นเป็นอย่างไร ถ้าสามารถลองสลับหัวกันได้สักสองวิก็อาจจะหยุดคำวิจารณ์และคำตัดสินที่ตื้นเขินได้เลย
"มันยากขนาดนั้นเลยหรอ แค่เดินออกไปซื้อของไกลจากบ้าน 20 เมตร"
"เรื่องแค่นี้จะคิดมากทำไม คนอื่นก็ผิดหวังได้ทั้งนั้นแหละ"
.
"อย่าจมกับปัญหาสิ ! แก้ปัญหา แค่ทำนู่น นี่ นั่น.."
.
"ทำไมเอื่อยเฉื่อย ไม่กระตือรือร้น ทำตัวให้แอคทีฟสิ เราเป็นคนควบคุมมันนะ ไม่ใช่มันควบคุมเรา"
.
"ก็แค่เจอเพื่อนใหม่ แลกเปลี่ยนกันสนุกๆ ยากตรงไหน"
.
"โอ๊ยกับเรื่องขี้ปะติ๋ว จะร้องไห้ทำไม อะไรจะเซ้นซิทีฟขนาดนั้น"
.
"เมื่อไหร่จะเริ่มทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันสักที"
"เอาน่า เดี๋ยวมันก็ดีขึ้นเอง อย่าไปคิดมาก"
เสียงคำปลอบโยน คำตัดสิน คำแนะนำ มุมมองเชิงเสียดสีบางทีอาจได้ยินจากคนรู้จักทั่วไป แต่ที่ทำร้ายมากกว่านั้นคือคนใกล้ชิดที่เรารักและไว้ใจ ที่เผยให้เห็นว่า "เค้าไม่เข้าใจสิ่งที่เราเป็นแม้แต่น้อย"
การพยายามเอามุมมองของคนปกติไปตัดสินคนเป็นโรคซึมเศร้านั้น ไม่ต่างกับการบอกให้ผู้ป่วยติดเตียงลุกขึ้นมาเต้น และบอกว่าแค่สปริงขา โยกเอวไปมา ง่ายนิดเดียว !
คนทั่วไปอาจถูกภาพลวงตา คือร่างกายภายนอกที่แสนปกติ ชักจูงให้ตัดสินอย่างรวดเร็วโดยมองข้ามความป่วยไข้ที่อยู่ภายใน
หารู้ไม่ว่า คำพูดเหล่านั้นเปรียบดั่งการโยนลูกเหล็กหนักๆให้เค้าได้แบกมันและจมลงไปในหลุมที่ลึกกว่าเดิม
ไม่ผิดหรอกที่เราจะ "เข้าไม่ถึง" อารมณ์ที่เค้าเป็น แต่จะดีกว่าไหมถ้าเรา "เข้าใจ" อารมณ์นั้นมากขึ้นพร้อมรู้วิธีดูแลให้เค้าผ่านช่วงเวลาที่มืดดำนี้ไปได้
ผมว่าหนังสือเล่มนี้เข้ามาแก้ปัญหาตรงนี้ได้อย่างตรงจุดมากๆ ผมจะไม่ขอพูดว่าเล่มนี้ปลอบใจคนเศร้าได้อย่างไร (ประเด็นนี้ 𝗠𝗮𝘁𝘁 𝗛𝗮𝗶𝗴 ทำได้ไร้ที่ติ) แต่ประโยชน์ที่เด่นชัดมากกก !! ของเล่มนี้คือทำให้คนที่ไม่เข้าใจโรคนี้ ได้สัมผัสถึงความ(โคตร)ยากลำบากของการข้ามผ่านห้วงอารมณ์ที่มืดดำ ทำให้เห็นอกเห็นใจกันมากขึ้น รู้วิธีการดูแลกันและกันโดยไม่ทำร้ายกัน (ผ่านการตัดสิน)
ทุกคำที่พรรณนาอารมณ์นั้นดิ่งลึก ชี้ให้เห็นถึงความสับสน ความไร้พลัง การขาดแรงจูงใจ ความสิ้นหวัง ว่างเปล่าและความทุกข์ที่เกาะติดอยู่กับตัวเราทุกวินาที ความสุขไม่ใช่สิ่งที่เค้าต้องการ ต้องการเพียงไม่ต้องปวดร้าวขนาดนี้
ยิ่งได้อ่านยิ่งรู้สึกว่าโรคนี้นั้นซับซ้อนเกินคาดเดา การฆ่าตัวตายบางทีอาจไม่ใช่สิ่งที่เค้าต้องการ แต่เป็นทางเลือกที่จะหยุดความทุกข์ทรมานให้ดับสิ้น..
คุณคงเคยได้ยินว่า..จะฆ่าตัวตายทำม้ายย ชื่อเสียงก็ดี เงินก็มี มีคนลำบากกว่าตั้งเยอะตั้งแยะ กว่าจะได้เกิดมา ตกนรกไม่ได้เกิดเลยนะนี่
ถ้าคุณมีไฟเผาหัวคุณอยู่ ระหว่างเลือกตายและไม่รู้สึกกับเลือกทนให้ไฟเผาไปอีกไม่รู้จะหมดวันไหน คุณจะเลือกอะไร ??
ผมไม่ได้ส่งเสริมให้ใครฆ่าตัวตายนะครับ ในหนังสือมี How to มากมายที่จะทำให้คุณผ่านช่วงเวลาเลวร้ายไปได้ เพียงอยากให้เข้าใจความยากลำบากของตัวโรค ช่วยให้กำลังใจและลดการตัดสินที่ฉุดให้เค้าดิ่งลงมากขึ้น
ความน่ากลัวของโรคนี้คือ เมื่อเราปวดหลัง การคิดเรื่องอื่นยังช่วยดึงความสนใจให้ลืมความปวดได้บ้าง แต่ถ้าความป่วยไข้มันอยู่ในความคิดเราล่ะ #เราจะหนีไปไหน !!
ยิ่งหนียิ่งเกิดหลุมพรางความคิด หลอนหลอกให้ต่อสู้กันภายใน แยกไม่ออกว่าอะไรควรไม่ควร แยกไม่ออกว่าอะไรตัวตนที่แท้จริง อะไรเป็นอาการของโรค
ผู้เขียนเป็นทั้งแพนิคและซึมเศร้า ความท้าทายคูณสอง แต่เค้ายังผ่านมาได้ และได้ถ่ายทอดเรื่องราวทรงคุณค่าให้ทุกคนได้อ่านอีกด้วย
"สุดท้ายแล้ว มนุษย์เราก็ต้องการความกล้าหาญที่จะใช้ชีวิต #มากกว่าที่จะจบชีวิต" -𝗔𝗹𝗯𝗲𝗿𝘁 𝗖𝗮𝗺𝘂𝘀
ผมเชื่อว่าเมื่อผ่านมาได้สายตาของคุณจะละเอียดกว่าคนทั่วไป คุณอาจเห็นคุณค่าในบางสิ่งในขณะที่คนทั่วไปมองข้าม มองเห็นความสวยงามในความธรรมดา
หนังสือเล่มนี้ไม่ได้ทำให้คุณแย่ลง แต่กลับกันมันทำให้ความหวังของคุณได้เจิดจรัสขึ้นมาอีกครั้ง พร้อมกับของขวัญที่ประเมินค่าไม่ได้นั่นก็คือ #เหตุผลของการมีชีวิตอยู่ นั้นเอง ..
//พะโล้
#เรื่องย่อของหนังสือเล่มเยี่ยม
โฆษณา