10 ส.ค. 2021 เวลา 12:59 • ปรัชญา
"เพราะแสวงหา มิใช่รอคอย
เพราะเชี่ยวชาญ มิใช่เพราะโอกาส
เพราะสามารถ มิใช่เพราะโชคช่วย
ดังนี้แล้วลิขิตฟ้าหรือจะสู้มานะตน"
เป็นคำกล่าวของขงเบ้ง ปราชญ์ที่เก่งกาจด้านการทหาร คำกล่าวที่ว่านี้แสดงถึงสัจธรรมความพากเพียรอย่างถึงที่สุด น่าสนใจยิ่งทั้งโดยเนื้อหา ทั้งโดยนัยยะ
ทุกสิ่งในโลกนี้ไม่มีหรอกที่มันจะเดินมาหาเราเองโดยที่เราไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับมันเลย นอกเสียจากเรื่องเดียวที่จะเดินเข้ามา นั่นคือ " ปั ญ ห า " ปัญหาจะเดินเข้ามาหาคนที่ไม่เรียนรู้ และไม่พัฒนา แล้วจะบีบคั้นเขาให้ต้องทําอะไรสักอย่าง
ก่อนที่ปัญหาจะเดินมาหาเรา เราควรที่จะแสวงหาความสามารถ ความรู้ ความจริงสิ่งที่อยากเป็น แสวงหาสิ่งที่จะทำในอนาคต และรู้ตัวเองว่าเราจะทำแบบไหนให้ดีที่สุด
การแสวงหาอาจดูล่องลอย และไร้น้ำหนัก ขาดรูปธรรม แต่ก็เป็นสิ่งจำเป็นยิ่งในการดำเนินชีวิต เพื่อพัฒนาให้ต่อเนื่อง การที่เรารู้ว่าเราอยากเป็นอะไร จะทำให้เรามุ่งไปในเส้นทางนั้นได้เต็มที่ คนที่จะประสบความสำเร็จย่อมรู้ว่าเขาอยากเป็นอะไร มีความสุขในสิ่งที่เป็น และสิ่งที่ทำ ทางแห่งความสำเร็จอยู่ที่เรารู้ตัวว่าอยากเป็นอะไร แล้วดำเนินไปสู่ทิศทางนั้น
เรื่องขำขันที่เคยได้ยินมาเรื่องหนึ่งเล่าว่า เด็กหญิงคนหนึ่งเกิดอุบัติเหตุตกลงไปในแม่น้ำที่เป็นบ่อจระเข้ มีจระเข้อยู่รายรอบตัว ในนาทีคับขันนั้น ทุกคนที่ริมฝั่งก็ได้เห็นชายคนหนึ่งกระโดดจากสะพานลงไปในน้ำ ว่ายรี่ไปยังตำแหน่งเด็กหญิงนั้น และช่วยเธอขึ้นมาได้อย่างปลอดภัย ทุกคนปรบมือชื่นชมวีรบุรุษคนนั้น
ใครคนหนึ่งถามเขาว่า
"คุณเยี่ยมมาก คุณยอดจริง ๆ ที่กระโดดลงไปในน้ำอย่างนั้น คุณไม่กลัวจระเข้เหรอ คุณกล้าหาญมากที่ลงไปช่วยเธอได้ คุณอยากได้อะไร ผมยินดีมอบให้คุณตามที่คุณต้องการ เพื่อเป็นการแสดงน้ำใจ คนดีควรมีสิ่งตอบแทน"
ชายคนนั้นยืนหอบหายใจแล้วตอบว่า
"ผมไม่ต้องการอะไร ผมอยากรู้แค่ว่าใครเป็นคนถีบผมลงไปในน้ำ"
ในหนังสือเสริมกำลังใจชุด 5 เรื่องสองแขนที่กอดโลก ของ วินทร์ เลียววาริณ เขียนไว้น่าคิดว่า
อาจมีสักครั้งหรือสองครั้ง บางคนอาจโชคดี ถูก 'ถีบลงน้ำ' ได้รับซองขาวพร้อมบัตรเชิญให้ออกจากงาน
เหตุผลอาจเป็นการทำงานไม่บรรลุเป้าหมายขององค์กรหรือเพื่อการเสียสละ ปลดออกเพื่อลดภาระของบริษัทในยามเศรษฐกิจป่วยเรื้อรัง มันเกิดขึ้นได้กับทุกคน ตั้งแต่ตำแหน่งเล็ก ๆ ไปจนถึงตำแหน่ง CEO แม้แต่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีก็ยังถูกปลดได้!
บางครั้งการถูก 'ถีบลงน้ำ' ก็เกิดขึ้นกับทั้งองค์กร เมื่อลูกค้าของบริษัทหลุดลอยไปหรือตลาดของบริษัทล้ม ฯลฯ
ไม่ว่าการถูกถีบจะเป็นรูปแบบใดก็ให้ความรู้สึกแย่ทั้งนั้น สตีฟ จอบส์ ตำนานผู้ร่วมสร้างสรรค์ประดิษฐกรรมคอมพิวเตอร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดระบบหนึ่งของโลก คือ แอปเปิ้ล (แมคอินทอช) ถูกไล่ออกจากบริษัทที่เขาร่วมก่อตั้งในปี พ.ศ. 2528
20 ปีต่อมา เขากล่าวปาฐกถาที่มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดถึงประสบการณ์เลวร้ายครั้งนั้นว่า
"ผมมองไม่เห็นตอนนั้นหรอก แต่กลายเป็นว่าการถูกไล่ออกจากแอปเปิ้ลกลับเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่เกิดขึ้นกับผม น้ำหนักมหาศาลของความสำเร็จถูกแทนที่ด้วยความเบาสบายของการเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง มันปลดปล่อยผม เพื่อให้เข้าไปสู่ช่วงเวลาที่สร้างสรรค์ที่สุดช่วงหนึ่งในชีวิต"
เขาไปก่อตั้งบริษัทใหม่ เข้าสู่วงการใหม่ ๆ ที่เขาไม่เคยลองมาก่อน เช่น ภาพยนตร์คอมพิวเตอร์แอนิเมชัน และสร้างงานคอมพิวเตอร์ระบบใหม่ จนบริษัทที่ไม่ต้องการเขาก็ขอซื้อกิจการของเขา และในที่สุดเขาก็กลับไปยิ่งใหญ่ในแอปเปิ้ลอีกครั้ง สร้างสรรค์แนวทางใหม่ ๆ เช่น ระบบ Mac OSX, iMac, iTunes, iPod ฯลฯ จนมีคนเรียกตำแหน่งของเขาว่า iCEO
การถูก 'ถีบลงน้ำ' ไม่ใช่เรื่องแย่เสมอไป หากคุณยังรักษาทัศนคติที่ดีในชีวิตไว้ได้ หากคุณมองมันว่าเป็นการเปิดโอกาสให้คุณอีกครั้ง หากคุณไม่ลนลาน และวิตกเกินไป คุณอาจพบว่าสิ่งที่มาพร้อมกับการถูกถีบลงน้ำ คือ อิสรภาพ และมุมมองใหม่
นี่เป็นโอกาสที่คุณจะได้วิเคราะห์ทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้น สิ่งที่คุณได้กระทำ คุณจะได้รู้ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา คุณเดินถูกทางหรือไม่ ต้องปรับปรุงแก้ไขตัวเองในจุดใดบ้าง
บางครั้งการหยุดหนึ่งก้าวเพื่อดูลาดเลาก่อนก้าวต่อไป เป็นสิ่งที่ดี งานที่คุณลงไปลอยคออยู่นั้นอาจเย็นเฉียบ แต่มันก็ช่วยชำระล้างคราบฝุ่นที่เกาะตา ทำให้มองเห็นทางสายอื่นที่ยังไม่ได้เดิน และโอกาสอื่น ๆ ที่คุณยังไม่กล้าทำ
เมื่อคิดว่าไหน ๆ ก็ลงน้ำแล้ว ก็ว่ายต่อไปก็แล้วกัน โอกาสย่อมไม่เท่ากับศูนย์อย่างแน่นอน เวลาไม่อาจหวนคืน เราจึงต้องตระหนักถึงคุณค่าของเวลา และรู้จักใช้เวลาให้เกิดประโยชน์สูงสุด ไม่ว่าจะเป็นการถูกถีบหรือการใช้ชีวิต การรู้จักสร้างโอกาสให้แก่ชีวิตก็เป็นสิ่งจำเป็น
ลองคิดเล่น ๆ ว่าถ้าเรามีชีวิตเหลืออีก 1 ปี หรือ 365 วัน เราจะใช้มันอย่างไร อะไรบ้างที่เรายังไม่ได้ลงมือทำ เรามาลองคิดถึงเวลาที่เหลืออยู่ของเรา หากคิดที่อายุขัย 60 ปี วันเวลาที่เหลือในชีวิต
ถ้าตอนนี้เราอายุ 20 ปี เวลาที่เหลือคือ 14,600 วัน
ถ้าตอนนี้เราอายุ 30 ปี เวลาที่เหลือคือ 10,950 วัน
ถ้าตอนนี้เราอายุ 40 ปี เวลาที่เหลือคือ 7,300 วัน
ถ้าตอนนี้เราอายุ 50 ปี เวลาที่เหลือคือ 3,650 วัน
ถ้าตอนนี้เราอายุ 55 ปี เวลาที่เหลือคือ 1,825 วัน
ถ้าตอนนี้เราอายุ 59 ปี เวลาที่เหลือคือ 365 วัน
สภาพชีวิตที่ทุกคนต้องประสบพบเจอ คือ การเกิด แก่ เจ็บ และตาย เนื่องจากชีวิตของคนเราสั้นนัก เวลาผ่านไปไม่กี่ปีก็แก่ชรา วัยหนุ่มสาวเป็นวัยที่ร่างกาย และจิตใจแข็งแรง ด้วยเหตุนี้หนุ่มสาวจึงควรสนใจเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ อย่างจริงจัง ไม่ปล่อยให้ชีวิตล่องลอยไร้จุดหมาย เมื่อถึงเวลาที่จะต้องทำงานหรือดำรงชีวิตต่อไปในสังคมก็จะอยู่ได้อย่างมีความสุขทั้งแก่ตนเอง และผู้อื่น
" ค ว า ม พ า ก เ พี ย ร น ำ สุ ข ม า ใ ห้ "
• • • • •
พระมหาปรีชา ปภสฺสโร
.. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. ..
ที่มา : หนังสือ "ศาสตร์สู่ความสุข"
|เรียนรู้สุขอย่างไม่หลงมัวเมาผ่านกระแสสังคมบริโภค
โฆษณา