28 ก.ค. 2021 เวลา 10:38 • ธุรกิจ
.
📝 ถ้าไม่เป็น Self Active Learner ก็อยู่ยาก 📝
(ภาพ background จาก Google)
คนทำงานสายชิลหลายคนปรารภกับผมว่า จริงๆแล้วชีวิตเขาต้องการแค่ความสุข
ดูแลพ่อแม่ได้ เงินไม่ใช่เป้าหมายหลักของชีวิต จึงไม่ควรทำงานแบบหามรุ่งหามค่ำ
ผมก็มองว่าคิดอย่างนั้นไม่ผิดครับ แต่อย่างน้อยต้องเข้าใจว่าความสบายในชีวิต
การให้พ่อแม่หรือลูกๆได้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี โรงเรียนดี การได้ไปเที่ยวในที่ที่อยากไป(แม้จะไม่แพง) หรือแค่จะซื้อเสื้อผ้า Sale ในออนไลน์ ฯลฯ
ทั้งหมดนี้จะมากจะน้อยก็ต้องใช้เงินทั้งสิ้น แล้วเงินจะมาจากไหนถ้าไม่ใช่การทำงาน?
(ภาพจาก Google)
ทีนี้พอมาในโหมดทำงาน ก็ต้องยอมรับว่างานเดี๋ยวนี้ไม่ง่ายนะครับ
โลกเปลี่ยนตลอดเวลา เมื่อก่อนมีสินค้าเจ๋งๆสักตัวอาจหากินไปได้หลายปี
แต่เดี๋ยวนี้ออกสินค้าปังๆได้ไม่กี่วันมีของปลอมหรือเลียนแบบกันตรึม
ส่วนมนุษย์เงินเดือนก็หยุดนิ่งไม่ได้ เพราะบริษัทคาดหวังว่าเราต้องมี productivity
วิ่งกันเหมือนหนูถีบจักรคือปั่นเท่าไรก็อยู่ที่เดิม แต่ถ้าไม่ปั่นเขาก็ไม่จ้าง
ต้องเข้าใจครับ คนรุ่นเฮนรี่ ฟอร์ด ก็ต้องมีทักษะเรียนรู้เพื่ออยู่รอดให้ได้
อยากเก่งเหมือน สตีฟ จอบส์ ก็ต้องคิดให้เยอะ ทำงานให้หนัก หนังสือหลายเล่มถึงบอกว่าทักษะสำคัญในศตวรรษใหม่นี้ก็คือทักษะดั้งเดิมที่คนโบราณใช้
จนเกิดเทคโนโลยีพามนุษยชาติมาเชิดหน้าอยู่บนยอดของห่วงโซ่การล่าในทุกวันนี้ นั่นคือ “การเรียนรู้”​
และก็อย่าให้ใครมากรอกหูหรือเทขยะใส่หัวนะครับว่าเดี๋ยวก็รู้เอง
เพราะการเรียนรู้นั้นต้องเริ่มจากตัวเองเท่านั้น อย่างที่เขาเรียกว่า Self Learner
ซึ่งฝึกได้ง่ายๆครับ
📌 ตั้งคำถามในสิ่งที่ทำ📌
ความสงสัยใคร่รู้นี่เป็นจุดเริ่มต้นก่อให้เกิดศาสตร์ต่างๆในโลก
สินค้าทุกตัว นวัตกรรมทุกชนิด ล้วนเกิดจากการถามว่า “ทำไม?” กับเรื่องรอบตัว
การหัดตั้งคำถาม “ทำไม” “ทำอย่างไร” ฯลฯ จะช่วยพัฒนาความคิดคุณแบบง่ายๆ
เพราะมันนำคุณไปหาความรู้เพื่อตอบคำถามเหล่านั้น
งานวิจัยของ Harvard Business Review บอกว่าคนขี้สงสัยมีแนวโน้มจะมีความคิดสร้างสรรค์และสื่อสารได้ดีกว่าคนอื่นๆ
นึกถึงการบินสิครับ ใครๆก็อยากบินได้ คนส่วนใหญ่ก็ยอมรับสภาพว่าคงบินไม่ได้ มีไม่กี่คนที่สงสัยว่าแล้วต้องทำอย่างไรจึงจะบินได้ น้อยคนลงไปอีกถึงจะพยายามทดลองเพื่อหาว่าทำอย่างไรจึงจะบินได้ โดยเอาศาสตร์ต่างๆมาเชื่อมโยงกัน
จนกลายเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่เรียกว่าเครื่องบิน (โดยพี่น้องตระกูลไรท์)
ดังนั้นในการเรียนรู้งานใหม่ๆ ปริญญาใบใหม่ คุณต้องมีคำถามให้กับตัวเอง
เราอยากรู้อะไรในงานนั้น ความรู้เหล่านั้นจะมีประโยชน์อย่างไร
ทำไมเราต้องทำวิธีนี้ ทำไมไม่ทำแบบนั้น ใครจะได้ประโยชน์จากสิ่งที่เราทำ ฯลฯ
เราสามารถนำความรู้ที่ได้จากงานใหม่ๆ ภาษาใหม่ๆ ปริญญาโทที่กำลังเรียนอยู่
ไปต่อยอดให้ชีวิตดีขึ้นได้อย่างไร คุณต้องตอบคำถามเหล่านี้ให้ได้
การที่คุณมี purpose ในแต่ละสิ่งที่ทำก็คือการหาความหมายในสิ่งที่เรียนรู้ให้ได้
.
📌 หาโอกาสใช้ความรู้ความสามารถที่มี📌
ปัญหาพื้นๆของมนุษย์ก็คือมักจะเรียกร้องสิ่งต่างๆตลอดเวลา เช่น หัวหน้าไม่สั่งงาน
เป้าหมายองค์กรไม่ชัดเจน ฝ่ายเราทำงานหนักแต่ฝ่ายอื่นสบาย บ้างก็บ่นว่าบรรยากาศที่ทำงานไม่ได้ หนักๆเข้าไม่มีอารมณ์ ผมมองว่านี่เป็นข้ออ้างทั้งสิ้น
การที่บริษัทให้เงินเดือนคุณก็เพราะแลกกับผลงานที่คุณพาบริษัทไปให้ถึงเป้าหมาย
ระหว่างทางถ้ามีปัญหา คุณก็ต้องลงมือแก้ไขเพื่อให้ทุกอย่างลุล่วง นั่นคือคุณต้องสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆดีๆให้เกิดขึ้นในองค์กรตลอดเวลา
ไม่ว่าสถานการณ์ต่างๆจะเป็นอย่างไร จะเพราะโควิด เงินบาทแข็งค่า
เจ้านายห่วยแตก คุณมีปัญหากับแฟน … ฯลฯ คุณก็ต้องทำให้สำเร็จ
ดังนั้นถ้าคุณมีโอกาสเรียนรู้เครื่องมือใหม่ๆ เช่น design thinking , อ่านหนังสือ How to มา , หรือเจ้านายส่งไปเรียน Coaching & Mentoring
คุณก็ต้องหาโอกาสใช้ความรู้ที่คุณเรียนรู้นี้ มาปรับใช้แก้ปัญหาในองค์กรให้ได้ต้องหาทางใช้พัฒนาทำให้ทีมงานดีขึ้น เก่งขึ้น ไม่ว่าหน่วยงานจะมีข้อจำกัดใดๆ
เพราะนี่คือโอกาสพัฒนาตนเอง ทำให้การเรียนรู้ของคุณเห็นผลจริง จับต้องได้
ส่วนเจ้าของกิจการก็เช่นกัน รู้อะไรใหม่ๆมาต้องนำมาปรับประยุกต์ใช้
เพราะวินาทีใดที่คุณหยุด มันกระทบกับรายได้โดยตรงของคุณนั่นเอง
.
📌 ต่อยอดสิ่งที่เรียนรู้📌
เมื่อคุณนำความรู้ไปใช้จริงจะทำให้คุณ “เข้าใจ” ใน “เรื่องใหม่ๆหรือความรู้ใหม่ๆ” ยิ่งไปใช้ในบริบทที่แตกต่างกันจะยิ่งทำให้คุณตกตะกอนทางความคิด
ค่อยๆเห็นโอกาสต่อยอดให้เกิดประโยชน์กับองค์กร(หรือถ้าเป็นเจ้าของก็เกิดผลดีในทางธุรกิจของตัวเอง)มากขึ้น
เช่น เมื่อคุณสามารถโค้ชให้พนักงานโรงงานมีทัศนคติเชิงบวก ทำงานแบบ proactive จนสามารถทำงานหลักได้เต็มประสิทธิภาพ
คุณก็อาจจะรวมพวกเขาเป็นทีมเพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรม หรือสิ่งประดิษฐ์
เพื่อแก้ปัญหาทางด้านการผลิตที่มีอยู่บนสายพาน ซึ่งสามารถลดต้นทุนค่าใช้จ่ายของบริษัทในการซื้ออุปกรณ์จากต่างประเทศได้
ผมเรียกความสามารถแบบนี้ว่า “ปัญญา”
การต่อยอดสิ่งที่เรียนรู้เท่ากับเป็นการยกระดับการเรียนรู้ขั้นสุด (แต่เราก็ต้องเรียนรู้สิ่งใหม่ๆต่อไป)
ถ้าคุณทำได้มันจะหมายถึงการยอมรับจากเพื่อนร่วมงาน หัวหน้า ลูกน้อง ฯลฯ
ซึ่งนำไปสู่ตำแหน่งหรือโอกาสใหม่ๆที่จะประสบความสำเร็จในอนาคต
✅ ชีวิตไม่ง่ายครับ จะมีชีวิตอย่างไรก็อยู่ที่เราเลือก
แต่เราต้องหารายได้ให้พอในระดับพื้นฐานก่อน
กุญแจสำคัญดอกหนึ่งก็คือ สร้างความสามารถในการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆตลอดเวลา
เป็น Self Active Learner ที่ผมยืนยันว่าต่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างไรในองค์กร ก็ยังสามารถใช้ได้
เพราะสมองก็เหมือนกล้ามเนื้อครับ เราฝึกสมองด้วยการใช้บ่อยๆ ฝึกคิดมากๆ
ก็สามารถขยายการรับรู้สิ่งใหม่ๆ หรือสร้างมุมมองใหม่ๆที่เป็นประโยชน์ได้
แต่ขอให้เริ่มต้นทันที ✅
โฆษณา