[Histofun Deluxe] 🇸🇩🇸🇸 สรุปแบบรวบรัด ความขัดแย้งในซูดาน การแยกประเทศของซูดานใต้ และวิกฤตการณ์ในดาร์ฟูร์

สำรวจ
ลงทุน
คำถาม

มีบัญชีอยู่แล้ว?หรือ

Histofun Deluxe

ยืนยันแล้ว

•

2 ส.ค. 2021 เวลา 09:24 • ประวัติศาสตร์

🇸🇩🇸🇸 สรุปแบบรวบรัด

ความขัดแย้งในซูดาน การแยกประเทศของซูดานใต้ และวิกฤตการณ์ในดาร์ฟูร์

Part I ปฐมบทความขัดแย้ง

1. ประเทศซูดานหรือชื่ออย่างเป็นทางการคือ สาธารณรัฐซูดาน (Republic of the Sudan) ในอดีตเคยเป็นประเทศที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของทวีปแอฟริกา

2. โดยซูดานเคยเป็นอาณานิคมของอังกฤษและอียิปต์มาก่อน จนกระทั่งได้รับเอกราชในปี 1956

3. ด้วยความที่ซูดานมีขนาดพื้นที่ใหญ่มาก จึงทำให้ผู้คนที่อาศัยอยู่นั้น มีความแตกต่างทั้งในด้านเชื้อชาติ ภาษา และวัฒนธรรมความเชื่อเป็นอย่างมาก

4. โดยชาวซูดานที่อาศัยอยู่ทางตอนเหนือของประเทศ ส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม และมีเชื้อชาติและวัฒนธรรม คล้ายคลึงกับชาวอาหรับ

5. ในขณะที่ชาวซูดานที่อาศัยอยู่ทางตอนใต้ของประเทศ จะเป็นประชากรแอฟริกาผิวสี ซึ่งส่วนใหญ่นับถือศาสนาคริสต์ และมีบางส่วนนับถือความเชื่อท้องถิ่นแบบชนเผ่าดั้งเดิม

6. โดยรัฐบาลที่มีอำนาจปกครองซูดาน ก็คือชาวมุสลิมที่อาศัยอยู่ทางตอนเหนือของประเทศ แต่รัฐบาลซูดานก็ไร้ซึ่งเสถียรภาพ มีการรัฐประหารโค่นล้มรัฐบาลอยู่บ่อยครั้ง

7. แต่อย่างไรก็ตาม รัฐบาลซูดานที่เป็นมุสลิมนี้ ก็มีความต้องการที่จะให้ประเทศ ถูกปกครองภายใต้กฎหมายชารีอะฮ์ของอิสลาม

8. ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้ชาวซูดานที่อาศัยอยู่ทางใต้เกิดความไม่พอใจต่อรัฐบาล พวกเขามีความต้องการที่จะแยกตัวเป็นอิสระ จึงจับอาวุธต่อสู้กับรัฐบาล ดังนั้นจึงนำไปสู่สงครามกลางเมืองซูดานครั้งที่ 1 (First Sudanese Civil War)

กองกำลังทหารเด็กในช่วงสงครามกลางเมืองครั้งที่ 1

9. นอกจากเรื่องความแตกต่างด้านเชื้อชาติและศาสนาแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้รัฐบาลซูดานไม่ยอมให้ซูดานใต้แยกตัวเป็นอิสระนั้น ก็เป็นเพราะซูดานใต้เป็นแหล่งที่ตั้งของทรัพยากรสำคัญอย่างน้ำมัน ที่มีอยู่ในซูดานใต้มากถึง 80%

10. ท้ายที่สุดสงครามครั้งนี้ก็สิ้นสุดลงในปี 1972 โดยมีการทำข้อตกลงยุติสงคราม และรัฐบาลซูดานก็ได้ให้พื้นที่ซูดานใต้จัดตั้งเป็นเขตปกครองตนเอง เพื่อยุติความขัดแย้ง

11. แต่ปรากฏว่าในปี 1983 รัฐบาลซูดานได้บัญญัติกฎหมายชารีอะฮ์ไว้ในรัฐธรรมนูญของประเทศอย่างเป็นทางการ สงครามกลางเมืองซูดานครั้งที่ 2 (Second Sudanese Civil War) จึงเกิดขึ้น

Part II การแยกประเทศของซูดานใต้

12. ท่ามกลางช่วงเวลาของสงครามนั้น ปรากฏว่าในปี 1989 ภายในรัฐบาลของซูดานก็ได้เกิดการเปลี่ยนแปลง เพราะได้เกิดการรัฐประหารขึ้นโดยนายพล โอมาร์ อัล-บาชีร์ (Omar al-Bashir) ซึ่งนายพลคนนี้ จะครองอำนาจอยู่ในซูดานยาวนานกว่า 30 ปี

โอมาร์ อัล-บาชีร์ อดีตประธานาธิบดีของซูดาน (ครองอำนาจ 1989-2019)

13. ทั้งสองฝ่ายทำการสู้รบอย่างยาวนาน จนกระทั่งในปี 2002 ทั้งสองฝ่ายได้ทำข้อตกลงหยุดยิง ก่อนที่ในปี 2005 จะมีการทำสนธิสัญญาเพื่อยุติสงคราม

14. โดยฝ่ายซูดานใต้จะจัดตั้งเขตปกครองตนเองอีกครั้ง (หลังจากที่ถูกยุบไปในปี 1983) และจะมีการทำประชามติในซูดานใต้เพื่อแยกตัวเป็นอิสระจากซูดาน

15. ซึ่งการลงประชามติในซูดานใต้ก็มีขึ้นในเดือนมกราคม 2011 โดยผลก็คือ ชาวซูดานใต้มากถึง 98.83% ต้องการแยกตัวจากซูดาน ดังนั้นในเดือนกรกฎาคม 2011 ซูดานใต้จึงได้แยกตัวเป็นอิสระจากซูดาน และสถาปนาสาธารณรัฐซูดานใต้ (Republic of South Sudan) ขึ้นมา นับเป็นประเทศใหม่ล่าสุดของโลก

16. แต่ทว่าหลังจากแยกตัวจากซูดาน ปรากฏว่าภายในซูดานใต้เอง ก็เกิดสงครามกลางเมือง (South Sudanese Civil War) ที่แย่งชิงอำนาจกันเอง ระหว่างฝ่ายประธานาธิบดีซัลวา คีร์ มายาร์ดิต (Salva Kiir Mayardit) กับฝ่ายต่อต้านรัฐบาลที่นำโดย รีค มาชาร์ (Riek Machar)

สงครามกลางเมืองในซูดานใต้เป็นการต่อสู้ระหว่างประธานาธิบดีซัลวา คีร์ กับรองประธานาธิบดีรีค มาชาร์

17. โดยสงครามเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ปี 2013 จนสิ้นสุดลงในปี 2020 ที่ผ่านมา โดยมีการจัดตั้งรัฐบาลเอกภาพระหว่างทั้งสองฝ่ายขึ้นเพื่อยุติความขัดแย้ง (มาร์ยาร์คิตยังเป็นประธานาธิบดีของซูดานใต้ โดยมีมาชาร์เป็นรองประธานาธิบดี)

18. นอกจากนี้ในปัจจุบัน ซูดานใต้ก็ยังมีกองกำลังรักษาสันติภาพของสหประชาชาติ (UN Peacekeepers) ที่ได้เข้ามาประจำการตั้งแต่ปี 2011

Part III วิกฤตการณ์ในดาร์ฟูร์

19. นอกจากที่รัฐบาลซูดานจะทำสงครามกับซูดานใต้แล้ว ก็ยังมีอีกหนึ่งสงครามที่เกิดขึ้นเช่นกัน ซึ่งก็คือสงครามในดินแดนดาร์ฟูร์ (Darfur)

20. ดาร์ฟูร์เป็นดินแดนที่ตั้งอยู่ทางด้านตะวันตกของซูดาน โดยประชากรส่วนใหญ่ในดาร์ฟูร์ จะเป็นชาวแอฟริกันผิวสี และนับถือศาสนาอิสลาม

แผนที่ของซูดาน ซูดานใต้ และดาร์ฟูร์

21. แม้ว่าจะเป็นชาวมุสลิมเหมือนกับชาวซูดานที่อยู่ตอนเหนือ แต่ชาวดาร์ฟูร์ก็ไม่พอใจต่อรัฐบาลมุสลิมของซูดานเหมือนกัน ชาวดาร์ฟูร์จึงมีความต้องการที่จะแยกตัวเป็นอิสระจากซูดาน เฉกเช่นเดียวกันกับซูดานใต้

22. ทำให้ในปี 2003 รัฐบาลซูดานภายใต้การนำของประธานาธิบดีอัล-บาร์ชีร์ จึงส่งกองทัพบุกเข้าไปในดาร์ฟูร์ ซึ่งกองกำลังซูดานที่บุกโจมตีดาร์ฟูร์นี้ ก็คือกองกำลังที่เรียกว่า จานจาวีด (Janjaweed | แปลว่าทหารม้าถือปืน)

23. กองกำลังจานจาวีดขึ้นชื่อในด้านของการสู้รบและมีความโหดเหี้ยม จานจาวีดได้สังหารผู้คนเป็นจำนวนมาก แต่ส่วนใหญ่กลับไม่ใช่กองกำลังของชาวดาร์ฟูร์ แต่กลับกลายเป็นพลเรือนชาวดาร์ฟูร์ที่ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับสงคราม

24. จานจาวีดได้สังหารพลเรือนชาวดาร์ฟูร์ด้วยความโหดเหี้ยมทารุณ รวมไปถึงมีการทารุณกรรมและข่มขืนสตรีชาวดาร์ฟูร์ นำไปสู่เหตุฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในดาร์ฟูร์ (Darfur Genocide) ที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตมากถึง 3 แสนคน และมีชาวดาร์ฟูร์อพยพไปยังประเทศเพื่อนบ้านมากกว่า 3 ล้านคน

25. ทำให้ในปี 2007 สหประชาชาติจึงส่งกองกำลังรักษาสันติภาพเข้ามาปฏิบัติการในดาร์ฟูร์ เพื่อยุติเหตุเลวร้ายในดาร์ฟูร์ (แต่แน่นอนว่าเหตุความไม่สงบก็ยังคงมีอยู่ และกองกำลัง UN Peacekeepers ก็ยังปฏิบัติการอยู่ในดาร์ฟูร์จนถึงปัจจุบัน)

กองกำลัง UN Peacekeepers ในดาร์ฟูร์

26. ผลพวงของเหตุฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ยังทำให้ศาลอาญาระหว่างประเทศ (International Criminal Court | ICC) ได้ตั้งข้อหาประธานาธิบดีอัล-บาร์ชีร์ ของซูดาน ในข้อหาอาชญากรสงครามและมีส่วนต่อการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์

Part IV สถานการณ์ปัจจุบันในซูดาน

27. หลังจากประธานาธิบดีอัล-บาร์ชีร์ ครองอำนาจในซูดานยาวนานกว่า 30 ปี ประชาชนชาวซูดานก็ได้ออกมาชุมนุมประท้วงเพื่อขับไล่เขา โดยมีการชุมนุมครั้งใหญ่ในช่วงเดือนธันวาคม 2018

28. แม้ว่าอัล-บาร์ชีร์ จะให้สัญญากับกลุ่มผู้ชุมนุมว่า เขาจะปฏิรูปให้ซูดานมีความเป็นประชาธิปไตย แต่กลุ่มผู้ชุมนุมก็ไม่เชื่อในสิ่งที่อัล-บาร์ชีร์ พูด เหตุประท้วงจึงลุกลามไปทั่วประเทศซูดาน

29. ในช่วงเวลาที่ประเทศกำลังเกิดวิกฤต ปรากฏว่าในวันที่ 11 เมษายน 2019 กองทัพซูดานก็ได้ก่อการรัฐประหารโค่นล้มอัล-บาร์ชีร์ ท่ามกลางความยินดีจากประชาชนซูดาน โดยกองทัพได้ให้สัญญาว่า จะมีการจัดการเลือกตั้งตามวิถีประชาธิปไตย และจัดตั้งรัฐบาลพลเรือนในเวลาอีกไม่นาน

30. แต่ประชาชนซูดานก็รู้ว่า กองทัพซูดานจะไม่ทำตามสัญญาที่ให้ไว้อย่างแน่นอน ดังนั้นประชาชนซูดานจึงออกมาชุมนุมประท้วงอีกครั้งในเดือนมิถุนายน 2019 โดยต้องการให้กองทัพสละอำนาจ และจัดการเลือกตั้งในทันที

31. ผลปรากฏว่า กองทัพซูดานได้สั่งสลายการชุมนุมในเมืองหลวงกรุงคาร์ทูม (Khartoum) ด้วยความรุนแรง นอกจากนี้ยังสั่งการให้กองกำลังจานจาวีดเข้ามาสลายการชุมนุมในครั้งนี้ด้วย ผลก็คือทำให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 120 คน และบาดเจ็บอีกกว่า 650 คน (มีการรายงานว่า จานจาวีดยังทำการข่มขืนสตรีที่เข้าร่วมการชุมนุมอีกด้วย)

32. ปัจจุบันซูดานถูกปกครองโดยหน่วยงานที่เรียกว่า สภาอธิปไตยแห่งซูดาน (Sovereignty Council | พัฒนามาจากรัฐบาลชั่วคราวของคณะรัฐประหาร) โดยมีนายพล อับเดล ฟัตตาห์ อัล-บูรฮาน (Abdel Fattah al-Burhan) ดำรงตำแหน่งเป็นผู้นำสูงสุดของซูดาน

อับเดล ฟัตตาห์ อัล-บูรฮาน ผู้นำสูงสุดคนปัจจุบันของซูดาน

33. โดยรัฐธรรมนูญของซูดานที่ถูกบัญญัติขึ้นโดยคณะรัฐประหารก็ได้มีการระบุว่า ภายในปี 2022 จะมีการจัดการเลือกตั้งเพื่อจัดตั้งรัฐบาลพลเรือน (ซึ่งไม่รู้ว่าจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่)

*** Reference

• https://www.bbc.co.uk/news/world-africa-14095300

• https://www.bbc.com/news/world-africa-48511226

• https://carnegieendowment.org/2012/05/16/sudan-from-conflict-to-conflict-pub-48140

• https://www.vox.com/world/2016/12/8/13817072/south-sudan-crisis-explained-ethnic-cleansing-genocide

• https://www.thenewhumanitarian.org/news-feature/2021/4/8/whats-behind-the-rising-violence-in-sudans-darfur

#HistofunDeluxe

โฆษณา

ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน

ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน