2 ส.ค. 2021 เวลา 09:50 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์
#เล่าหนัง - A Beautiful Mind (2001) - ผู้ชายหลายมิติ
⚠️ บทความนี้มีการเปิดเผยเนื้อหาสำคัญของหนัง / การสปอย
เรื่องนี้ก็เป็นหนึ่งในหนังเรื่องโปรดของผมเลย เราจะรู้สึกยังไงกันนะ ถ้าสิ่งที่เราพบเจออยู่ทุกวัน สิ่งที่เราคิดว่ามันสำคัญกับตัวเรา มันไม่ได้มีอยู่จริง เเต่เป็นเเค่ภาพหลอน🥶
หนังเล่าเกี่ยวกับชีวประวัติความเป็นมาของชายอัจฉริยะคนหนึ่ง ชื่อว่า “John Nash” ก่อนที่เขาจะประสบความสำเร็จในชีวิต มันจะลึกซึ้งขนาดไหนกันนะ ถ้าอยากรู้เเล้วก็เชิญอ่านได้เลยคร้าบ
ตัวละครหลักของเรื่อง
1. จอห์น ( John Nash )
2. อลิเซีย ( Alicia )
เริ่มเรื่องมา ในปีค.ศ. 1974 จอห์น เเนช พระเอกของเรา ได้เข้าศึกษาที่มหาวิทยาลัย Princeton สาขาวิชาคณิตศาสตร์ เขาเป็นคนที่เก่งมากๆ จนเพื่อนๆของเขาเเต่ละคนมองว่าเขาเป็นอัจฉริยะ
ชีวิตความเป็นมาของจอห์นไม่ค่อยดีนัก เขาเกิดมาในครอบครัวที่ยากจน เเละ ไม่เคยได้ไปเรียนในโรงเรียนชั้นนำเลย จึงทำให้เขานั้นเข้าสังคมที่นี่ไม่ค่อยเก่ง
จอห์น เป็น คนที่ติดการคิดทฤษฎีต่างๆมาก ในเวลาว่าง เขาจะชอบมานั่งเขียนทฤษฎี สมการ อะไรของเขาอะ ผมไม่รู้เรื่องด้วยหรอก😂
1
เเต่ถึงจอห์นจะเข้าสังคมได้ไม่เก่งนัก ก็มีเพื่อนคนหนึ่ง ชื่อว่า “ชาล” เขาเป็นเพื่อนร่วมห้องของจอห์นในหอพัก เป็นคนเดียวที่จอห์นสามารถเข้าหาได้ง่าย คุยกับจอห์นได้ทุกเรื่อง
จอห์นได้ระบายกับชาลว่า เขามีปัญหาในด้านการเข้าสังคมอย่างมาก คนรอบข้างน่ะจึงไม่ค่อยถูกใจซะเท่าไหร่ เเละ เคยมีอาจารย์คนหนึ่งพูดกับเขาว่า เขาเป็นเด็กที่มีสมองโตกว่าคนรอบข้างเป็น 2 เท่า เเต่มีหัวใจเเค่ครึ่งเดียว
เเละ อย่างที่ได้กล่าวไว้ จอห์นเป็นคนบ้าการคิดทฤษฎีต่างๆ มองทุกสิ่งอย่างออกมาเป็นสมการ อย่างเช่น เห็นคนทอดไข่เจียว ก็เอามาเขียนเป็นสมการ เห็นฝูงนกพิราบเดินอยู่บนพื้น ก็เอามาเขียนเป็นสมการตัวเลขต่างๆ
จอห์นอยากเป็นที่ยอมรับของทุกคน เเละ เขาเป็นคนที่จริงจังกับการคิดนอกกรอบมาก ดังนั้น ตลอดช่วงที่เขามาเรียนที่มหาวิทยาลัยเเห่งนี้ เขาไม่เคยเข้าเรียนเลย เพราะเขาคิดว่ามันจะเป็นการตีกรอบทางความคิด เเละ ไม่มีความคิดสร้างสรรค์ เขาใช้เวลาส่วนใหญ่ในการนั่งคิดทฤษฎีเเละงานวิจัยใหม่ๆ
1
วันหนึ่ง อาจารย์ของเขาก็ได้มาคุยกับจอห์นเรื่องการส่งตัวนักศึกษาไปทดลองงานประจำปี จอห์นบอกกับอาจารย์ว่า เขาอยากไปที่ Wheeler lab (มหาวิทยาลัยอันดับ 1)
เเต่จอห์นยังไม่ได้คิดหัวข้องานวิจัยที่อาจารย์มอบหมายในห้องเรียนเลย ในขณะที่เพื่อนๆเขาตีพิมพ์งานวิจัยกันไปหมดเเล้ว ทำให้อาจารย์ยังไม่คิดว่าจอห์นคือตัวเลือกที่เหมาะสมในการส่งไปทดลองงาน
เเละ อาจารย์ก็ได้ให้จอห์นมองไปที่ศาสตราจารย์คนหนึ่ง ที่เป็นที่ยอมรับของคนหลายๆคน มีนักวิชาการหลายคนมาก เข้าไปเเสดงความประทับใจ เเละ วางปากกาไว้ตรงหน้าศาสตราจารย์คนนั้น (การวางปากกานี้ เป็นสัญลักษณ์ของการเเสดงความยอมรับ)
จอห์นจึงได้ลองมองกลับมาที่ตัวเองอีกครั้ง เเละ รู้ได้เลยว่า เขาน่ะยังไม่สมควรได้รับโอกาสนั้นจริงๆ เขายังทำได้ไม่ดีพอ เเละ ยังไม่ได้เป็นที่ยอมรับจากใครเลย
1
จอห์นก็ได้คิดทฤษฎีของเขามาเรื่อยๆ จนวันหนึ่ง จอห์นกำลังนั่งอยู่ในบาร์กับกลุ่มเพื่อนของเขา เเละ มีความคิดที่จะไปจีบสาวกลุ่มหนึ่ง ที่มีดาวคณะของมหาลัยอยู่ด้วย พวกเขาได้นึกถึงทฤษฎีของ Adam Smith “ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดมาจากการที่ทุกๆคนทำดีที่สุดเพื่อตัวเอง” กลุ่มเพื่อนเขาจึงตัดสินใจว่าจะไปเเย่งกันจีบดาวคณะคนนั้น
เเต่อยู่ดีๆจอห์นก็นึกอะไรขึ้นได้ เขาบอกว่าทฤษฎีของ Adam Smith มันยังไม่ถูกต้อง
จอห์น เเนช: “ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดมาจากการที่ทุกๆคนทำดีที่สุดเพื่อตัวเอง เเละ เพื่อกลุ่มด้วย”
จอห์นได้อธิบายกับเพื่อนว่า ถ้าเราไปรุมจีบดาวคณะคนนั้นคนเดียว เราจะเเย่งกันเองเเละจีบไม่สำเร็จ หรือ ถ้าจีบดาวคณะไม่สำเร็จเเล้วไปจีบเพื่อนของเขาต่อ ก็คงไม่สำเร็จอยู่ดี ไม่มีใครอยากเป็นตัวสำรอง เเต่ถ้าเราเมินดาวคณะคนนั้น เเล้วเเบ่งกันไปจีบเพื่อนๆของเขาเเต่ละคน ทุกคนก็จะได้สาวมาครองอย่างเเน่นอน
จอห์นได้นั่งคิดเกี่ยวกับทฤษฎีนี้ซักพัก เเล้วรีบเก็บหนังสือต่างๆกลับไปที่หอพักทันที เขาได้นั่งเขียนทฤษฎีสมดุลระบบของเขาจนเสร็จสมบูรณ์ เเละ ได้นำไปเสนอกับอาจารย์ ซึ่งทฤษฎีที่เขาคิดมาก็ได้รับอนุมัติ เเละ ลบล้างทฤษฎีเก่าของ Adam Smith ที่มีมานาน 150 ปี
ด้วยผลงานแบบนี้ เเน่นอนว่าจอห์นก็สามารถไปศึกษาต่อที่ Wheeler lab ตามความต้องการของเขาได้เเล้ว
จอห์นได้ฝึกงานอยู่ที่ Wheeler lab มาเรื่อยๆ จนเวลาผ่านไป 5 ปี เขาได้กลายเป็นหัวหน้าเเผนกวิจัย เเละ เขาก็เป็นอาจารย์ที่คอยสอนนักศึกษาอีกด้วย
1
วันหนึ่ง เขาได้ถูกเชิญให้มาเเกะรหัสลับของรัสเซียที่รัฐบาลเอามาได้ เขาพยายามนั่งดูอยู่นาน จนทำได้สำเร็จ รหัสลับนั้นมันคือตัวเลขละติจูด ลองติจูดของตำเเหน่งหนึ่งในเเผนที่โลก เเละในจังหวะนั้น จอห์นพบว่า มีคนๆหนึ่งใส่หมวกกำลังยืนมองเขาอยู่ เขาพยายามถามว่าเขาเป็นใคร เเต่ก็ไม่มีใครตอบ
วันต่อมา เเอร์ในห้องเรียนที่จอห์นต้องไปสอนนักศึกษาก็พัง ทำให้ต้องเรียนกันเเบบเปิดหน้าต่าง เเต่ด้านนอกก็มีเสียงดัง ที่มาจากการทำงานของคนงานก่อสร้าง จอห์นจึงไปปิดหน้าต่าง เเละ ให้ทุกคนทนเรียนเเบบร้อนๆ
เเต่ทันใดนั้น ก็มีนักศึกษาหญิง ชื่อ “อลิเซีย” เดินไปเปิดหน้าต่าง เธอตะโกนบอกพวกคนงานก่อสร้างว่า ให้ออกไปก่อนได้มั้ย อีก 45 นาทีค่อยมาทำงานกันต่อ เพราะเสียงมันดัง เรียนไม่รู้เรื่อง คนงานก่อสร้างก็รับฟัง ทำให้จอห์นประทับใจมาก
จอห์น เเนช: “นี่เเหละ บางครั้ง การเเก้สมการต่างๆก็มีหลายวิธีในการทำ”
เเละเเล้ว จอห์นก็ได้มาพบกับชายใส่หมวกลึกลับที่เคยยืนมองจอห์นตอนนั้น เขาชื่อว่า “พาเชอร์” พาเชอร์ได้มาเสนองานถอดรหัสลับของรัสเซียกับจอห์น เเละจอห์นก็ตอบรับ เเละเขาก็บอกให้จอห์นเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ
เเละวันหนึ่ง อลิเซียได้เชิญจอห์นให้มากินข้าวในงานเลี้ยงงานหนึ่ง (ไม่รู้มาอารมณ์ไหน) ในงานเลี้ยงนั้น ดูเหมือนว่าจอห์นจะเริ่มชอบอลิเซียซะเเล้ว เขาเลยเริ่มโชสกิลจีบอลิเซีย เเละดูเหมือนว่าอลิเซียก็จะชอบจอห์นมาก
จอห์น เเละ อลิเซีย ก็ได้คบกันมาเรื่อยๆ จนในวันหนึ่ง เขาก็ได้เเต่งงานกัน ในส่วนของจอห์น เขายังคงทำงานถอดรหัสลับของพาเชอร์อยู่เรื่อยมา
จนในวันหนึ่ง ขณะที่เขาต้องนำรหัสที่เเกะได้ไปส่งที่จุดหมาย เขาก็เริ่มรู้สึกได้ว่ามีคนกำลังสะกดรอยตามอยู่ เเละเเล้วก็มีคนพยายามมาไล่ยิงจอห์น เเต่พาเชอร์ก็พาจอห์นขึ้นรถหนีไปได้ทัน
หลังจากเหตุการณ์นั้น เขาเริ่มมีอาการเครียด จนสอนหนังสือไม่ได้ เเละวันหนึ่ง จอห์นก็ได้เห็นว่ามีรถสีดำคันหนึ่งมาจอดอยู่หน้าบ้านของเขา เขาจึงกลัวมาก อลิเซียเห็นอาการเเปลกๆของจอห์น จึงโทรเรียกจิตเเพทย์
จิตเเพทย์ได้มาตรวจสอบจอห์น เเละได้พบว่า จอห์นมีอาการจิตเสื่อมมานานเเล้ว ทำให้เห็นภาพหลอนอยู่บ่อยๆ พอตรวจสอบไปมา จิตเเพทย์ก็ได้พบว่า “ชาล” คนที่จอห์นคิดว่าเป็นเพื่อนที่รับฟังทุกอย่างจากเขา ไม่ได้มีตัวตนอยู่จริงๆ
จิตเเพทย์บอกให้อลิเซียลองไปสืบเกี่ยวกับการทำงานถอดรหัสลับของจอห์น เเละ ก็ได้พบว่างานถอดรหัสลับของจอห์นที่พาเชอร์เสนอให้ มันไม่ได้มีอยู่จริง รวมถึงตัวตนของพาเชอร์ด้วย ทั้งหมดเป็นเเค่ภาพจินตนาการของจอห์น
อลิเซียได้บอกกับจอห์นทุกอย่าง ทำให้จอห์นเงิบไปซักพัก เเละ ยอมมาเข้ารักษาตัวกับหมอ หมอพูดว่า สิ่งที่น่ากลัวที่สุดของโรคจิตเสื่อม คือ การไม่รู้ว่าอะไรจริง ถ้าหากคุณมาพบว่าสิ่งรอบตัวที่มันสำคัญกับตัวคุณ มันไม่มีอยู่จริง คุณจะรู้สึกยังไง
จอห์นต้องกินยาอยู่เรื่อยๆ เเละผลข้างเคียงจากยาก็ทำให้ความอัจฉริยะของจอห์นหายไป เขาไม่สามารถช่วยอลิเซียเลี้ยงลูกได้ เเละ ไม่มีอารมณ์ทางเพศ ทำให้อลิเซียรู้สึกทุกข์ใจอย่างมากกับอาการของจอห์น เเต่ถึงยังไง อลิเซียก็ยังรักจอห์น และ จะอยู่กับจอห์นไปตลอด
จนกระทั่ง จอห์นได้ตัดสินใจหยุดกินยา เพื่อนำความอัจฉริยะกลับมา เเละภาพหลอนก็กลับมาหลอกหลอนเขาอีกครั้ง พาเชอร์ก็ได้โผล่มา เขาได้มาเสนองานถอดรหัสให้จอห์นอีกเเล้ว เเถมจอห์นยังมองเห็นชาลที่กำลังเฝ้าลูกของเขาอยู่ เเต่อลิเซียก็ได้มาหาจอห์น จึงรู้ว่าอาการจิตหลอนเขากำเริบอีกเเล้ว
จิตเเพทย์ก็ได้มาพบจอห์นอีกครั้ง เขาบอกว่าจอห์นจะต้องเข้ารับการรักษาอีกครั้ง เเต่จอห์นก็ยินยันว่าเขาจะหาทางเเก้ไขด้วยตัวเอง ในทีเเรก จอห์นตัดสินใจให้อลิเซียกับลูกย้ายไปอยู่ที่อื่นก่อน เเต่อลิเซียก็ยืนยันว่าจะอยู่กับจอห์นต่อไป
อลิเซียพูดกับจอห์นว่า “คุณรู้มั้ยว่าอะไรที่เป็นความจริง” เเละเอามือของจอห์นมาเเตะที่หัวใจของเธอ “นี่เเหละคือความจริง สิ่งที่จะทำให้คุณหายจากอาการนี้ได้ บางทีมันอาจจะไม่ใช่สมอง เเต่เป็นหัวใจ”
จอห์นได้ตัดสินใจกลับไปที่มหาวิทยาลัย Princeton เเละลองใช้ชีวิตอยู่ที่นั่น เพราะเป็นที่ที่เขาคุ้นเคยดี มันอาจจะช่วยกำจัดอาการจิตเสื่อมของเขาได้ เเต่เขาก็ได้พบกับภาพหลอนอีกครั้ง ทำให้เขาเกิดคลุ้มคลั่งขึ้นมาในวันนั้น
จอห์นต้องพบเจอเหตุการณ์เเบบนี้อยู่หลายครั้ง จนคนในมหาวิทยาลัยชอบที่จะไปล้ออาการเอ๋อๆของเขา เเต่จอห์นก็ไม่ยอมเเพ้ เเละมาที่มหาวิทยาลัยอยู่ทุกวัน จนในที่สุด เขาสามารถเมินภาพหลอนเหล่านั้นได้สำเร็จ ราวกับว่าอาการของจอห์นหายไปเเล้วซะอย่างนั้น ถึงเเม้ว่าภาพเหล่านั้นจะไม่ได้หายไป เเต่จอห์นก็สามารถเรียนรู้การอยู่ร่วมกับพวกมัน
เวลาผ่านไปเรื่อยๆ จอห์นได้ตัดสินใจมาเป็นอาจารย์สอนหนังสือที่มหาวิทยาลัย Princeton เพื่อนำความรู้ของเขาไปถ่ายทอดให้นักศึกษา
จนในปีค.ศ. 1994 มีชายเเก่คนหนึ่งเดินมาบอกจอห์นว่า ทฤษฎีสมดุลระบบที่เขาเคยคิดขึ้นได้นั้นได้ถูกนำมาใช้เป็นรากฐานของเศรษฐศาสตร์เเผนใหม่ เเละจอห์นก็ได้รับการเสนอชื่อให้รับรางวัล Nobel จากทฤษฎีนั้น
ชายเเก่คนนั้นได้เชิญจอห์นเข้ามาในห้องอาหารของเหล่านักวิชาการ เขาต้องการจะประเมินจอห์นว่า เขาสมควรได้รับรางวัล Nobel นี้มั้ย เเต่อยู่ดีๆ เหล่านักวิชาการหลายๆคนก็เดินเข้ามาวางปากกาเเสดงความยอมรับกับจอห์นเต็มไปหมด ทำให้ชายเเก่คนนั้นไม่ต้องประเมินอะไรอีกเเล้ว
มาถึงในวันประกาศรางวัล ปรากฏว่าจอห์นก็ได้เป็นผู้ชนะ เเละเขาก็ได้ขึ้นไปกล่าวสุนทรพจน์
1
จอห์น: “ผมเชื่อในตัวเลขเสมอ สมการ ตรรกศาสตร์ อันนำไปสู่เหตุผล เเต่หลังจากที่ผมได้พยายามค้นหามาตลอดชีวิต ผมเฝ้าถามอยู่เสมอว่า อะไรคือศาสตร์ที่ว่าด้วยหลักเหตุผลที่เเท้จริง ใครคือคนตัดสินว่าอะไรคือเหตุผล ผมได้ค้นคว้าสิ่งนี้จากความรู้สึก ภาพหลอน เเละ ความเป็นจริง ผมได้ค้นพบสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตผม มีเพียงสมการอันเร้นลับของความรักเท่านั้น ที่ทำให้เราได้พบกับตรรกะของชีวิต ผมขึ้นมายืนตรงนี้ได้ก็เพราะคุณ เพราะคุณเท่านั้น คุณคือเหตุผลของผม อลิเซีย”
ทำให้อลิเซียดีใจเเละซึ้งใจในตัวจอห์นมากๆ หลังจากจบงานประกาศรางวัล จอห์น อลิเซีย ลูก 3พ่อเเม่ลูกก็ได้เดินทางกลับบ้านไปอย่างมีความสุข เเละหนังก็จบลง
ผมชอบวิธีการที่จอห์นต่อสู้กับอาการป่วยของเขา ถึงเเม้ว่าเขาไม่สามารถกำจัดมันออกไปได้ เเต่ก็พยายามที่จะอยู่ร่วมกับมัน
เเละ ความรักที่ยิ่งใหญ่ของอลิเซีย กับ จอห์น ก็ทำให้จอห์นได้พบกับเหตุผลที่เเท้จริงในชีวิต
เเล้วก็…คงจะพีคมาก ถ้าอลิเซีย เป็นเเค่ภาพหลอน😳😳
❤️❤️❤️❤️❤️❤️❤️❤️❤️❤️❤️❤️❤️❤️❤️❤️❤️❤️❤️❤️❤️❤️❤️❤️❤️
โฆษณา