30 ก.ค. 2021 เวลา 02:09 • ปรัชญา
ในช่วงเวลาที่เงียบแบบนี้ ก็เลยได้ยินเสียงตัวเองดังชัดมากขึ้น..
การออกเดินทาง...เข้าสู่ตัวเอง
สมัยก่อน ออกเดินทางไม่ต้องคิดมาก แค่ซื้อตั๋วเครื่องบิน จัดกระเป๋าก็ได้ไป พอมองย้อนกลับไป ช่วงอายุก่อน 30 เป็นช่วงที่ไม่มีเงินเก็บเลย แต่กลับรู้สึกไม่เสียดาย เพราะทุกๆ ครั้งที่ออกเดินทาง แล้วกลับมาที่เดิม มักจะมีบางอย่างเปลี่ยนไปเสมอ บางอย่าง...ข้างใน
การเดินทางในแต่ละครั้ง เราได้เรียนรู้ว่าตัวเรา ชอบอะไรหรือไม่ชอบอะไร จากเรื่องราวที่เราพบเจอระหว่างเดินทาง คนบางคนคบกันมานาน แต่กลับเหมือนไม่รู้จักกันเลย เพราะไม่เคยผ่านเรื่องราวด้วยกัน พอมีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้น ถึงได้รู้ว่า อ้าว คนนี้เป็นแบบนี้นี่เอง...
ว่ากันว่า คู่รักที่อยู่ด้วยกันมานานจะหน้าตาคล้ายๆ กัน ในทางวิทยาศาสตร์อาจจะยังไม่มีหลักฐานยืนยันอย่างแน่ชัดว่าเพราะอะไร แต่แน่นอนว่า เซลล์ของเรานั้นมีการซ่อมแซม เปลี่ยนผลัดอยู่เสมอ ความคิดและประสบการณ์ก็เหมือนกับการบ่มเพาะ คนที่อยู่ด้วยกันมานาน เจอประสบการณ์คล้ายๆ กัน มีความเชื่อ และความคิดคล้ายๆ กัน อาจส่งผลให้เซลล์ที่ผลัดขึ้นมาใหม่ค่อยๆ คล้ายกันมากขึ้น
ในทุกๆ วันร่างกายของเรามีการผลัดเซลล์ใหม่ๆ พอผ่านไปครบเจ็ดปี เราก็ผลัดเซลล์ไปมากมายจนเราเหมือนกลายเป็นคนใหม่ไปเลย
เรื่องของคู่รักที่มักเลิกกันเมื่อถึงเจ็ดปี อาจเป็นเพราะเราต่างเติบโตขึ้นในทุกๆ วัน ทั้งภายนอกและภายใน จนวันนึงฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง อาจรู้สึกว่า เอ้ะ.. นี่ใครน่ะ เธอไม่ใช่คนที่ฉันเคยรักนี่นา
แปลกดีที่เจ็ดปีผ่านไป คนรู้จักที่เคยรู้ใจ กลับกลายเป็นคนแปลกหน้า
เวลาที่คนเราโคจรมาเจอกัน ก็คงเหมือนดวงดาว ที่ต่างคน ต่างมีวงโคจร และเราต่างก็โคจรรอบอะไรบางอย่าง ที่เป็นเสมือนดวงอาทิตย์ของเรา
คนบางคนอาจจะผ่านมา เพื่อทำให้เราได้กลายเป็นคนที่เข้าใกล้จุดหมายของเรามากขึ้น เขาจึงผ่านมาเป็นแค่เพื่อนร่วมทาง ที่วันนึงเมื่อถึงทางแยกที่ดึงจุดหมายของเราไปคนละทาง เราก็ต้องแยกวงโคจรไปตามเส้นทางของเราเอง
และคนบางคนก็มีจุดหมายเดียวกับเรา คนเหล่านี้อาจจะถูกแรงเหวี่ยงไปไกลแสนไกล ตามแรงกระเพื่อมของจักรวาล แต่วันนึง เมื่อแรงสะสมมากพอ ก็จะถูกดึงดูดเข้าหากันอีกครั้ง ถ้าเรามีจุดมุ่งหมายเดียวกันแล้ว ต่อให้ต้องแยกจากกันไปไกลแค่ไหน เส้นทางก็ยังกลับมาบรรจบกันได้
นึกถึงมิตรสหายคนนึง ที่เจอกันระหว่างทาง เหตุการณ์ที่ทำให้เราเจอกัน เหมือนเป็นเรื่องบังเอิญ ทั้งๆ ที่เราไม่ได้ออกเดินทางด้วยกันแต่แรก แต่เพราะเรามีจุดหมายเดียวกัน เราก็เลยเจอกัน และคบกับจนถึงทุกวันนี้ เรื่องราวที่เกิดขึ้นมันทำให้เราลืมไม่ลง กลายเป็นความทรงจำล้ำค่าอันแสนประหลาดที่ดึงดูดเราเข้ามาเจอกันอีกในหลายๆ ครั้ง
แปลกดีที่ความแตกต่างกัน ไม่ทำให้เรารู้สึกขัดแย้ง แต่เรากลับรู้สึกดีที่มีคนคอยเบรค ให้เราคิดอีกแง่ มองอีกมุม ที่ไม่ใช่ตัวเรา
นึกถึงสมัยวัยรุ่นตอนปลาย ที่เดินทางอย่างบ้าคลั่ง เป้าหมายมีไว้พุ่งชน แบบไม่สนตรรกะใดๆ ช่างเป็นความรู้สึก forever young บางครั้งถึงกับไปตายเอาดาบหน้า ไม่จองตั๋วใดๆ แค่มีความเชื่อว่าเราจะไปถึง พร้อมกับก้าวขาออกไป แล้วปล่อยให้โชคชะตานำทาง
เราเคยใช้วิธีแบบนั้นบ่อยๆ และมันได้ผลดีเกินคาด วิธีที่ว่าก็คือ ตั้งเป้าหมายก่อน โดยไม่สนว่ามันจะเป็นไปได้ไหม แค่คิดว่า "ถ้าได้ไปที่นั่น ก็คงจะดีนะ" หลังจากนั้นเราจะประกาศออกไป ให้เพื่อนฝูง หรือคนที่เจอในช่วงนั้นได้รับรู้ จากนั้นก็วางมันลงก่อนแล้วไปทำอย่างอื่น ไม่นานนัก พอเราใกล้จะลืมไปแล้ว กลับโดนแรงดึงดูดฉุดให้เข้าไปในวงโคจรสู่เป้าหมายที่้เราเคยตั้งไว้ ซะอย่างนั้น
หลายๆ ครั้งเหมือนบังเอิญ แต่เราว่าไม่มีเรื่องบังเอิญในโลกนี้หรอก พอมองย้อนกลับไป ทุกๆ อย่าง ทุกๆ เรื่องราวที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ล้วนมีความหมาย มีบทเรียนให้เราได้ถามว่า เราได้เรียนรู้อะไร...
พอรู้ตัวอีกทีเราก็ออกเดินทางออกจากจุดเริ่มต้นมาแล้ว เราอาจจะเป็นคนที่เราเคยอยากเป็น ได้เห็นสิ่งที่เราอยากเห็น ได้ทำในสิ่งที่เราอยากทำ และทุกๆ อย่างที่เราอยากได้ มันก็ล้วนอยู่ตรงหน้าเราแล้ว เหมือนกับการแสดงโชว์ ที่เราเป็นทั้งผู้กำกับและนักแสดง เมื่อเราแสดง เราก็เลยไม่รู้ตัวว่านั่นคือเวที นึกถึงเพลง this is the greatest show ในหนังเรื่อง the greatest showman
"It's everything you ever want
It's everything you ever need
And it's here right in front of you
This is where you wanna be
This is where you wanna be"
"มันคือทุกอย่างที่คุณต้องการ
มันคือทุกอย่างที่คุณโหยหา
แล้วมันก็อยู่ตรงหน้าของคุณตรงนี้
มันคือที่ๆ คุณอยากจะอยู่"
ปิดท้ายด้วย ท่อนฮุค
'Cause everything you want is right in front of you
And you see the impossible is coming true
And the walls can't stop us (now) now, yeah
This is the greatest show (oh!)
เพราะว่าทุกอย่างที่คุณต้องการก็อยู่ข้างหน้าของคุณนี่ไง
และคุณก็เห็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้กำลังเกิดขึ้นจริงๆ
ตอนนี้กำแพงก็ไม่สามารถกั้นขวางเราได้
นี่คือสุดยอดการแสดง!
จริงๆ แล้วตอนดูหนังเรื่องนี้ นึกถึงชีวิตของคนๆ นึง ที่เทียบได้กับการแสดงบนเวที ชีวิตของตัวเอก ก็เหมือนกับการแสดงเรื่องนึง มีคนที่อยู่บนเวทีกับเรา และก็มีผู้ชม หากผู้ชมชื่นชอบการแสดงของเราก็ปรบมือ และอาจได้แรงบันดาลใจกลับบ้านไปพร้อมกับความสุข
บางครั้งเราออกเดินทางมาไกล จนเราลืมเป้าหมายแรกสุดของเรา เพราะเราต้องพักจากจุดนึง ไปอีกจุดนึง ไปเรื่อยๆ คนที่เดินทางคนเดียว ก็อาจหลงลืมไปได้ง่าย เพราะไม่มีคนคอยเตือน นั้นก็คือข้อดีของการมีเพื่อนร่วมทาง ที่สามารถเตือนเรา และให้กำลังใจในยามที่เราท้อ
ก่อนจะถึงจุดหมาย เราก็ได้เรียนรู้ตัวเอง จากที่ไม่มั่นใจว่าเราคือใคร ก็ค่อยๆ ขัดเกลา เอาสิ่งที่ไม่ใช่ออกไป จนเหลือ สิ่งที่ใช่ แล้วเราก็กลับบ้านมา พร้อมกับความมั่นใจมากขึ้น ว่านี่แหละ เราได้เป็นตัวเองมากขึ้นอีกนิดแล้ว
ช่วงเวลาที่เราต้องเผชิญกับโควิดนี้ ยิ่งทำให้ความทรงจำเกี่ยวการเดินทาง น่าจดจำมากยิ่งขึ้นไปอีก ถ้าไม่มีช่วงเวลาที่ยากลำบากบ้าง เราก็คงไม่เห็นคุณค่าของความสบาย โลกหลังยุคโควิดคงทำให้การเดินทางของใครหลายคนเปลี่ยนไป
แปลกดีที่การ work from home อยู่แต่บ้าน ไม่ได้ไปไหนเลย กลับทำให้เรา "เดินทาง" มากกว่าเคย เดินจากข้างนอกสู่...ข้างใน
เป็นช่วงเวลาที่เราได้หยุดและตั้งคำถามกับตัวเองว่าที่จริงแล้วที่ผ่านมา เราได้หลงทางไปบ้างหรือเปล่า? และเรายังคงเดินอยู่ในเส้นทางที่เราอยากไปหรือเปล่านะ?
โฆษณา