30 ก.ค. 2021 เวลา 08:37 • กีฬา
ข่าวใหญ่ที่สุดของกีฬาไทยในรอบ 1-2 วันนี้ ไม่มีอะไรเกิน ดราม่าชุดแข่งขันนักกีฬา เมื่อแบรนด์แกรนด์สปอร์ตตัดสินใจ ทำสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิด นั่นคืออนุญาตให้เมย์-รัชนก อินทนนท์ ใส่เสื้อแข่ง "ยี่ห้ออื่น" ในการแข่งขันโอลิมปิก
1
เหตุการณ์เป็นอย่างไร วิเคราะห์บอลจริงจัง จะอธิบายโมเมนต์สำคัญที่สุด ว่าทำไมแกรนด์สปอร์ตจึงยอมให้เมย์-รัชนก ใส่ชุดของโยเน็กซ์ ลงแข่งขันในโอลิมปิกได้
ก่อนอื่นต้องอธิบายว่า แกรนด์สปอร์ต เป็นแบรนด์ที่มีอายุยาวนานถึง 6 ทศวรรษ พวกเขาอยู่กับวงการกีฬาไทยมาตลอด และเป็นพาร์ทเนอร์ที่ดีกับคณะกรรมการโอลิมปิกแห่งประเทศไทยด้วย
แกรนด์สปอร์ต เซ็นสัญญาเป็นผู้ผลิตเสื้อแข่งขันให้นักกีฬาไทยมา 3 ครั้งติดต่อกัน ได้แก่
- สัญญาฉบับที่ 1 ปี 2005-2008
- สัญญาฉบับที่ 2 ปี 2009-2012
- สัญญาฉบับที่ 3 ปี 2013-2017
1
ตามด้วยฉบับที่ 4 คือปี 2018-2022 เป็นตัวเลขมูลค่า 181 ล้านบาท ซึ่งครอบคลุมโอลิมปิก 2020 และ เอเชียนเกมส์ 2022 กล่าวคือนักกีฬาไทยทุกคน ต้องใส่ชุดแข่งขันของแกรนด์สปอร์ตลงแข่งในทุกชนิดกีฬา
2
ต่อให้ทุกคนจะมีสปอนเซอร์ส่วนตัวอยู่แล้ว แต่ถ้าลงแข่งในทัวร์นาเมนต์ทีมชาติ จะต้องใส่แกรนด์สปอร์ต เรื่องนี้เป็นความเข้าใจร่วมกัน
อย่างไรก็ตาม แกรนด์สปอร์ต ก็ต้องมาเผชิญกับดราม่าที่ใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่ง เมื่อในโอลิมปิกครั้งนี้ พวกเขาโดนวิจารณ์เรื่องชุดการแข่งขันว่า เชยและรุ่มร่ามมากเกินไป
3
เรื่องเชยก็ประเด็นหนึ่ง ทุกคนมีสิทธิ์วิจารณ์กันไป ความชอบของแต่ละคนไม่เหมือนกัน แต่สิ่งที่น่ากังวลใจมากกว่าคือเรื่อง "ความรุ่มร่าม" ของเสื้อผ้า เพราะมันมีผลต่อ Performance ของนักกีฬา
2
กีฬาบางชนิด ชุดแข่งอาจไม่ได้มีผลมากนัก แต่กับกีฬาที่ต้องเคลื่อนที่ตลอด อย่างแบดมินตัน คุณเห็นชัดเจนเลยว่า มันส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของนักกีฬาจริงๆ
เราเห็น เมย์-รัชนก ต้องคอยถกแขนเสื้ออยู่เป็นประจำ รับรู้ได้ว่ามีความกวนใจอยู่บ้าง เดินไป เดี๋ยวถกเสื้อ เดี๋ยวถกเสื้อ คือมันไม่คล่องตัว และดูน่าอึดอัดแทน
2
ชุดแข่งประจำตัวที่เมย์-รัชนก ใช้ตอนแข่งเวิลด์ทัวร์ คือแบรนด์โยเน็กซ์ ซึ่งเป็นแขนกุด มันก็จะมีความกระชับกว่านี้ แต่ของแกรนด์สปอร์ตจะเป็นเสื้อมีแขน และไม่ได้ Fitting แบบพอดีตัว ทำให้มีความรุ่มร่ามอย่างที่เราเห็นกัน
1
ย้อนกลับไปวันที่ 28 กรกฎาคม เวลา 11.40 น.ที่ญี่ปุ่น เมย์-รัชนก ลงแข่งรอบแบ่งกลุ่มนัดสุดท้ายกับโซเนีย เซียะ มือ 18 จากมาเลเซีย นัดนี้เมย์ต้องชนะอย่างเดียว ถ้าแพ้ตกรอบ
2
ปรากฏว่าตลอดการแข่ง เธอเล่นได้อย่างน่าอึดอัด รัชนกแพ้ไปก่อนในเกมแรก 21-19 สถานการณ์วิกฤติถึงขีดสุด แต่โชคยังดี ที่เธอใช้ความเก๋าคัมแบ็กกลับมาชนะ อีก 2 เกมที่เหลือ 21-18 และ 21-10 เข้ารอบมาแบบหืดจับมาก
2
สิ่งหนึ่งที่เราเห็นอีกครั้ง ก็คือชุดแข่งมีผลต่อฟอร์มการเล่นของเธอจริงๆ มันดูเทอะทะมากจนน่ากวนใจ
1
ประเด็นนี้ แฟนกีฬาชาวไทยจึงแสดงความไม่พอใจใส่แกรนด์สปอร์ตเป็นอย่างมาก ว่าทำไมออกแบบชุดแบบนี้ ทำไมไม่ทำให้มีความกระชับ น้องเมย์จะได้เล่นได้คล่องตัวหน่อย
3
ธารา พฤกษ์ชะอุ่ม ซีอีโอของแกรนด์สปอร์ต ก็เห็นเหมือนกันว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง เขาอธิบายว่า "เราตั้งใจทำชุดแข่งขันให้ดี ไม่อยากให้มีข้อผิดพลาดใดๆกับนักกีฬา จริงๆเราก็ไว้ใจทีมงานของเรา แต่บทมันจะผิดพลาด มันก็เหมือนมีกองหลัง 4 คนยืนอยู่ ได้แต่ป้องกันด้วยสายตา แล้วปล่อยบอลเข้าประตู"
1
ฝั่งแกรนด์สปอร์ต ได้ติดต่อไปที่คณะกรรมการโอลิมปิกไทย เพื่อให้สอบถามนักกีฬาเรื่องชุดแข่งว่าโอเคไหม แต่ได้รับคำตอบจากตัวนักกีฬาว่า "โอเค ไม่มีปัญหา"
เมย์ รัชนกบอกในภายหลังว่า "เอาจริงๆ เสื้อแข่งไม่ใช่ประเด็นสำคัญสำหรับตัวหนูเท่าไหร่ เพราะใส่อะไรก็ได้ ที่ผ่านมาหนูก็ใส่ของแกรนด์สปอร์ตลงแข่งขันมาตั้งแต่รอบแรกอยู่แล้ว หน้าที่สำคัญที่สุดของหนูคือลงไปทำหน้าที่ให้ดีที่สุดในสนามก็แค่นั้น"
2
น้องเมย์บอกว่าไม่มีปัญหา แต่เราไม่รู้ว่าจริงๆ เธอคิดแบบนั้นไหม แน่นอนว่าเธอคงบอกไม่ได้หรอกว่า "โอ๊ย ชุดแข่งรุ่มร่าม หนูไม่ชอบเลยค่ะพี่" เธอเข้าใจสถานการณ์ดี ว่าเสื้อแข่งต้องเป็นของแบรนด์อะไร และแกรนด์สปอร์ตกับสมาคมแบดมินตัน ก็ต้องร่วมงานกันอีกนาน ไม่มีประโยชน์ที่จะมาก่อดราม่าเอาตรงนี้
5
น้องเมย์แข่งจบ ได้พักอีกไม่ถึง 24 ชั่วโมง เธอต้องรีบเข้านอน เพราะต้องตื่นเช้ามาแข่งต่อทันทีเวลา 9 โมงเช้าที่ญี่ปุ่น
1
ในระหว่างที่น้องเมย์หลับไปแล้ว ก็มีสายโทรศัพท์สำคัญที่สุดเกิดขึ้น และมันจะถูกเล่าขานต่อไปในอนาคต
2
เมื่อคุณหญิงปัทมา ลีสวัสดิ์ตระกูล นายกสมาคมแบดมินตันแห่งประเทศไทย ที่อยู่ที่ญี่ปุ่น ได้โทรศัพท์มาที่ไทย โทรหาธารา พฤกษ์ชะอุ่ม ซีอีโอของแกรนด์สปอร์ต ในเวลาตีสองที่ญี่ปุ่น กับประโยคที่เรียบง่ายว่า "พอจะเป็นไปได้ไหม ที่ทางแกรนด์สปอร์ต จะอนุญาตให้นักแบดมินตัน ใส่แบรนด์อื่นที่ไม่ใช่แกรนด์สปอร์ตเป็นการเฉพาะกิจในโอลิมปิกครั้งนี้"
3
นี่เป็นคำขอที่ต้องบอกว่า ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์กีฬาไทย ลองนึกภาพตามนะครับ สมมุติฟุตบอลทีมชาติไทย ใส่ชุดแข่งวอร์ริกซ์ลงเล่นฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกอยู่ แล้วนายกสมาคมฟุตบอล โทรหาเจ้าของวอร์ริกซ์บอกว่า "เกมหน้าขอให้ทีมชาติไทยใส่ชุดยี่ห้ออื่นแข่งได้ไหม" ถามหน่อยว่าใครจะไปยอม วอร์ริกซ์ก็ต้องโวยสิ ว่าผมจ่ายเงินไปแล้วนะเป็นร้อยล้าน คุณจะมาขอแบบนี้ได้ไง
ไม่ใช่แค่นั้น เรื่องนี้เอาจริงๆ มันเกี่ยวพันหลายอย่าง ลองคิดดูว่า ถ้าแกรนด์สปอร์ตยอมนักกีฬา 1 คน เดี๋ยวในอนาคต อาจมีสมาคมอื่นมาขอเปลี่ยนเสื้อแข่งอีกก็ได้ มันจะชุลมุนวุ่นวายกันเข้าไปใหญ่
3
ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าสมมติเปลี่ยนไปใส่ยี่ห้ออื่น ทางคณะกรรมการโอลิมปิกไทย จะยอมง่ายๆ หรือ เพราะอีกแบรนด์ ก็ไม่ได้เซ็นสัญญาจ่ายเงินให้อย่างเป็นทางการเสียหน่อย แล้วอยู่ๆ จะได้ภาพลักษณ์ดีๆ ในโอลิมปิกไปใช้แบบฟรีๆ มันก็ไม่น่าจะถูกต้อง
2
แต่แน่นอน ธารา ยอมรับว่าชุดแข่งที่ออกแบบไปมันก็รุ่มร่ามจริงๆ นั่นแหละ และทางแก้ที่เหมาะที่สุดคือ รีบส่งชุดแข่งที่ตัดเย็บใหม่ ไปจากไทยทันที เพื่อส่งให้ถึงน้องเมย์ในวันรุ่งขึ้น
3
แต่ในทางปฏิบัติมันทำไม่ได้ กว่าจะตัดเย็บ กว่าจะบินไปถึง มันก็ไม่ทันการ เพราะน้องเมย์ก็ต้องลงแข่งกับเกรกอเรีย ตันจุง จากอินโดนีเซีย เวลา 9 โมงเช้าที่ญี่ปุ่น กรอบเวลามันน้อยเกินไปในการจะผลิตเสื้อแข่งตอนนี้
2
ธารากล่าวว่า "เมื่อคุณหญิงปัทมา ขอมาแบบนั้น เราก็ต้องมาคิดว่า แล้วควรทำยังไง และตอนนั้น ผมคิดถึงคุณพ่อของผม ว่าท่านจะทำแบบไหน"
2
คุณพ่อของธารา คือ กิจ พฤกษ์ชะอุ่ม ผู้ก่อตั้งแกรนด์สปอร์ต ที่เสียชีวิตไปเมื่อปีที่แล้ว เขาได้ส่งไม้ต่อให้ลูกชายบริหารงานต่อ และนี่เป็นอีกหนึ่งการตัดสินใจที่สำคัญที่สุดของธารา
"คุณกิจก็คงจะบอกว่า เอาผลประโยชน์ของนักกีฬา ผลประโยชน์ของประเทศชาติมาก่อน ให้นักกีฬาเขาเล่นให้ชนะเถอะ เรื่องอื่นค่อยว่ากันทีหลัง ผมคิดว่าพ่อของผมคงพูดแบบนี้"
7
ธารารู้ ว่าคราวนี้แกรนด์สปอร์ตออกแบบผิดพลาด และการแก้ไขความผิดพลาดที่ดีที่สุด ไม่ใช่หาข้ออ้างแก้ตัว แต่ลงมือทำอะไรสักอย่างเพื่อเปลี่ยนแปลง ส่วนปัญหาต่างๆที่จะตามมา เดี๋ยวเขาแบกรับเอาไว้เอง
7
นั่นทำให้ธาราจึงตัดสินใจบอกคุณหญิงปัทมาว่า "ยินยอม" ให้นักแบดมินตัน ใช้ชุดแข่งขันของแบรนด์อื่นได้เป็นการเฉพาะกิจ แต่มีเงื่อนไขคือ ห้ามมีโลโก้ เพราะเขาเองก็ไม่อยากสร้างความลำบากใจให้คณะกรรมการโอลิมปิกแห่งประเทศไทยเหมือนกัน
6
คุณหญิงปัทมาตอบตกลง จากนั้นเมื่อวางสาย เธอจึงรีบไปดีลกับโยเน็กซ์ ซึ่งเป็นสปอนเซอร์หลักของน้องเมย์ รัชนก ให้จัดหาชุดแข่งทันที และดีไซน์ให้เอาธงชาติไทย แปะที่หน้าอกแทนที่โลโก้ของโยเน็กซ์แทน
3
โยเน็กซ์จัดทำเสื้อแข่งอย่างรวดเร็วมากในกรอบเวลาแค่ไม่ถึง 7 ชั่วโมง และในที่สุด ก่อนที่เมย์-รัชนก จะแข่งขันในเวลา 9.00 ที่ญี่ปุ่น สมาคมฯ ก็เอาเสื้อแข่งไปให้ โดยเมย์กล่าวว่า "นี่เป็นเสื้อแข่งที่เพิ่งได้มาเมื่อช่วงเช้าเลยค่ะ ทางผู้ใหญ่บอกว่าให้เปลี่ยนก่อนการแข่งขัน ก็เลยใส่ลงสนามแข่งทันที"
3
ผลสรุปคือ ด้วยชุดแขนกุดของโยเน็กซ์ ทำให้การเคลื่อนที่ของน้องเมย์ มีความคล่องตัวสูงมากและเต็มไปด้วยประสิทธิภาพอย่างยิ่ง ก่อนจะเอาชนะ ตันจุงจากอินโดนีเซียอย่างง่ายดายมากๆ 21-12 และ 21-19 เข้ารอบ 8 คนสุดท้ายไปอย่างเพอร์เฟ็กต์ที่สุด ไปชนกับไท่ จื้อ-อิง มือ 1 ของโลก ในรอบ 8 คนสุดท้าย
4
เรื่องนี้ แม้จะเป็นแค่เรื่องเสื้อแข่งขัน แต่เราจะเห็นได้ว่ามีความหมายที่น่าประทับใจหลายอย่างซ่อนอยู่
อย่างแรก เราเห็นความเป็นมืออาชีพของเมย์ รัชนก เธอยืนยันว่าใส่ชุดอะไรก็ได้ เธอเลือกใช้คำพูดอย่างฉลาด เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อใครเลย
8
อย่างที่ 2 เราเห็นความตั้งใจของสมาคมแบดมินตัน ที่เห็นปัญหาอยู่ชัดๆ ว่าชุดแข่งมันเป็นยังไง แต่ก็ไม่ได้ปล่อยไปตามยถากรรม แต่กล้าจะพูด กล้าเสนอความเห็น ลองหาทางว่าเป็นไปได้ไหม ที่จะเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้น คิดดูว่าแข่งจบปั๊บ แล้วแข่งรอบต่อไปตอน 9 โมงเช้า มีเวลาแค่ไม่ถึง 24 ชั่วโมง แต่คุณหญิงปัทมา ก็ทำให้ดีลนี้เกิดขึ้นได้
4
อย่างที่ 3 เราเห็นความมีสปิริตของแกรนด์สปอร์ต ไม่ใช่เรื่องง่ายนะ ที่คุณจ่ายเงินซื้อลิขสิทธิ์ในเวทีใหญ่อย่างโอลิมปิกไปแล้ว ก็ย่อมหวังจะได้เห็น แบรนด์เสื้อของคุณไปเฉิดฉายในเวทีโลก ลองคิดดูว่ารอบต่อไป เมย์ เจอไท่ จื้อ-อิง จากไต้หวัน นี่เป็นแมตช์ที่คนจะดูทั้งโลกแน่ๆ แต่แกรนด์สปอร์ตก็เห็นแก่นักกีฬาและผลประโยชน์ของชาติเป็นที่ตั้ง ตัดใจยอมให้ใช้เสื้อแข่งยี่ห้ออื่นแทนได้ คิดดูว่า การทิ้งผลประโยชน์ของตัวเองก็ต้องใช้หัวใจที่ใหญ่เหมือนกันนะ
14
อย่างที่ 4 เราเห็นศักยภาพในการจัดเตรียมชุดแข่งในกรอบเวลาที่สั้นมากๆ ของโยเน็กซ์ แต่ก็จัดเตรียมชุดได้อย่างเรียบร้อย แถมรักษาสัญญาเป็นอย่างดี ปิดโลโก้ทุกอย่าง จนสุดท้ายน้องเมย์มี Performance ที่ดีมากๆ ในการแข่งขัน
4
และอย่างที่ 5 เราเห็นว่าคำวิจารณ์ใดๆ ของประชาชน มันมีผลต่อความเปลี่ยนแปลงได้จริงๆ ถ้าหากไม่มีการวิจารณ์ ฝั่งสมาคมฯ แบดมินตันก็อาจจะไม่ขยับตัวก็ได้ เช่นเดียวกับแกรนด์สปอร์ต ก็อาจไม่เทกแอ็กชั่นก็ได้ แต่เมื่อสังคมเห็นว่าบางอย่าง มัน "น่าจะดีกว่านี้ได้" ก็บอกกล่าวกัน และสุดท้าย มันก็นำมาสู่ความเปลี่ยนแปลงในที่สุด
5
สำหรับโอลิมปิกครั้งนี้ นี่เป็นโมเมนต์เล็กๆ แต่มีความงดงาม เพราะเราได้เห็นว่า เมื่อปัญหามันเกิดขึ้นแล้ว ประชาชนไม่นิ่งเฉยแต่พยายามส่งสารให้คนมีอำนาจได้รับรู้
2
ส่วนคนมีอำนาจเมื่อได้รับรู้แล้ว ก็ไม่ได้ปล่อยผ่าน แต่ยอมรับว่าปัญหามันเกิดขึ้นจริงๆ และช่วยกันหาทางแก้ไข จากนั้นใช้เวลาตัดสินใจอย่างรวดเร็ว ไม่ต้องผ่านหลายขั้นตอน โดยคิดถึงผลประโยชน์ของชาติเป็นที่ตั้งไว้ก่อน
7
สุดท้ายนี้ ไม่มีอะไรจะกล่าวนอกจาก ขอขอบคุณทุกคนที่เกี่ยวข้องจริงๆ ที่กล้าทำให้เรื่องนี้เกิดขึ้น
1
และเชื่อไหม มันเป็นเหตุการณ์ที่มีพลังอย่างมากจริงๆ เพราะมันส่งสารให้คนทั้งประเทศได้รู้สึกว่า ถ้าลองคุณตั้งใจจะทำอะไรจริงเสียอย่าง ปัญหาอะไร มันก็แก้ไขได้ทั้งนั้น
3
#IMPRESS
โฆษณา