28 ก.ค. 2021 เวลา 03:06 • ประวัติศาสตร์
รอยต่อระหว่างตำนานและความจริง!? ห้าทฤษฎีที่อาจใช้อธิบายได้ว่าแวมไพร์เคยมีตัวตนอยู่บนโลกของเรา
1. อลิซาเบธ บาโธรี่
เคาน์เตส อลิซาเบธ บาโธรี่ แห่งฮังการี ได้ทำการล่อลวงหญิงสาวพรหมจรรย์จำนวนมาก บางส่วนถูกเสนองานเป็นคนรับใช้ เป็นเวลานานหลายปี ที่บาโธรี่ทำร้ายร่างกายหญิงสาวเหล่านี้จนถึงแก่ความตายด้วยสารพัดวิธีที่แสนอำมหิตและเลือดเย็น
1
สาเหตุที่เธอทำเช่นนี้ เพราะบาโธรี่เชื่อว่าเลือดของหญิงสาวพรหมจรรย์นั้นมีสรรพคุณในการช่วยชะลอความแก่ชรา ด้วยเหตุนี้เธอจึงนำเลือดของเหยื่อที่เธอสังหารมาอาบต่างน้ำ
กล่าวกันว่าชาวบ้านมักได้ยินเสียงร้องโหยหวนของเหล่าบรรดาเหยื่อผู้เคราะห์ร้าย จนกระทั่งในปี ค.ศ.1609 เมื่อมีคนร้องเรียนมากขึ้น ทางการได้ส่งทหารเข้าไปตรวจสอบ และสิ่งที่พวกเขาได้พบเจอ มันน่าสยดสยองจนเกินกว่าจะบันทึกได้ สุดท้ายบาโธรี่ถูกนำตัวไปขึ้นศาลเพื่อดำเนินคดี โดยมีพยานกว่า 300 คน มาให้ปากคำต่อศาลด้วย สุดท้าย บาโธรี่โดนตัดสินโทษจำคุกตลอดชีวิต เพื่อป้องกันไม่ให้เธอได้ออกไปทำร้ายใครได้อีกต่อไป
ตำนานของบาโธรี่ ได้ถูกเล่าลืออย่างแพร่หลายในช่วงศตวรรษที่ 18 – 19 และถูกนำไปเชื่อมโยงกับตำนานผีดิบแวมไพร์ดูดเลือดอีกด้วย
2. โรคพอร์ไฟเรีย
เชื่อว่าหลายคนคงเคยดูหนังเกี่ยวกับแวมไพร์ดูดเลือดจากภาพยนตร์ดังอย่าง The Twilight หรือซีรีย์อย่าง True Blood ที่ได้แสดงท่าทางและลักษณะของแวมไพร์ในรูปแบบที่แตกต่างออกไป แต่มันไม่ได้เป็นเพียงแค่ภาพความทรงจำจากสื่อบันเทิงและในจินตนาการเท่านั้น แต่มันเป็นเรื่องจริง
1
ก่อนอื่นเราต้องแนะนำให้ทุกคนรู้จักกับโรค พอร์ไฟเรีย (Porphyria) โรคที่เกิดจากการได้รับพันธุกรรมที่ผิดปกติมาจากพ่อและแม่ จนทำให้เกิดการกลายพันธุ์ในยีนที่มีหน้าที่สร้างโปรตีนที่เป็นส่วนประกอบของเม็ดเลือดแดง จนทำให้เกิดความผิดปกติบนร่างกายและผิวหนัง และทำให้ใบหน้าเสียโฉม ซึ่งโรคดังกล่าวนี้ ยังถูกเรียกอีกชื่อว่า ‘โรคผีดูดเลือด’ อีกด้วย
1
ผู้ป่วยด้วยโรคพอร์ไฟเรีย อาจมีอาการป่วยทางจิต จนนำไปสู่พฤติกรรมแปลก ๆ รุนแรง และอาจทำร้ายผู้คนได้อีกด้วย
หนึ่งในบุคคลสำคัญของโลก ที่ป่วยเป็นโรคพอร์ไฟเรีย คือกษัตริย์จอร์จที่ 3 แห่งอังกฤษ ที่ต้องทนทุกข์กับอาการป่วยจากโรคดังกล่าว จนทำให้ล้มป่วยเป็นโรคไบโพลาร์ และถูกเรียกขานว่าเป็น ‘กษัตริย์วิปลาส’
ปัจจุบัน นักวิชาการทางการแพทย์หลายคนระบุว่า โรคพอร์ไฟเรีย น่าจะเป็นหนึ่งในจุดเริ่มต้นของตำนานพื้นบ้านเกี่ยวกับแวมไพร์และผีดิบดูดเลือดไปทั่วโลก
3. แดรกคูลา
แดรกคูลาอาจเป็นเพียงเรื่องสมมติ แต่ตัวละครของเขาก็มีพื้นฐานมาจากบุคคลจริงในประวัติศาสตร์อย่าง วลาดที่ 3 หรือ วลาดจอมเสียบ (Vlad the impaler) ที่ได้รับเลือกอยู่ในหน่วยรบ The Order of the Dragon กลุ่มองค์กรทางทหารของศาสนาคริสต์ และด้วยเหตุนี้เอง จึงทำให้นามสกุลบิดาของเขาคือ ‘ดราคูล’ (Dracul) ที่หมายถึงมังกร
วลาดที่ 3 เกิดที่ทรานซิลเวเนีย เขาสังหารผู้คนไปมากกว่า 100,000 คนตลอดอายุขัยของเขา เหยื่อผู้เคราะห์ร้ายบางคนถูกเขานำไปเผาทั้งเป็น บางคนก็ถูกแทงด้วยเหล็กแหลมจนถึงแก่ความตาย ครั้งหนึ่ง วลาดที่ 3 เคยจัดงานเลี้ยงสังสรรค์ และเชิญแขกมาร่วมงานเลี้ยง และของว่างในงานของเขาก็คือขนมปังจุ่มเลือดสด ๆ ที่เขาเชื่อว่ามันจะช่วยให้แขกภายในงานของเขารู้สึกสดชื่น
แม้ปัจจุบัน ภาพความทรงจำเกี่ยวกับแดรกคูลาคือปีศาจที่กลัวไม้กางเขนและกลัวการถูกเผา แต่วลาดที่ 3 กลับเป็นอะไรที่เรียกได้ว่าแหวกแนวคิดดังกล่าวไปเสียหมด เพราะเขาคือนักรบคริสเตียน และนิยมจับเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายมาเผาทั้งเป็น
สุดท้าย วลาดที่ 3 ก็โดนพวกเติร์กจับกุมตัวและประหารชีวิตเขาทิ้ง พร้อมกับตัดศีรษะของเขาเสียบอยู่นอกพระราชวังของตัวเอง ส่วนร่างกายของเขา ไม่มีรายงานพบเห็น บางคนก็เชื่อว่าร่างกายของเขาหายไปในอากาศ
4. สุสานแวมไพร์
มีรายงานการค้นพบหลุมฝังศพขนาดใหญ่ไปทั่วทวีปยุโรป ไล่ตั้งแต่ประเทศอิตาลี สาธารณรัฐเช็ก บัลแกเรีย และโปแลนด์ ที่ได้ขุดพบหลุมฝังศพขนาดใหญ่ที่มีมาตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 16 โดยสิ่งที่นักวิจัยพบก็คือ โครงกระดูกมนุษย์ที่มีลักษณะเหมือนโดนทุบ ทำลาย หรือแยกชิ้นส่วนออกจากกัน
ยกตัวอย่างเช่นประเทศโปแลนด์ มีการค้นพบหัวกะโหลกที่ถูกตัดออกมาวางไว้ตรงระหว่างขา เพื่อให้แน่ใจว่าเหยื่อได้เสียชีวิตแล้วจริง ๆ หรือบนเกาะเลสบอสของประเทศกรีซ ก็มีการขุดพบโครงกระดูกผู้ชายที่มีหนามเหล็กแหลมขนาด 8 นิ้ว ติดอยู่ที่คอ เชิงกราน และเท้า
ขณะเดียวกัน หลุมฝังศพในไอร์แลนด์และอิตาลี ก็มีการขุดพบหัวกะโหลกที่มีหินขนาดใหญ่ยัดเอาไว้ในปากที่เชื่อกันว่าเป็นการป้องกันไม่ให้ผู้ตายได้กินอาหาร
แน่นอนว่าบางทีผู้เสียชีวิตเหล่านี้อาจไม่ใช่แวมไพร์ แต่จากการศึกษาทางประวัติศาตร์พบว่า ในยุคนั้น ได้เกิดวัณโรคแพร่ระบาดไปทั่วทั้งยุโรป และผู้คนที่ป่วยเป็นวัณโรคจะมีร่างกายที่ซูบผอม จนทำให้ผู้คนในยุคนั้นเชื่อว่าวัณโรคเกิดจากแวมไพร์นั่นเอง และผู้คนที่ตายไปแล้ว ก็จะถูกนำมาตรึงด้วยเครื่องพันธนาการ ก้อนหิน หรืออาจตัดศีรษะทิ้งก่อนนำไปฝัง เพื่อความแน่ใจว่าจะไม่ฟื้นขึ้นมาเป็นแวมไพร์นั่นเอง
5. เคล็ดลับแห่งความเยาว์วัย
จากการทดลองทางวิทยาศาสตร์กับหนูสามตัวในห้องแลป ด้วยการถ่ายเลือดจากโฮสต์หนูที่อายุน้อยกว่าไปให้หนูที่มีอายุมากกว่า พบว่าหนูที่มีอายุมากกว่าที่ได้รับเลือดใหม่ จะมีความแข็งแรงเพิ่มมากขึ้น ร่วมไปถึงยังมีประสาทรับกลิ่น และความทรงจำที่ดีขึ้น การวิจัยได้ทำให้เราเห็นคุณประโยชน์ของโปรตีน GDF11 ที่อยู่ในเลือดของหนูตัวเล็ก
อาจเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ใช้อธิบายว่า ทำไมผีดิบแวมไพร์ถึงชอบดูดเลือดมนุษย์ ก็เพื่อรักษาสภาพร่างกายของตนเองไว้นั่นเอง
ถึงแม้ว่าการค้นพบดังกล่าว จะไม่ได้เป็นหลักฐานยืนยันว่าแวมไพร์มีอยู่จริง แต่ก็ทำให้วงการแพทย์ได้คิดค้นวิธีการรักษาโรคอัลไซเมอร์ในกลุ่มผู้ป่วยสูงอายุได้
ข้อมูลจาก : YOUTUBE/DARK5
โฆษณา