30 ก.ค. 2021 เวลา 02:00 • ประวัติศาสตร์
การยึดครองเกาหลีของญี่ปุ่น
ปัจจุบัน “เกาหลี” คือประเทศยอดฮิตประเทศหนึ่งของคนไทย
1
ก่อนที่จะเกิดการระบาดของโควิด-19 หลายคนก็มักจะไปเที่ยวเกาหลี และอิทธิพลของเคป๊อป รวมทั้งซีรีส์ต่างๆ ก็ทำให้คนไทยหลายคน ชื่นชอบทั้งสื่อบันเทิงและวัฒนธรรมของเกาหลี
แต่ในอดีตนั้น เกาหลีเองก็เคยตกอยู่ในภาวะที่ลำบากอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะจาก “ญี่ปุ่น”
1
ในปีค.ศ.1910 (พ.ศ.2453) ภายหลังจากทำสงครามกับญี่ปุ่นมาเป็นเวลานาน ในที่สุด เกาหลีก็เพลี่ยงพล้ำ และตกอยู่ใต้อำนาจของญี่ปุ่น เป็นส่วนหนึ่งของญี่ปุ่นจนถึงปีค.ศ.1945 (พ.ศ.2488)
และญี่ปุ่นเอง ก็ต้องการที่จะควบคุมทุกอย่างในเกาหลี จึงสั่งทำลายวัฒนธรรมเกาหลีที่ผ่านมาทั้งหมด
โรงเรียนและมหาวิทยาลัยต่างๆ ถูกสั่งห้ามไม่ให้ทำการสอนเป็นภาษาเกาหลี อีกทั้งทุกคนต้องจงรักภักดีต่อองค์จักรพรรดิ สถานที่สาธารณะก็เต็มไปด้วยป้ายภาษาญี่ปุ่น ภาพยนตร์ก็มีบทพูดเป็นภาษาญี่ปุ่น
3
การสอนประวัติศาสตร์ก็ทำได้ยาก ตำราที่ใช้สอนต้องได้รับอนุญาตจากทางการญี่ปุ่นก่อน อีกทั้งฝ่ายญี่ปุ่น ก็ได้สั่งให้เผาเอกสารทางประวัติศาสตร์กว่า 200,000 ชิ้น เพื่อต้องการลบล้างประวัติศาสตร์เกาหลีที่ผ่านมาทั้งหมด
1
ในช่วงเวลาที่เกาหลีตกอยู่ใต้อำนาจของญี่ปุ่น ญี่ปุ่นได้ช่วงชิงทั้งดินแดนและแรงงานในเกาหลี มีการให้ครอบครัวชาวญี่ปุ่นเกือบ 100,000 ครอบครัวเข้ามาตั้งรกรากในเกาหลี
2
มีการตัดต้นไม้นับล้านต้น และเปลี่ยนที่ดินในเกาหลี ทำให้หลายๆ ที่มีสภาพเปลี่ยนไปจากแต่ก่อน
ทางด้านชาวเกาหลี ก็มีการบังคับให้ชาวเกาหลีเกือบ 725,000 คนไปทำงานที่ญี่ปุ่นและอาณานิคมอื่นๆ อีกทั้งเมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 เริ่มขึ้น ญี่ปุ่นก็ได้บังคับให้หญิงชาวเกาหลีจำนวนมากเป็นนางบำเรอ คอยปรนเปรอเหล่านายทหารญี่ปุ่น
5
นอกจากนั้น ญี่ปุ่นยังทำอะไรตามอำเภอใจ เปลี่ยนแปลงสถานที่ต่างๆ ตามใจชอบ เช่น “พระราชวังเคียงบก (Gyeongbokgung)” ซึ่งเป็นพระราชวังหลวงของเกาหลี และเก่าแก่ตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 14 ญี่ปุ่นก็สั่งให้ทำการรื้อถอนอาคารบางส่วน และให้ส่วนที่เหลือเป็นสถานที่ๆ นักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่นสามารถเข้าเยี่ยมชมได้
นักประวัติศาสตร์เกาหลีรายหนึ่งได้บันทึกว่า ทีแรก ญี่ปุ่นก็ตั้งใจจะเก็บสมบัติชาติของเกาหลี รวมทั้งศิลปะ โบราณวัตถุต่างๆ ให้เป็นของญี่ปุ่น แต่สุดท้าย ก็ยังให้คงรักษาไว้เพื่อแสดงให้เห็นว่าญี่ปุ่นนั้นมีอารยธรรมและเป็นกองทัพที่ทันสมัย
1
และญี่ปุ่นยังพยายามทำให้เกิดการเปรียบเทียบระหว่างเกาหลีและญี่ปุ่น โดยในตำราเรียน หรือตามพิพิธภัณฑ์ต่างๆ ก็พยายามสอดแทรกเนื้อหาว่าญี่ปุ่นนั้นล้ำหน้ากว่าเกาหลี
2
พระราชวังเคียงบก (Gyeongbokgung)
ทางด้านศาสนาและความเชื่อ ญี่ปุ่นก็ได้กดขี่เกาหลีเช่นกัน
มีการบังคับให้ชาวเกาหลีบูชาเทพเจ้าของญี่ปุ่น รวมทั้งอดีตจักรพรรดิที่สวรรคตและวีรบุรุษสงครามที่ทำให้ญี่ปุ่นเอาชนะเกาหลีได้
1
การที่ญี่ปุ่นบังคับชาวเกาหลีแม้แต่เรื่องศาสนาและความเชื่อ ทำให้ชาวเกาหลีหลายคนมองว่าญี่ปุ่นกำลังพยายามทำลายวัฒนธรรมเกาหลีแบบเด็ดขาด หากแต่สำหรับญี่ปุ่น นี่คือการทำให้ชาวญี่ปุ่นและเกาหลีกลมกลืน กลายเป็นชาติเดียวกัน
1
การกดขี่ของญี่ปุ่นยังไม่หมด แม้แต่ “นามสกุล” ญี่ปุ่นก็ไม่เว้น
1
ในทีแรก ญี่ปุ่นไม่อนุญาตให้ชาวเกาหลีใช้ชื่อหรือนามสกุลที่มีความคล้ายคลึงกับญี่ปุ่น เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความสับสน
แต่ในปีค.ศ.1939 (พ.ศ.2482) รัฐบาลญี่ปุ่นก็อนุญาตให้การเปลี่ยนนามสกุลนั้นสามารถทำได้ และเป็นหนึ่งในนโยบายหลักอีกด้วย โดยชาวเกาหลีสามารถเลือกนามสกุลญี่ปุ่นที่พอใจได้
ชาวเกาหลีอย่างน้อย 84% ต้องเปลี่ยนมาใช้ชื่อ นามสกุลญี่ปุ่น เพื่อให้สะดวกต่อการติดต่องานราชการ รวมทั้งสวัสดิการต่างๆ หากไม่ใช้ชื่อนามสกุลแบบญี่ปุ่น ก็อาจจะมีปัญหาในระยะยาว
1
แต่ถึงแม้ญี่ปุ่นจะมีอำนาจเหนือเกาหลี แต่ชาวเกาหลีจำนวนมากก็ไม่ยอมถูกกดขี่ไปตลอด
ตลอดเวลาที่ญี่ปุ่นยึดครองเกาหลี ได้มีการเคลื่อนไหวทางการเมือง ต่อต้านญี่ปุ่น เรียกร้องเอกราชอยู่เป็นระยะๆ
ในปีค.ศ.1919 (พ.ศ.2462) ได้มีการประท้วง เรียกร้องอิสรภาพให้เกาหลี มีผู้เข้าร่วมกว่า 1,500 คน
รัฐบาลญี่ปุ่นได้สั่งให้ใช้กำลังปราบปรามการชุมนุมประท้วง หากแต่กระแสเรียกร้องอิสรภาพ ก็ได้แผ่กระจายไปทั่วเกาหลี
1
ได้เกิดขบวนการใต้ดิน ต่อต้านญี่ปุ่นเป็นจำนวนมาก อีกทั้งประชาชนทั่วไป ก็ยังประท้วงกันต่อไปแบบเงียบๆ โดยบางคนก็ไม่ยอมพูดภาษาญี่ปุ่น บางคนก็ไม่ยอมเปลี่ยนชื่อ บางคนก็ใช้ชื่อที่สะท้อนถึงประวัติศาสตร์ของเกาหลี
ต่อมา ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จบลงด้วยความพ่ายแพ้ของญี่ปุ่นในปีค.ศ.1945 (พ.ศ.2488) เกาหลีจึงได้รับเอกราช
เกาหลีถูกแบ่งออกเป็นเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ และมีเรื่องราวของ “สงครามเกาหลี (Korean War)” ซึ่งผมได้เคยเขียนไปแล้ว เกิดขึ้นในช่วงเวลาใกล้กันนี้
และจนถึงทุกวันนี้ ชาวเกาหลีหลายคน โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่เกิดและโตทันช่วงเวลาที่ญี่ปุ่นยึดครองเกาหลี ก็ยังคงมีบาดแผลในใจต่อสิ่งที่ญี่ปุ่นเคยทำไว้
2
โฆษณา