30 ก.ค. 2021 เวลา 11:28 • ไลฟ์สไตล์
การจะเก็บเงินได้แสนแรกนั้นทำอย่างไร?
วันนี้แอดจะมาเล่าต่อจาก โพสที่แล้วค่ะ ที่ว่า.1 ล้านบาทแรก(อย่าลืมเข้าไปอ่านนะคะ) มาเริ่มเนื้อหากันเลย
.. มันอาจจะเป็นเรื่องที่ง่ายสำหรับใครหลายๆคน
แต่ก็เป็นเรื่องที่ยากของใครอีกหลายๆคนเช่นกัน ลองไปศึกษาและแลกเปลี่ยนกันเลย..
1.) ลองแบ่งเงินออมไว้ก่อนค่ะ
การแบ่งเงินออมไว้ก่อน อาจจะเดือนละ 500 หรือ 1,000 บาท โดยแยก “เงินออม” กับ “เงินใช้จ่าย” ให้ชัดเจนที่ไม่ว่าอย่างไร เราจะไม่นำเงินออมก้อนนี้มาใช้เด็ดขาดและห้ามยืมเงินออมมาใช้แล้วค่อยใช้คืนตัวเอง แบบนี้ห้ามทำ!ซึ่งการทำแบบนี้จะทำให้เราสามารถใช้จ่ายได้อย่างอิสระมากขึ้น เพราะรู้ว่า ไม่ว่าอย่างไรเราก็มีเงินออมไว้ที่กันไว้แล้วนั่นเองหลาย ๆ คน ที่ไม่ประสบความสำเร็จ เพราะ ใช้จ่ายแล้วค่อยนำเงินมาออม
ซึ่งตรงนี้ส่วนมากจะใช้จ่ายจนเหลือเงินออมในสัดส่วนที่น้อย หรือ บางครั้งไม่มีเงินเหลือเก็บเลย
2.) ลองลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น
การเริ่มปรับวิธีคิด หรือ mindset ต่อการใช้จ่ายทางการเงินให้รู้จักคุณค่ามากขึ้น ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่น่าสนใจโดยคุณต้องรู้ว่า สิ่งใดที่คุณใช้จ่ายแล้วเป็นประโยชน์ต่อตัวคุณเอง เป็นค่าใช้จ่ายที่จำเป็น หรือไม่สามารถลดลง หรือตัดทิ้งได้สิ่งไหนที่ยอมเป็นหนี้จนถึงวันที่สามารถชำระหนี้จนหมด แล้วสิ่งนั้นไม่ “เสื่อมราคา” หรือกลับกัน ที่อาจจะ “มีมูลค่าสูงขึ้น”
ตรงนี้ไม่สามารถระบุได้แน่ชัด ขึ้นอยู่กับความจำเป็นของแต่ละคน
เช่น บางคนอาจจะจำเป็นต้องมีรถยนต์เพื่อใช้ในการทำงาน แต่อาจจะพึ่งเริ่มทำงาน รายได้ต่อเดือนยังอยู่ในระดับที่น้อยหรือ ความสามารถในการชำระหนี้ต่ำ การซื้อรถมือหนึ่งอาจจะเป็นหนี้ก้อนใหญ่และใช้ระยะเวลาในการผ่อนชำระนานซึ่งทำให้ต้องเผชิญกับอัตราดอกเบี้ยที่สูง อาจลองเปลี่ยนเป็นซื้อมือสองในสภาพที่พอใช้งานได้มาใช้ก่อนอาจจะทำให้เราสามารถประหยัดเงินได้มากขึ้น เช่นกัน
เพราะถึงอย่างไร รถยนต์ในตลาดก็มีมูลค่าที่ลดลงอยู่ดีเมื่อผ่านไป 3-7 ปี โดยตลอดระยะเวลาคุณอาจจะต้องมีค่าบำรุงรักษาต่างๆอีกด้วยตลอดทาง
ซึ่งถึงตอนนั้นคุณก็อาจจะต้องเปลี่ยนรถเป็นคนที่สอง โดยคุณอาจจะซื้อรถมือหนึ่ง ตอนอายุ 35-40 ปี
จนถึงตอนนั้น คุณก็มีความสามารถในการชำระหนี้ที่สูงขึ้น มีเงินดาวน์มากขึ้น ระยะเวลาผ่อนชำระลดลง มันก็ช่วยให้คุณมีสุขภาพทางการเงินที่ดีขึ้น
สิ่งที่เป็นตัวรั้งความสำเร็จของคุณ คือ “การก่อหนี้ที่ไม่จำเป็น” “การใช้จ่ายเกินตัว” “การต้องมีทุกอย่างเหมือนคนอื่น” “#ของมันต้องมี”
เพราะคุณไม่จำเป็นต้องมีทรัพย์สินหรูหราเพื่อให้ใครดู
“เพราะไม่มีใครสนใจชีวิตคุณหรอก ตอนที่คุณไม่สามารถหาเงินมาจ่ายหนี้สินได้” ถ้าคุณยอมรับลดสิ่งเหล้านั้นลง คุณก็จะมีเงินเก็บมากขึ้นนั่นเอง
3.) ลองตั้งเป้าหมายใหญ่ และเป้าหมายย่อยไว้แบบขั้นบันได
การเก็บเงินแสน อาจจะเป็นเรื่องที่ยากสำหรับใครหลายคน และดูเป็นอะไรที่ต้องใช้เวลานาน
และอาจทำให้เกิดความท้อแท้ใจจนล้มเลิกความตั้งใจไปกลางทางได้ดังนั้น ให้ลองตั้งเป้าหมายใหญ่ไว้กับตัวเอง เช่น“ฉันจะเก็บเงินทุกวิถีทางให้ได้ 100,000 บาทแรกใน 5 ปี และในปีแรกฉันจะเก็บเงินให้ได้ 10,000 บาท”
ซึ่งการที่เราตั้งเป้าหมายไว้ที่ 10,000 บาทแรกก่อน ซึ่งอาจจะตกเดือนละ 1,000 บาทจะทำให้เรารู้สึกว่าเราทำได้ และเรามีกำลังใจในการทำต่อไปมากยิ่งขึ้น
ซึ่งหากผ่านเป้าหมายแรกไปได้ ก็มีโอกาสที่จะสามารถเก็บเงิน 100,000 บาทแรกสำเร็จได้ใน 5 ปีที่ตั้งไว้
หรือ อาจจะเร็วกว่านั้นหากเราลองทำในข้อถัดๆ ไป
4.) ลองลงทุนในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนที่ดี
สมมติว่า คุณ เก็บเงินจนใกล้จะครบหนึ่งแสนบาท หากคุณใช้วิธีการเก็บเงินอย่างเดียว อาจจะต้องใช้เวลาที่นานมากขึ้นเช่น หากคุณสามารถเก็บเงินได้เดือนละ 1,000 บาท เท่ากับว่า คุณต้องใช้เวลาทั้งหมด 8 ปี
ในการเก็บเงิน 100,000 บาทแรกของคุณ ซึ่งคุณตั้งเป้าไว้ที่ 5 ปีเท่านั้น
แต่หากคุณลงทุนสม่ำเสมอเดือนละ 1,000 บาท อาทิ ฝากประจำ ที่ผลตอนแทนประมาณ 1.5% ต่อปี
หรือ คุณอาจศึกษาการลงทุนในกองทุน หรือ หุ้น ที่มีผลตอบแทนที่มากขึ้นเมื่อผลตอบแทนมากขึ้น เช่น 3% คุณจะใช้เวลาเหลือประมาณ 7 ปีเท่าที่อ่านมาก็ยังรู้สึกว่าไม่ได้แตกต่างกันมากเท่าไหร่ใช่ไหม ให้ลองอ่านข้อถัดไป
ทั้งนี้ การลงทุนทุกอย่างต้องมีการศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดจนเข้าใจและคุณต้องสามารถยอมรับระดับความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นได้เท่านั้น และจำไว้ว่า “เราไม่ควรสูญเสียเงินต้นระหว่างทาง”
5.) ลองเพิ่มจำนวนเงินที่ออม
เมื่อคุณลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็นจากข้อที่ 2. ไปได้แล้ว ใช้ลองนำเงินส่วนนั้นมาลงทุนเพิ่มดูจะทำให้ระยะเวลาที่คุณต้องใช้ในการเก็บเงินลดลงอย่างเห็นได้ชัด
เช่น หากคุณสามารถเพิ่มเงินออมจาก 1,000 บาทต่อเดือน เป็น 1,650 บาทต่อเดือน ที่ผลตอบแทน 1.5% ต่อปีคุณจะใช้เวลาทั้งสินประมาณ 5 ปี จากเดิม 8 ปี ซึ่งถ้าคุณค่อยๆเพิ่มจำนวนเงินที่ออมมากขึ้น มันก็ย่อมทำให้คุณถึงเป้าหมายได้ไวขึ้น
หรือ เมื่อคุณได้รับผลตอบแทนในรูปเงิน ให้คุณนำเงินเหล่านั้นกลับมาลงทุนต่อ อย่า!นำไปใช้จ่าย
เพราะข้อที่ 1. คุณได้ปฏิญาณกับตัวเองแล้วว่า จะไม่นำเงินออมหรือเงินลงทุนมาใช้จ่ายซึ่งก็จะทำให้คุณถึงเป้าหมายได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ก็อาจจะเพิ่มจาก 1,650 เป็น 1,800 ต่อเดือน ใช้เวลาออมทั้งสินเพียง 4 ปีครึ่งเท่านั้น
หรือ ออมในรูปเหรียญและเงินทอนที่ได้มาไปหยอดใส่กระปุก หรือ ลิ้นชักที่ห้องพัก 1 บาทก็มีค่า
ลองสะสมแบบลืมๆไปเรื่อยๆ เพื่อนำออกมานับอาจจะได้หลักพันบาทเลยทีเดียวสิ่งเหล่านี้เรียกว่า “การทวีคูณดอกเบี้ยทบต้น” หรือ Compounding Effect”
ซึ่งการนำผลตอบแทนที่ได้กลับเข้ามาใส่ต่อ และเพิ่มเงินออมเดิมเข้าไปทุกเดือนๆจะช่วยให้มูลค่าของสินทรัพย์เพิ่มขึ้น และช่วยลดระยะเวลาในการไปถึงเป้าหมายได้มากเลยทีเดียวเพราะการมีเงินออมต่อเดือนที่มากขึ้น ย่อมมีผลตอบแทนที่มากขึ้นด้วยชั่นเอง
6.) ลองสร้างวินัยทางการเงินที่ดี
สุดท้าย การสร้างวินัยการออมที่ดี ที่พูดมาทั้งหมด จะสำเร็จไม่ได้เลย หากคุณ “ขาดวินัย” หรือ “การควบคุมจิตใจตัวเอง”การควบคุมจิตใจเป็นเรื่องที่ยากที่สุดแล้วในการเงินในการกำจัดความคิดที่ว่า “ของมันต้องมี”
การควบคุมจิตใจไม่ให้คุณนำเงินเก็บออกมาใช้ระหว่างทางการมีวินัยในการคอยทำให้ตัวเองสามารถหักเงินออมก่อนใช้ให้ได้ทุกเดือนการควบคุมให้ตัวไม่ใช้จ่ายเงินจนเกินตัว
การทำบันทึกรายรับ-รายจ่ายในทุกๆเดือน ซึ่งเดี๋ยวนี้มีแอพพลิเคชั่นในสมาร์ทโฟนที่ช่วยทำให้เรารู้สัดส่วนค่าใช้จ่ายของเราว่าเราใช้จ่ายอะไรไปบ้าง อะไรใช้จ่ายสูงที่สุดซึ่งจะทำให้เราสามารถไปจัดการลดค่าใช้จ่ายในข้อที่ 2. ได้ง่ายยิ่งขึ้น ว่า เราควรลดรายจ่ายส่วนไหนลงนั่นเอง
ส่วนตัว ใช้วิธีการจัดธนบัตรในกระเป๋าสตางค์ของตัวเองเช่น นำธนบัตรแบงค์ 1,000 ไว้ในสุด ไล่เรียงออกมาจนถึงธนบัตรใบละ 20 บาทซึ่งนั่นจะทำให้เราค่อยๆทยอยใช้เงินจากธนบัตรใบละ 20 บาทไปก่อน ถึงไปถึงธบัตรใบละ 1,000 บาทบางครั้งจะมีความรู้สึกว่า “ไม่อยากแตกแบงค์พันเลย” ก็ช่วยได้เยอะมากในการออมเงินเพราะหากเราไม่เรียงธนบัตร ใส่แบบปนกันไปมา บางครั้งจ่ายแบงค์ร้อย บางครั้งจ่ายแบงค์พัน
ทำให้เราหยิบใช้จ่ายแบบไม่มีการไตร่ตรองได้เช่นกัน
แต่ยุคสมัยนี้ก็เป็นยุคสังคมไร้เงินสด ก็อาจจะทำได้ยากขึ้นกว่าเดิมก็ให้ลองปรับเปลี่ยนวิธีที่เข้ากับตัวเองดู เช่น ให้กำหนดไว้ว่า เราจะเหลือเงินคงบัญชีไว้ 1,000 บาททุกเดือนเผื่อสามารถนำไปเป็นเงินออมเพิ่มเติมได้ในข้อที่ 5.เช่น เหลือเงินในบัญชี 1,789 บาท ก็ให้ลองบอกตัวเองให้ใช้เพียงแค่ 789 บาทหรือ เหลือเงินบัญชี 789 บาทในวันก่อนเงินเดือนเข้า ให้ลองใช้จ่ายแต่ 289 บาทในวันนั้นพรุ่งนี้ก็จะมีเงิน 500 บาทไปทบกับเงินเดือนเข้าใหม่ ก็จะช่วยลดระยะเวลาไปได้อีก
โดยสรุป .. คุณอาจปรับแผนต่างๆให้คุณรู้สึกสบายๆ ไม่เข้มงวดจนเกินไป แต่ก็ไม่เหลวไหลจนเกินไปด้วย
เพราะหากเข้มงวดเกินไป คุณอาจทนไม่ไหวและยกเลิกไปกลางทางนั่นก็ยิ่งทำให้คุณไม่มีกำลังใจในการเริ่มสร้างความมั่งคั่งอีกครั้ง
สุดท้ายนี้ ฝากไว้ด้วยคำสอนของครอบครัวที่จำใส่ใจไว้ตลอด ..
“ .. พ่อแม่ มั่งมี ลูกไม่รู้จักรักษาไว้ ไม่รู้จักหาเพิ่ม ไม่รู้คุณค่า วันหนึ่งก็หมดได้พ่อแม่ ไม่มั่งมี ลูกรู้จักหาเพิ่ม รู้จักคุณค่า รู้จักรักษาไว้ วันหนึ่งก็มั่งมีได้ ..”
และที่สำคัญ .. "การลงทุนระยะยาว มีเวลาเป็นเครื่องมือสร้างผลตอบแทน" เป็นกำลังใจให้ทุกคนนะคะ✌🏻💕
โฆษณา