1 ส.ค. 2021 เวลา 14:48 • หนังสือ
ยิ่งรับรู้รับเห็นสถานการณ์โควิดไทยในตอนนี้ ยิ่งทำให้ผู้เชียนนึกถึงหนังสือเล่มนึงที่เคยอ่านสมัยมัธยม ชื่อของมันคือ World War Z ของ Max Brooks ที่ถูกนำไปเป็นหนังแสดงโดย Brad Pitt นั่นแหละครับ
เผื่อหลายๆ คนไม่รู้ WWZ แบบหนังเป็นการ downgrade และตัดตอนได้รวบรัดมากถ้าเทียบกับแบบหนังสือ มีหลายรายละเอียด หลายช่วงเวลาสำคัญที่ถูกลบออกไป โดยเฉพาะศึกการสู้รบที่ Yonkers (Battle of Yonkers) ซึ่งพอมานั่งคิด มันมานัยยะหรือคอนเซปบางอย่างที่มันคล้ายคลึงกับเหตุการณ์ในตอนนี้เอามากๆ เหมือนกัน
*มีเนื้อหาสปอยล์*
เรื่องทั้งหมดคร่าวๆ กันเหมือนกับที่เกิดขึ้นในหนัง เป็นเชื้อโรคอุบัติใหม่ที่เกิดขึ้นจากจีน แล้วค่อยคืบคลานไปแพร่กระจายไปสู่ทั่วโลกผ่านการค้ามนุษย์และอวัยวะอย่างผิดกฏหมาย จากที่เราได้ดูและได้อ่านจะพบว่าบางประเทศได้มีการเตรียมตัวเป็นอย่างดี เชื่อในแหล่งข่าว และใช้ข้อมูลการระบาดได้อย่างมีประโยชน์ แต่ในบางประเทศอย่างเช่น อเมริกา รัฐบาลไม่สนใจ คิดว่ามันคงเป็นแค่อีกสายพันธุ์หนึ่งของพิษสุนัขบ้า เลยทำหูทวนลม เหมือนกับที่บางประเทศมองว่าโรคบางโรคเป็นแค่ไข้หวัดกระจอกนั่นแหละ ซึ่งตรงนี้คือจุดที่เนื้อเรื่องของหนังและหนังสือเริ่มแยกออกจากกัน
การประเมินสถานการณ์ต่ำเกินไปตรงนี้ ทำให้เกิดเป็นภาพลวงตาให้แก่ประชาชนชาวอเมริกันทำให้เชื่อว่าพวกเขาปลอดภัย ซึ่งหนึ่งในปัจจัยสำคัญของการสร้างวิมานบนอากาศนี้ก็คือวัคซีน
ก่อนหน้านี้ ทางรัฐมีการจัดหาวัคซีนให้ประชาชนที่ชื่อว่า Phalanx (ฟาแลงซ์) โดยมีการโฆษณาซะดิบดีว่านี่เป็นวัคซีนจะช่วยยับยั้งเชื้อโรคร้ายตัวนี้ได้อยู่หมัด ทางรัฐและภาคธุรกิจต่างโปรโมตประชาสัมพันธ์แกมโฆษณาชวนเชื่อกันยกใหญ่ สร้างความเชื่อมั่นให้กับวัคซีนตัวนี้ ทำให้ผู้คนแห่กันไปฉีด มีการตุนสต๊อกสั่งซื้อกันมามากมาย ถึงขั้นกับสร้างโรงงานเพิ่ม
แต่เวลาผ่านไปไม่นาน มีนักข่าวออกมาแฉว่าวัคซีนตัวนี้ มันไม่ใช่อย่างที่ทุกคนคิด: มันเป็นแค่ยา placebo โง่ๆ ที่เอาไว้หลอกประชาชนเพื่อสร้างเป็นภาพลวงตาให้ปชช.เชื่อว่าพวกเขามีภูมิคุ้มกัน
("We knew Phalanx was a placebo, and we were grateful for it. It calmed people down and let us do our job.")
นอกจากมันจะเป็นยาควบคุมฝูงชนอย่างมีประสิทธิภาพแล้ว มันก็เป็นแหล่งที่มาของก้อนเงินจำนวนมหาศาลเช่นกัน
("...This was a win-win situation! Everyone got to be heroes. Everyone got to make money. Six months after Phalanx hit the market, you start getting these cheaper, knockoff brands, all solid sellers as well as the othet home ancillary stuff like home air purifiers.")
แม้แต่สโลแกนของตัววัคซีนยังเป็น allusion ในตัวของมันเอง “Piece of Phalanx, Peace of Mind.” เป็นภาพลวงตาที่ไร้ที่ติ จนหลายๆ คนถึงขนาดเชื่อว่าซอมบี้ไม่มีจริง หรือเป็นแค่การระบาดแบบ epidemic เหมือนอย่างไข้หวัดนก หรือ SARS ที่อีกไม่นานก็หายไปตามกาลเวลา
แต่และแล้วสถานการณ์ก็เริ่มเปลี่ยนไป ข่าวแฉวัคซีนบวกกับมีรายงานพบการติดเชื้อในบริเวณ suburbs ตามเมืองต่างๆ และการปรากฏตัวที่มากขึ้นของซอมบี้ในแผ่นดินตัวเอง ภาพลวงตาเหล่านั้นก็เริ่มพังทลายลงจนนำมาสู่เหตุการณ์ที่ชื่อว่า The Great Panic หรือ "ความแตกตื่นครั้งยิ่งใหญ่" ผู้คนเริ่มตกใจ บางส่วนหนีขึ้นเหนือเข้าสู่แคนาดา ส่วนคนที่ยังอยู่ก็เริ่มสรรหาเครื่องไม้เครื่องอาวุธยุทโธปรณ์ต่างๆ ซึ่งเป็นหาได้ง่ายมากในประเทศอย่างอเมริกา มีอุปทานหมู่ชนิดที่ว่าเริ่มมีการยิงกันเองแบบไม่เลือกหน้า ซอมบี้มั้ยไม่รู้ ยิงหมด เพราะความกลัวและตื่นตระหนก ซึ่งปัญหาทุกอย่างสะสมเพิ่มพูนจนมาบรรจบที่ Battle of Yonkers
"World War Z" โดย Peter Stanimirov (ArtStation)
Yonkers เป็นชื่อเมืองใน New York ติดกับแม่น้ำ Hudson ซึ่ง ณ ที่นี้เหล่าทัพได้นำสรรพกำลังพลของตัวเองมาประจำการจุดต่างๆ ทั่วเมืองเพื่อเป็นการตั้งแนวรับขนาดใหญ่ประจันหน้าสู้กับฝูงซอมบี้ มีการสร้างแนวคอขวดตั้งเป็นทุ่งสังหาร มีการวางกระสอบทราย ขุดหลุมเพลาะ ขุดหลุมต่อสู้บุคคล เหมือนกับหลุดมาจากในหนังสงครามเย็นยังไงยังงั้น นอกจากนั้น มีการนำอาวุธทันสมัยมากมาย รถถัง รถหุ้มเกราะลำเลียง แม้แต่รถวางสะพาน จนไปถึงเทคโนโลยีการล้ำสมัย อย่างเครื่องยิงจรวดต่อต้านอากาศยาน เครื่องกวนสัญญาณเรดาร์ และระบบสื่อสาร Land Warrior ที่แต่ละคนจะมีหน้าจอจิ๋วติดอยู่ตรงหน้าเพื่อทำให้สามารถมองเห็นว่าทหารคนอื่นเห็นอะไรบ้าง ทั้งหมดนี้มันเป็นการ "ศึกสงคราม" ที่นายพลบิ๊กๆ ทั้งหลายอยากให้เกิดขึ้น ถึงขั้นเรียกพวกนักข่าวทุกสำนักมาถ่ายทอดสดกันให้ดูตลอดเวลา เรียกกันได้เลยว่าตัดหนักจัดเต็ม
แต่ทหารผู้น้อย หรือคนที่ปฏิบัติหน้าที่ด่านหน้าก็รู้ๆ กันอยู่ว่าของพวกนี้มันไร้สาระ เราจะขุดหลุมต่อสู้ วางกระสอบทรายไปทำไม ในเมื่อของแบบนี้มันมีไว้เพื่อกันกระสุนหรืออำพราง แต่ในเมื่อซอมบี้มันไม่ได้ยิงปืน แถมจุดประสงค์ของแนวตั้งรับนี้คือการเปิดเผยตัวให้ซอมบี้เข้ามาชนตั้งแต่แรก แล้วมันจะไปมีประโยชน์อะไร? แถมมีการตั้ง FOL (Family of Latrine) หรือส้วมทหารให้มันเกะกะทางทำไมในเมื่อระบบประปาของเมืองก็ยังใช้ได้ หมายความว่าส้วมในพวกตึกรามบ้านช่องที่ร้างๆ ไปต่างก็ยังใช้ได้เหมือนกัน
WWZ - The Battle of Yonkers โดย DanLuVisiArt (DeviantArt)
ซึ่งภายหลัง เรามาพบว่าทั้งหมดนี้มันก็เป็นแค่ภาพลวงตาอีกนั่นแหละ เป็นการพยายามของรัฐที่จะทำให้ตัวเองดูเป็นฮีโร่ อยากโฆษณาให้ประชาชนได้เห็นว่ารัฐมั่นใจในฝีมือในการรับมือของตัวเองจนถึงขนาดเรียกกองทัพนักข่าวมาทำข่าวอย่างไม่หยุดหย่อน คนที่ทำงานส่วนหน้า (ทหารผู้น้อย) เนี้ยรู้สึกขัดใจกับยุทธวิธีและการบริหารการจัดการที่ล้าหลังของคนที่ทำงานอยู่ส่วนหลัง (นายพล ผู้บังคับบัญชาต่างๆ) มากซะจนตั้งฉายาให้พวกนี้ว่าเป็น FF หรือ Fulda Fucktards
(ต้นกำเนิดมาจากชื่อช่องว่าง Fulda Gap ที่เป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญในช่วงสมัยสงครามเย็น เป็นที่ที่โซเวียตสามารถใช้กองกำลังทหารบุกรุกรานเยอรมันตะวันตกได้ตลอดเวลา จึงก่อให้เกิดเป็นหลักนิยมทางการรบสำหรับพวกโรงเรียนทหารและวิทยาลัยสงครามในสมัยนั้น -- หรือง่ายๆ ก็คือพวกหัวโบราณทางยุทธศาสตร์ที่คิดว่าสงครามต้องสู้แบบเดียว บริหารจัดการอะไรต้องทำแบบเดียวเท่านั้น)
แค่นั้นยังไม่พอ การนำรถถัง นำรถหุ้มเกราะมาวางเป็นเรื่องดี แม้จริงๆ จะเอามาโชว์เป็น power projection แต่ด้วยความเย่อหยิ่งใน firepower ตัวเอง ทางรัฐหรือผู้รับผิดชอบไม่ได้ให้กระสุนที่มากพอกับยุทโธปกรณ์เหล่านี้ เพราะพวกเขาคิดว่าซอมบี้อาจไม่เยอะขนาดนั้น
จนสุดท้ายศึกแห่งยองเกอรส์ เป็นศึกที่นองเลือดที่สุดใน WWZ และเป็นที่อับอายขายหน้าต่อประชาชนอเมริกัน กองทัพพ่ายแพ้ราบคาบ ทหารหนีทัพ นักข่าววิ่งกันอย่างแตกตื่น ฝูงซอมบี้นับล้าน (ก็จำนวนประชากรเมืองนิวยอร์คอะนะ) บดขยี้แนวตั้งรับของทหารไปพร้อมกับภาพลักษณ์ของรัฐที่พยายามจะโปรโมตว่า "ฉันจัดการได้" จนในที่สุดรัฐบาลต้องทิ้ง Eastern Seaboard แล้วให้กองทัพร่นถอยกลับไปตั้งหลักที่เทือกเขา Rocky
"Yonkers" โดย John Petersen
แม้ Battle of Yonkers โดยแก่นอาจจะเป็นการวิพากษ์ถึงหลักนิยม Rapid Dominance หรือการ show of force ของอเมริกา ที่เน้นความหวือหวาของอำนาจการทำลายล้างสร้างความกลัวกับคู่ต่อสู้แบบเดียวกับ Blitzkrieg ในสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่มันก็สามารถมองได้เป็นความล้มเหลวในการเตรียมการ บริหารจัดการ รวมไปถึงความประมาทในการประเมินสถานการณ์ ที่สุดท้ายกลับ backfire เข้าใส่หน้าตัวเอง
โฆษณา