Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
KidKorn คิดก่อน
•
ติดตาม
5 ส.ค. 2021 เวลา 06:28 • นิยาย เรื่องสั้น
ม่านประเพณี ตำนานรักผีเสื้อจากจีน : การปลอมตัวเป็นชาย และ ค่านิยมในสังคม
การปลอมตัวเป็นชายปรากฏค่อนข้างมากในนิทานพื้นบ้าน และ งานประพันธ์ของจีน รวมถึงหลายๆประเทศในเอเชียด้วย วันนี้เราจะมาวิเคราะห์มุมมองใหม่ๆ เรื่องของการปลอมตัวเป็นชายและค่านิยมของสังคม จากตำนานรักอันโด่งดังที่ขึ้นชื่อว่าเป็นโรมิโอจูเลียตแห่งเอเชีย อย่างเรื่อง เหลียงจู้ (Liang-Zhu) ตำนานรักผีเสื้อ หรือ ที่เรารู้จักกันดีในชื่อ ม่านประเพณี
เรื่อง เหลียงจู้ มาจากการรวมชื่อของตัวละคร คือ เหลียงซานป๋อ และ จู้อิงไถ เรื่องนี้เป็น 1 ใน 4 นิทานเอกของจีน อันได้แก่ หนุ่มเลี้ยงวัวกับสาวทอผ้า (牛郎织女) เมิ่งเจียงหนี่ว์ สตรีผู้ร้องไห้จนกำแพงเมืองจีนถล่ม (孟姜女) นางพญางูขาว (白蛇传) และ เหลียงจู้ ตำนานรักผีเสื้อ (梁祝)
เรื่องของเหลียงจู้ หรือ ตำนานรักผีเสื้อ เกิดขึ้นที่เมืองเจ้อเจียง สมัยราชวงศ์ตงจิ้น ประมาณ ค.ศ. 317–420
1
เรื่องเริ่มต้นที่บ้านของตระกูลผู้ดี ตระกูลจู้ เมื่อธิดาคนเดียวของตระกูล นามว่า จู้อิงไถ ขอบิดาไปศึกษาในสำนักวิชาที่เมืองหางโจว จู้อิงไถเป็นหญิงสาวที่ฉลาดหลักแหลม และ อยากเรียนหนังสือ
แต่ในยุคนั้นหน้าที่ของหญิงสาว คือ การอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน การเรียนหนังสือไม่ใช่เรื่องของผู้หญิงเลย บิดาของเธอจึงได้ปฏิเสธ ไม่อนุญาตให้เธอไปเรียน
บางเวอร์ชั่นเล่าว่า จู้อิงไถปลอมตัวเป็นหมอดู เพื่อมาทักบิดาว่า ธิดาของตระกูลนี้กำลังประสบโชคร้าย ต้องให้ธิดาผู้นี้ออกเดินทางไกลเพื่อแก้เคล็ด ทำให้บิดาของเธอลังเล แล้วหมอดูก็เฉลยว่าเธอคือจู้อิงไถปลอมตัวมา เพื่อพิสูจน์ว่าเธอสามารถปลอมตัวเป็นชายได้อย่างแนบเนียน สามารถตบตาบิดาและคนอื่นๆได้ เพื่อไม่ให้บิดาต้องไม่สบายใจว่าเธอเป็นหญิงสาวจะได้รับอันตรายจากการเดินทางไกล
3
บิดาของเธอสุดท้ายด้วยเห็นแก่ธิดาคนเดียว ก็เลยตกลงยอมให้เธอไปเรียนได้ โดยมีข้อแม้ว่าเธอต้องเดินทางไปกับสาวรับใช้ และทั้งคู่ต้องปลอมตัวเป็นชายตลอดระยะเวลาที่เดินทางและไปเรียน
ระหว่างทางฝนตกหนัก จู้อิงไถและสาวใช้ ที่ปลอมตัวเป็นชายอยู่ ได้เข้าหลบฝนที่ศาลาแวะพัก ที่นั่นจู้อิงไถได้พบกับเหลียงซานป๋อ ซึ่งกำลังเดินทางไปเรียนที่สำนักวิชาที่เมืองหางโจวเช่นเดียวกัน ทั้งสองจึงได้สนทนาพูดคุยกัน
ระหว่างสนทนา สาวรับใช้ได้หลุดปากเรียกจู้อิงไถว่าคุณหนู ทำให้เธอต้องรีบแก้ตัวว่าตัวเธอมีน้องสาวฝาแฝดที่อยากเดินทางมาเรียนด้วย แต่เนื่องจากเป็นหญิงสาวจึงไม่สามารถติดตามมาเรียนได้
เหลียงซานป๋อได้ฟังจึงออกความเห็นว่า แท้จริงแล้วชายหญิงเกิดจากบิดามารดาเช่นเดียวกัน จึงควรได้โอกาสร่ำเรียนเหมือนกัน ทำให้จู้อิงไถปลื้มในความเห็นของเหลียงซานป๋อ
ทั้งคู่พูดคุยกันถูกคอ จึงคุกเข่าสาบานต่อสวรรค์ให้เป็นพี่น้องกัน โดยเหลียงซานป๋อเป็นศิษย์พี่ และ จู้อิงไถเป็นศิษย์น้อง ทั้งคู่สัญญาว่าจะดูแลซึ่งกันและกัน
เมื่อทั้งคู่เดินทางถึงสำนักวิชา ก็ได้เป็นเพื่อนร่วมห้องพักเดียวกัน ความผูกพันของทั้งคู่ก่อตัวขึ้นเรื่อยๆตลอดระยะเวลา 3 ปี ทั้งคู่ดูแลซึ่งกันและกันเป็นอย่างดี ตอนที่เหลียงซานป๋อไม่สบาย ก็มีจู้อิงไถคอยดูแล กลับกันตอนที่จู้อิงไถต้องหาบน้ำหนักๆ เหลียงซานป๋อก็มาช่วยหาบ
ด้วยบุคลิกที่ใสซื่อและอ่อนโยน เหลียงซานป๋อไม่เคยสงสัยหรือเอะใจเรื่องที่จู้อิงไถเป็นผู้หญิงเลย แต่กลับสงสัยในตัวเองว่าความรู้สึกที่เขามีให้จู้อิงไถเป็นความรักแบบพี่น้องจริงๆหรือไม่
วันหนึ่งจู้อิงไถได้รับจดหมายจากบิดาของเธอ แจ้งว่าบิดาของเธอป่วยหนักมาก ขอให้จู้อิงไถรีบเดินทางกลับมาดูใจ
1
ก่อนเดินทางกลับ จู้อิงไถเปิดเผยความลับที่เธอเป็นหญิงให้กับภรรยาของอาจารย์เธอทราบ และ ขอร้องให้เธอช่วยเก็บจี้สร้อยคอที่ทำจากหยกไว้ให้เป็นของที่ระลึกกับเหลียงซานป๋อ
ก่อนที่จะต้องจากกัน จู้อิงไถได้พยายามบอกใบ้ความรู้สึกของเธอต่อเหลียงซานป๋อมาโดยตลอด ครั้งหนึ่งทั้งคู่เดินเล่นอยู่ริมน้ำ มีเป็ดสองตัวว่ายมาเป็นคู่ (เป็ดคู่เป็นสัญลักษณ์ของคู่รักในวัฒนธรรมจีน) จู้อิงไถพยายามเปรียบเปรยว่าเธอและเหลียงซานป๋อเหมือนกับเป็ดคู่นี้เลย
แต่เหลียงซานป๋อก็ไม่เข้าใจ หรือ เอะใจใดๆ
ก่อนจากกัน จู้อิงไถได้นัดพบกับเหลียงซานป๋อที่ศาลาริมทางที่พบกันครั้งแรก เธอพยายามถามว่าถ้าเธอเป็นผู้หญิง เหลียงซานป๋อจะรับรักเธอหรือไม่ แต่เหลียงซานป๋อไม่เข้าใจในสิ่งที่จู้อิงไถพยายามจะบอก เธอจึงได้กล่าวว่า เธอมีน้องสาวฝาแฝดที่รูปร่างหน้าตาเหมือนกับเธอ อยากจะฝากฝังน้องสาวเธอให้กับเหลียงซานป๋อ และให้เขาไปสู่ขอเธอที่บ้าน
เหลียงซานป๋อรับคำสัญญาว่าเรียนจบแล้วจะรีบไปสู่ขอน้องสาวฝาแฝดที่บ้านเธอทันที
หลังจากนั้นทั้งคู่ก็ร่ำลาและแยกทางกัน
เมื่อจู้อิงไถเดินทางมาถึงบ้าน เธอพบว่าบิดาของเธอแข็งแรงปกติดีทุกอย่าง ไม่ได้เจ็บป่วยได้ไข้ใดๆ แต่ที่เขาอยากให้ธิดารีบกลับมา เนื่องจากเขาได้ไปสัญญารับคำว่าจะให้จู้อิงไถแต่งงานกับลูกชายของขุนนางตระกูลหม่า ที่ร่ำรวยและมีอิทธิพลมาก
โลกของจู้อิงไถแทบพังลงต่อหน้า เธอขอร้องให้บิดาปฏิเสธการแต่งงานของเธอกับลูกชายท่านขุนนาง แต่บิดาของเธอบอกว่าเขาได้รับของหมั้นมาแล้ว เขาได้ดื่มเหล้าสัญญากับท่านขุนนางไปแล้วว่าจะรีบจัดงานแต่งงาน เท่ากับว่าผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายได้ยินยอมไปแล้ว ไม่สามารถยกเลิกได้
จู้อิงไถไม่ยอม ยังคงขอร้องให้บิดาปฏิเสธการแต่งงานครั้งนี้ บิดาของเธอจึงไปคาดคั้นกับสาวใช้ว่า จู้อิงไถได้พบรักกับชายใจระหว่างที่ไปเรียนหรือไม่
เวลาผ่านไปจนเหลียงซานป๋อเรียนจบ ภรรยาของอาจารย์ได้มอบจี้สร้อยคอที่ทำจากหยก ที่จู้อิงไถฝากไว้ให้กับเหลียงซานป๋อ และเขาก็รีบเดินทางไปที่บ้านจู้อิงไถเพื่อสู่ขอน้องสาวฝาแฝดตามที่ให้สัญญาไว้
1
เมื่อเหลียงซานป๋อได้เจอกับจู้อิงไถที่เป็นผู้หญิง เขารู้ได้ทันทีว่านี่คือจู้อิงไถคนเดียวกับที่เขาได้รู้จักที่สำนักวิชาเรียน เขารู้ความจริงแล้วว่าจู้อิงไถปลอมตัวเป็นชายมาตลอด ความรู้สึกที่เขามีให้กับจู้อิงไถ คือ ความรักที่มากกว่าพี่น้อง
แต่มันก็สายไปเสียแล้ว จู้อิงไถจะต้องแต่งงานกับลูกชายขุนนาง และเขาไม่สามารถทำอะไรได้เลย เหลียงซานป๋อรู้สึกว่าตนโง่เขลามากที่ผ่านมา และ ความคับแค้นใจในโชคชะตาที่ทำให้ทั้งคู่มิอาจแต่งงานกันได้
บิดาของจู้อิงไถสั่งห้ามไม่ให้ทั้งคู่เจอกันอีก จนเหลียงซานป๋อป่วยหนัก อาการทรุดจากการตรอมใจ บิดาของจู้อิงไถจึงอนุญาตให้ไปเจอเขา และร่ำลาเป็นครั้งสุดท้าย
ก่อนถึงเช้าวันแต่งงาน เหลียงซานป๋อได้สิ้นใจลง และเมื่อจู้อิงไถได้ทราบข่าว เธอร้องไห้เสียใจเป็นอย่างมาก ภายใต้ชุดแต่งงานที่เธอต้องใส่ เธอสวมชุดสีขาวไว้ทุกข์ไว้ข้างใน
ขณะที่ขบวนแต่งงานของเธอต้องออกเดินทาง ได้ผ่านหลุมศพของเหลียงซานป๋อ เธอได้ขอให้ขบวนหยุดเพื่อที่เธอจะได้เคารพหลุมศพของเขาก่อน
บางเวอร์ชั่นเล่าว่า จู้อิงไถเอาศีรษะโขกกับหินหน้าหลุมศพเพื่อฆ่าตัวตาย จะได้ไปอยู่กับเหลียงซานป๋อ หลังจากนั้นวิญญาณของทั้งคู่ได้กลายเป็นผีเสื้อบินคู่กันไปบนท้องฟ้า
บางเวอร์ชั่นเล่าว่า เมื่อจู้อิงไถอยู่ในขบวนแต่งงาน เกิดพายุอย่างหนัก ทำให้ต้องหยุดลงตรงหลุมศพของเหลียงซานป๋อ แผ่นดินตรงหลุมศพได้แยกออก จู้อิงไถจึงกระโดดลงไปในหลุมศพอย่างไม่ลังเล เพื่อนอนเคียงข้างกับเหลียงซานป๋อ และหลุมศพก็ปิดลง
หลังจากนั้น วิญญาณของทั้งคู่ได้กลายเป็นผีเสื้อบินคู่กันไปจากหลุมศพไปยังฟากฟ้า เป็นอิสระจากพันธนาการบนโลกนี้ที่ทำให้ทั้งคู่ไม่อาจครองรักกัน
- ต้นกำเนิดตำนานรักผีเสื้อ -
นักประวัติศาสตร์ได้มีการวิเคราะห์และค้นหาหลักฐาน พบว่ามีบันทึกที่เป็นลายลักษณ์อักษรในช่วงต้นราชวงศ์ถัง (ค.ศ. 618-906)
ตามบันทึกของจางจิ้น (Zhang Jin 1130-1180) บันทึกของเขตหนิงป๋อ มณฑลเจ้อเจียง ว่ามีหลุมศพของหญิงผู้มีคุณธรรม จู้อิงไถและเหลียงซานป๋อ ฝังอยู่ด้วยกัน สิบลี้ทางตะวันตกจากเมือง และบริเวณนั้นมีวัดอยู่
บันทึกนี้มาจากต้นฉบับสมัยก่อนหน้านี้อีกที ซึ่งสูญหายไปแล้วทำให้เราไม่รู้ได้แน่ชัดว่าที่มาที่ไปเรื่องนี้จริงๆ หรือ ถ้ามีสถานที่ที่เป็นหลุมศพจริงๆหรือไม่ และอยู่ตรงไหน
ส่วนผีเสื้อที่ปรากฏในบันทึกของจางจิ้นนั้นไม่มี แต่มาปรากฏในบทกวีของกวีชื่อดังในสมัยราชวงศ์ถัง ซึ่งแต่งให้กับคู่รักเหลียงจู้
ต้นฉบับได้หายไปในช่วงราชวงศ์หมิง ทำให้เรื่องทั้งหมดถูกนำมารวบรวมและเรียบเรียงใหม่ในช่วจักรพรรดิเฉียนหลงแห่งราชวงศ์ชิง
เนื้อหาที่แตกต่างกับเวอร์ชั่นด้านบนที่เล่ากันมา คือ เหลียงซานป๋อรู้ว่าจู้อิงไถเป็นผู้หญิง ตั้งแต่เรียนด้วยกันแล้ว ทำให้เขาเดินทางกลับบ้านเพื่อขอให้บิดามารดามาสู่ขอจู้อิงไถ แต่ระหว่างนั้นจู้อิงไถต้องกลับบ้านไปพอดี เพื่อไปแต่งงานตามที่เล่าไป
ผ่านไป 3 ปี เหลียงซานป๋อได้เดินทางมายังเมืองจิ้น และ ได้เป็นขุนนาง แล้วเรื่องก็เป็นอย่างที่ได้เล่าไป
1
ในตอนท้ายหลังจากที่ทั้งคู่จากไป เจ้าเมืองได้ทราบเรื่องและยกย่องให้จู้อิงไถเป็นหญิงสาวผู้มีคุณธรรม โดยเขียนไว้ที่หลุมศพของเธอด้วย
ในเวอร์ชั่นนี้และเวอร์ชั่นก่อนหน้าที่มีบันทึก จู้อิงไถกับเหลียงซานป๋อไม่สามารถแต่งงานกันเองได้ โดยที่ครอบครัวไม่อนุญาต ตามธรรมเนียมของจีนในสมัยนั้น
ครอบครัวของจู้อิงไถ่ไม่สามารถปฏิเสธการแต่งงานที่ตกลงกันไปแล้วได้ เพราะนั่นจะทำให้ครอบครัวตระกูลจู้เสื่อมเสียเกียรติเป็นอย่างมาก
เรื่องที่บันทึกไม่ได้เป็นในแนวโรแมนติกแบบที่เราอ่านกันด้านบน เป็นความรักที่อยู่บนศีลธรรมของตนเอง และ ครอบครัว ในเรื่องการแต่งงาน และการทำผิดศีลธรรม ก็จะนำพาไปสู่โชคชะตาเช่นนี้
เวอร์ชั่นที่เราอ่านกันด้านบน น่าจะมาจากการปรับแต่งให้ตรงกับยุคสมัย ไปในทางโรแมนติกมากขึ้น โดยมีการเพิ่มไปว่า ตระกูลของจู้อิงไถได้ทำพิธีที่หน้าหลุมศพของเธอและเหลียงซานป๋อ ขณะที่เผาเสื้อผ้าไปให้ ปรากฏเป็นผีเสื้อสองตัวบินวนเวียนอยู่แถวนั้น ผู้คนจึงเรียกผีเสื้อสีเหลืองว่า เหลียงซานป๋อ และเรียกผีเสื้อสีดำว่า จู้อิงไถ
การใส่ผีเสื้อเข้าไปในเรื่อง เป็นการทำให้คู่รักที่พลัดพรากได้กลับมาอยู่ด้วยกัน เป็นการเติมเต็มความสมบูรณ์ให้กับเรื่องมากขึ้น
Credit : https://www.deviantart.com/zhaoliaoyuan/art/The-Butterfly-Lovers-840759754
- เรื่องของการปลอมตัวเป็นชาย -
เรื่องจากจีนที่เรารู้จักกันดีอย่างมู่หลาน ที่มีที่มาจากลำนำมู่หลาน (The Ballad of Mulan) ช่วง ค.ศ. 500-600 มู่หลานปลอมตัวเป็นชายเพื่อเข้าร่วมกับกองทัพในการทำสงครามแทนบิดาของเธอที่แก่ชราแล้ว
ฮวามู่หลาน (Credit : https://www.tor.com/2016/03/24/honor-and-crossdressing-the-ballad-of-mulan/)
สะท้อนการปลอมตัวเป็นชายเพื่อต่อต้านสังคมชายเป็นใหญ่ ที่ผู้หญิงต้องอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน ทำงานบ้าน และจบลงที่แต่งงานกับผู้ชายดีๆซักคน ตามหลักขงจื๊อคือผู้หญิง ต้องเชื่อฟังผู้ชายทั้งหมด 3 คน หนึ่งคือบิดา สองคือสามี สามคือลูกชาย
หน้าที่ของผู้หญิงตามหลักขงจื๊อคือ การเชื่อฟัง และ เคารพอย่างเดียว ตั้งแต่เกิดจนตาย แต่มู่หลานทำให้เห็นได้ว่าผู้หญิงที่มีศีลธรรม ก็สามารถทำดังเช่นที่ผู้ชายทำได้
แต่ก็อาจตีความได้หลากหลาย อาจจะมองได้ว่าการที่มู่หลานต้องออกไปรบแทนบิดา ก็เป็นการทำตามศีลธรรมและการเคารพบิดาตามหลักขงจื๊อเช่นเดียวกัน
ขณะเดียวกันก็สะท้อนค่านิยมความเป็นชายด้วย ว่าผู้ชายในสมัยนั้นต้องแข็งแกร่ง ต้องรบได้ หน้าที่ลูกผู้ชายคือการเป็นทหารไปรบ ถึงจะนับว่ามีเกียรติต่อตนเองและตระกูล
ส่วนเรื่องตำนานรักผีเสื้อ ความเป็นชายจะแตกต่างออกไป ผู้ชายสามารถอ่อนโยนและดูบอบบางได้ และเป็นนักปราชญ์ที่เข้าถึงศาสตร์และศิลป์
แต่หน้าที่ของผู้หญิงตามขนบของขงจื๊อก็ยังเช่นเดิม บิดาของจู้อิงไถ่สั่งไว้ 3 ข้อก่อนที่จู้อิงไถจะเดินทาง คือ การปลอมตัวเป็นชายนี้ห้ามโดนจับได้จนทำให้ตระกูลเสื่อมเสีย ถ้าบิดาหรือมารดาเรียกให้กลับต้องกลับ และที่สำคัญ หญิงสาวที่ยังไม่แต่งงาน ต้องคงความบริสุทธิ์ของตนเองให้ได้ตลอดระยะเวลาที่ต้องอยู่ร่วมกับผู้ชาย
การที่จู้อิงไถปลอมตัวเป็นชายเรียนในสำนักได้ถึง 3 ปี โดยที่เหลียงซานป๋อที่อยู่ห้องพักด้วยกันไม่รู้ อาจวิเคราะห์ได้ว่า การเป็นชายไม่จำเป็นต้องมีรูปร่างลักษณะกำยำแข็งแรง แต่งตัวชัดว่าเป็นชาย แต่อาจจะมีรูปร่างบอบบาง อ่อนโยนก็ได้
Credit : https://penalys.blogspot.com/2019/12/watch-love-eterne-1963-full-movie-with.html
สำหรับจู้อิงไถ่ การปลอมตัวเป็นชายเป็นไปเพื่อต้องการบรรลุเป้าหมายของเธอที่จะไปเรียนหนังสือ อยู่ในสังคมที่มีแต่ผู้ชาย โดยที่ตัวเธอไม่ได้ต้องการเปลี่ยนไปเป็นผู้ชายตลอดไป จากการที่เธอก็กลับมาเป็นผู้หญิงตามเดิม หลังจากกลับบ้าน และอยากแต่งงานเป็นภรรยาของเหลียงซานป๋อ
- ค่านิยมในสังคม -
ความรักของหนุ่มสาวก่อนแต่งงานเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ถ้าครอบครัวของทั้งฝ่ายไม่ยอมรับ และเป็นสิ่งที่ขัดต่อขนบธรรมเนียมจีนในสมัยนั้นเป็นอย่างมาก
การปลอมตัวเป็นชายของจู้อิงไถ อีกแง่หนึ่งอาจมองได้ว่าเป็นการหลบหนีจากขนบเดิม ที่หญิงชนชั้นสูงของตระกูลจะมีหน้าที่เชื่อฟังบิดามารดา และต้องแต่งงานกับชายชั้นสูง และ มีทายาทสืบตระกูลอย่างเดียว โดยที่ไม่สามารถออกไปข้างนอก มีความคิดเป็นของตัวเอง หรือ เรียกง่ายๆว่าใช้ชีวิตได้เลย
ยิ่งเรียนหนังสือ สำหรับผู้หญิงแล้วเป็นเรื่องที่ไร้สาระและไม่จำเป็นในสมัยนั้น
จนกระทั่งประเทศจีนเข้าสู่ยุคสาธารณรัฐ (ค.ศ. 1911-1949) โดยเฉพาะหลัง 4 พฤษภาคม 1919 ที่นักศึกษาลุกฮือต่อต้านรัฐบาลที่อ่อนแอ และ มีการปฏิวัติวัฒนธรรม เพราะมองว่าความเชื่อขงจื๊อล้าหลัง
เหลียงจู้ ตำนานรักผีเสื้อได้มีการปรับแต่งเล่าใหม่ แสดงความเป็นปฏิปักษ์ ไม่เห็นด้วยกับแนวคิดขงจื๊อ และ ระบอบศักดินา เช่น การที่จู้อิงไถอยากเรียนหนังสือมาก เป็นตัวอย่างให้กับผู้หญิงในสังคมสมัยนั้นมีอิสระที่จะเข้าถึงการศึกษา และจงทำตามความตั้งใจ
ผู้ชายเช่นเดียวกัน ไม่ควรห้ามหรือไม่เห็นด้วยกับความเท่าเทียมที่ผู้หญิงควรได้รับ จากเรื่องสะท้อนตรงที่ว่า เหลียงซานป๋อพูดว่าเห็นด้วยที่ชายหญิงเกิดจากบิดามารดาเช่นเดียวกัน ควรมีโอกาสร่ำเรียนเหมือนกัน
รวมถึงคอนเซ็ปต์ความรักของหนุ่มสาวก่อนแต่งงานที่มาจากความรู้สึกเป็นเรื่องที่ไม่ผิดศีลธรรม ครอบครัวไม่ควรคลุมถุงชน และ บังคับในเรื่องความรัก
นักศึกษาและปัญญาชนในช่วงนั้น มองว่าการที่ประเทศจีนจะทันสมัยได้ ต้องก้าวข้ามจารีตและขนบที่ล้าหลัง อย่างศักดินา และ ขงจื๊อ ที่ฝังรากลงในสังคมมาอย่างยาวนาน ดังนั้น วรรณกรรม สื่อบันเทิงต่างๆ ก็ต้องปรับเปลี่ยนตามค่านิยมที่เปลี่ยนไปด้วย
ในปี ค.ศ. 1953 เรื่องเหลียงจู้ ตำนานรักผีเสื้อเป็นภาพยนตร์สีเรื่องแรกที่ฉายในประเทศจีน
ค.ศ. 1958 ผู้ประพันธ์เพลง นามว่า เฉินกาง และ เหอจานเหา ได้แรงบันดาลใจเรื่องเหลียงจู้ มาเรียบเรียงและประพันธ์เพลงใหม่ เล่าเรื่องราวทั้งหมดผ่านเสียงเพลง ประกอบกับการแสดงอุปรากรจีน ในชื่อเพลงว่า เหลียงจู้ ทำการครั้งแสดงครั้งแรกที่เมืองเซี่ยงไฮ้ โดยมีไวโอลินเป็นเครื่องดนตรีหลัก
หลังจากนั้นก็มีอุปรากรจีน และ ภาพยนตร์เรื่องนี้ในอีกหลากหลายเวอร์ชั่น
เวอร์ชั่นที่สร้างปรากฏการณ์ให้ตำนานรักผีเสื้อมากที่สุด เป็นเวอร์ชั่นในปี ค.ศ. 1963 เป็นภาพยนตร์เพลงแบบมิวสิคัล ชื่อเรื่องภาษาอังกฤษว่า The Lover Eterne หรือ ชื่อไทยอันโด่งดังคือ ม่านประเพณี เรื่องนี้ได้รับรางวัลนานาชาติมากมาย และ ได้นำไปฉายในหลายประเทศ ทำให้ตำนานรักผีเสื้อรู้จักกันในระดับโลก
ที่สำคัญนักแสดงที่แสดงเหลียงซานป๋อ เป็นนักแสดงผู้หญิง ชื่อว่า ไอวี่ หลินปอ ซึ่งเป็นปกติของอุปรากรจีนที่นักแสดงหญิงจะรับบทเป็นชายได้ ส่วนจู้อิงไถ รับบทโดย เบ็ทตี้ เล่อตี้
เขียนและเรียบเรียงโดยทีมงานคิดก่อน ไม่อนุญาตให้ดัดแปลง แก้ไข และ คัดลอกโดยไม่ได้รับอนุญาต
References:
รูปภาพประกอบเรื่อง :
https://www.viewofchina.com/a-love-story-of-butterflies/
https://chinesemythologypodcast.com/2018/12/22/episode-110-the-butterfly-lovers/
Anna Wing Bo Tso (2014), FEMALE CROSS-DRESSING IN CHINESE LITERATURE CLASSICS AND THEIR ENGLISH VERSIONS
Stacy Zheng (2012), Zhu Yingtai’s Gender Fluidity: A Critical and
Sociohistorical Context for The Butterfly Lovers Canon and
Gender Identity and Gender Performance in The Love
Eterne
Sookja Cho (2018), Transforming Gender and Emotion, The Butterfly Lovers Story in China and Korea
5 บันทึก
1
12
5
1
12
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย