4 ส.ค. 2021 เวลา 03:55 • ท่องเที่ยว
Chapter 2 : My First Solo Trip
เรื่องราวประสบการณ์การเดินทางคนเดียวครั้งแรกในชีวิต และมิตรภาพดีๆ ที่ได้จากการเดินทางไปเที่ยวเชียงคาน
2
ไปเที่ยวคนเดียวอ่ะหรอ No way จ้างให้ก็ไม่มีทาง เพราะเรามันคนขี้เหงาจะตาย ขาดเพื่อนละตูจะอยู่ยังไง ไหนจะกลัวผีสุดๆ อีก แหงะ ให้ตายก็ไม่เอา (ตัดภาพมาอีกที) เห้ย! นี่ตูมาทำไรที่เชียงคานอ่ะ…คนเดียวซะด้วย
กล้าไปเที่ยวคนเดียวมั้ย? คำถามนี้คงเป็นสิ่งที่ใครหลายๆ คนเคยตั้งคำถามกับตัวเองว่าจะเอาไงดี ไอ้อยากไปเที่ยวคนเดียวก็อยากไป เพราะเบื่อที่จะต้องเสียเวลารอคนอื่นๆ ตัดสินใจ แต่ถ้าไปคนเดียวแล้วมันจะเป็นยังไงน้า จะเจอคนน่ากลัวมั้ย โรงแรมที่ไปพักจะมีผีรึเปล่า เอ๊ะ! แล้วคนอื่นจะมองว่าเราเหงาเปล่าเปลี่ยวอกหักรักคุดหรือเปล่า ถึงต้องมาเที่ยวคนเดียว
สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่เราก็คิดมาตลอดเหมือนกัน มันเลยทำให้เราไม่ไปไหนเลยถ้าไม่มีเพื่อนไปด้วย ยอมอยู่บ้านเฉยๆ ซังกะตายดีกว่าไปผจญภัยคนเดียว ซึ่งมันก็ตลกดีนะที่คนอีกตั้งหลายล้านคนเค้ากล้าที่จะเดินทางคนเดียวด้วยหลายๆ ปัจจัย เค้าก็ไปกันได้เอาตัวรอดกันได้สบายๆ แถมยังดูแฮปปี้มีความสุขมากซะอีก แล้วทำไมเราจะทำไม่ได้ล่ะ เค้ามีอะไรเจ๋งกว่าเราหว่า 🧐…….คิดไปคิดมา คำตอบก็แค่ เค้าอยากเดินทางไง ก็แค่นั้นไม่มีอะไรมาก 😁
และก็แปลกดีนะที่คนขี้ระแวง ขี้กลัว และขี้เหงาอย่างเราจะกล้าเดินทางคนเดียวกะเค้าด้วย
เรื่องมันเริ่มต้นมาจาก ตอนนั้น (นานมากกกก 10 กว่าปีมาละ ตอนที่เรายังทำงานสายการบิน) เรามีวันพักร้อนเหลืออยู่แต่ช่วงนั้นเพื่อนๆ เราไม่มีใครว่างเลย ทุกคนต้องทำงานกันหมด และมันมักจะเป็นแบบนี้เสมอ เพราะโอกาสที่พนักงานสายการบินจะได้หยุดพักร้อนพร้อมๆ กันมันค่อนข้างยาก ต้องดวงดีจริงๆ เพราะคนเยอะก็ต้องเฉลี่ยๆกันไป ทีนี้พอเราได้พักร้อนคนเดียว เอาไงล่ะ มันต้องยกเลิกแผนมาหลายรอบละนะ เพราะได้พักร้อนไม่ตรงกับเพื่อนๆ เรื่อยเลย
แล้วอยู่ๆ อะไรมาเข้าสิงเราก็ไม่รู้ เราตัดสินใจว่า ไม่รอละ ไปคนเดียวก็ไปคนเดียววะ หาทริปเลย แต่ไปเมืองนอกคนเดียวยังไม่ไหวอ่ะ เอาในประเทศก่อนละกัน 😅 หลังจากนั้นก็เป็นการหาข้อมูลเลยจ้า “ผู้หญิงคนเดียวเที่ยวไหนดี” อืมขึ้นมาพรืดดด ช่วงนั้นเค้าฮิตเที่ยวเชียงคานกันเนอะ เราก็เอาวะ เชียงคานก็เชียงคาน กี่วันดีล่ะ…อืมมันไกลอยู่นะ ไปคืนเดียวยังไม่หายเมื่อยก้นเลย ถ้า 3 คืนก็เยอะเกิ๊น งั้น 2 คืนก็ได้ โอเค…
พอปักหมุดที่ที่จะไปได้ก็ศึกษาเรื่องการเดินทางต่อว่าจะไปยังไงดี คิดสะระตะแล้วก็นั่งรถบัสดีกว่า ในความคิดเราตอนนั้นเราคิดว่าการนั่งรถบัสน่าจะปลอดภัยกว่าการนั่งรถไฟ เพราะรถไฟมันใหญ่คนก็จะเยอะมาก โอกาสที่จะมีมิจฉาชีพก็เยอะขึ้น เราเลยเลือกรถบัสดีกว่า จากนั้นเราก็หาข้อมูลต่อว่านั่งรถบริษัทฯ ไหนดี เราก็อ่านรีวิวในพันทิปแหละพร้อมกับดูข้อมูลบริษัทฯ รถบัสด้วย
ตอนนั้นเราเลือก บขส. เป็นรถ VIP 32 ที่นั่ง เพราะเราต้องนั่งไปตั้งเกือบ 10 ชม. เราเลยเลือกรถที่มีที่นั่งโอเคที่สุดสำหรับเรา จำนวนที่นั่งไม่มากคนจะได้น้อยๆ เป็นรถ 2 ชั้น ที่นั่งฝั่งซ้ายมี 1 ที่นั่งเดี่ยว ฝั่งขวาเป็นแบบ 2 ที่นั่ง ขาไปรถเกือบเต็มแล้ว เลยได้ที่นั่งชั้นสองและเป็นที่นั่งคู่ ตอนจองบอกได้ด้วยนะว่าขอนั่งข้างผู้หญิง เพราะในระบบจองจะมี record ของผู้โดยสารอยู่ แต่ขากลับจองเร็วเลยได้ที่นั่งชั้นหนึ่งแถมนั่งคนเดียวด้วย สุดยอด!
พอได้รถแล้วก็จองที่พักต่อ ทีนี้ล่ะสนุกเลย การหาที่พักนี่เป็นอะไรที่ย้ำคิดย้ำทำโคดๆ สำหรับเรา เพราะเราจะหาแล้วหาอีก อ่านรีวิวแล้วอ่านรีวิวอีกให้แน่ใจว่าที่พักที่เราเลือกมันน่าจะโอเคจริงๆ ไม่มีตำนานหลอนใดๆ 👻 ห้องสะอาดดูปลอดภัย อยู่ในชุมชน ไม่เปลี่ยว ใกล้ที่ท่องเที่ยว เจ้าของดูเป็นมิตร 😆 (อันนี้มโนเอา)
สรุปเราได้มา 2 ที่กันเหนียว เผื่ออีกที่ไม่ดีเราก็ยังมีก๊อกสอง ซึ่งเอาจริงๆ แล้วทั้งสองที่ที่ไปพักก็ดีทั้งคู่นะ ที่แรกชื่อ “เถ้าแก่ลาว” เจ้าของเป็นแฟนกันชื่อ “ขวัญกับน้องเจี๊ยบ” นิสัยน่ารักมากทั้งคู่ ที่พักอีกที่ที่เราเลือกชื่อ “เพลินเพลิน” น้องเจ้าของเค้าจะดูอินดี้หน่อยๆ ไม่ได้เฮฮาเหมือนที่แรก แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับเราหรอก พอหาทุกอย่างได้ครบละ ตอนนี้ก็ถึงนาทีสำคัญคือการบอกบุพการี 😆
ตอนที่เราทำงานที่เก่า เรามีโอกาสได้ไปเที่ยวเยอะมาก ทำให้ที่บ้านชินกับการที่เราบอกว่า หม่าม้าพรุ่งนี้ไปฮ่องกงนะ พรุ่งนี้ไปโรมนะ พรุ่งนี้ไปเชียงใหม่นะ คือมันเหมือนเป็นเรื่องธรรมดาไปละที่เราจะไปนั่นไปนี่ และเค้าจะไม่ค่อยเป็นห่วงเท่าไหร่ เพราะทุกครั้งเราก็ไปกับเพื่อน
แต่ครั้งนี้ “เรา ไป คน เดียว” เราต้องเลือกที่จะโกหกเพื่อให้เค้าไม่ต้องเป็นห่วง ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องเลยและเราก็รู้สึกผิดมาก แต่ถ้าเราไม่ทำเราก็ไม่ได้ไป จำได้วันที่กลับจากทริปแล้ว เล่าให้เค้าฟังว่าจริงๆ แล้วเราไปคนเดียว โดนดุตามฟอร์ม แหะๆ และนั่นเป็นครั้งเดียวที่เราโกหกเค้า
วันที่จะออกเดินทาง เรานี่โคดตื่นเต้นหยั่งกับตอนไปเที่ยวต่างประเทศครั้งแรกเลย 555 เก็บกระเป๋าเสร็จก็เรียกแท็กซี่มารับ ก่อนออกจากบ้านกอดหม่าม้า 1 ทีให้แม่อวยพรให้เดินทางปลอดภัยเอาฤกษ์เอาชัย (เราทำเสมอเวลาจะเดินทางไปไหน)
เราเผื่อเวลาให้มาถึงหมอชิตใหม่ก่อนเวลารถออกประมาณ 1 ชม. เพราะเราไม่เคยขึ้นรถที่หมอชิตมาก่อน ไม่รู้เลยต้องทำไงมั่ง ไปถึงก็ถามดะ ต้องไปขึ้นรถที่ไหนคะ รอรถตรงไหนคะ ขึ้นรถได้กี่โมงคะ สนุกตื่นเต้นมาก
คืนนั้นรถออกประมาณ 3 ทุ่มมั้ง พอนั่งที่นั่งที่จองไว้แล้วก็เจอคุณป้านั่งข้างๆ ยิ้มให้คุณป้าหนึ่งทีแล้วต่างคนก็ต่างพักผ่อน รถสะอาดดี แอร์เย็น มีผ้าห่มให้ 1 ผืน นั่งไปซักพักบัสโฮสเตส (เรียกถูกหรือเปล่าไม่รู้) ก็เอาของว่างมาให้ พอได้เวลารถก็เริ่มเคลื่อนตัว เรานี่ใจเต้นตึ๊กตั๊กเลย ตื่นเต้นมาก my solo trip กำลังจะเกิดขึ้นแล้ว 😆
รถวิ่งไปเรื่อยๆ ออกจากหมอชิต เป็นบรรยากาศที่เรายังจำได้ เรานั่งแถวแรกสุดเพราะอยากเห็นวิวชัดๆ จากชั้นสองที่ไม่มีอะไรมาบดบังสายตา ไฟของตึกรามบ้านช่องสองข้างทางเริ่มลดน้อยลงเพราะเริ่มเข้าสู่ถนนหลวง รถวิ่งไปได้ประมาณสามสี่ชั่วโมงก็ถึงจุดแวะพักเพื่อให้ผู้โดยสารแวะเข้าห้องน้ำและหาอะไรรองทอง เราเข้าห้องน้ำเสร็จก็ขึ้นมานั่งรอบนรถต่อ ประมาณครึ่งชั่วโมงรถก็ออกตัวอีกครั้ง เราได้งีบเล็กน้อยบนรถพอตื่นมาก็ถึงเชียงคานพอดี
รถถึงเชียงคานประมาณ 6 โมงเช้า ลงรถมายืดแข้งยืดขาแก้เมื่อยนิดหน่อย แล้วก็ถามทางไปที่พักคืนนี้ เราเดินไปตามทางที่ได้รับคำแนะนำมาเพราะมันไม่ไกลมาก อากาศที่เชียงคานตอนเช้าเย็นๆ ดี (เราไปเดือน ธ.ค.) ทำให้เราตื่นเต็มตาพร้อมกับซึมซับบรรยากาศสองข้างทาง
เดินไปซักพักก็ได้ยินเสียงเรียกทักทายจากฝั่งตรงข้าม เรามองไปตามเสียงเห็นพี่ผู้หญิงคนหนึ่งกำลังโบกมือทักเรา แบกกระเป๋ามาเหมือนกัน ท่าทางจะเป็นนักท่องเที่ยว พี่เค้าถามว่าเรามาเที่ยวคนเดียวหรอ เค้าก็มาคนเดียว คุยไปคุยมาก็ได้รู้จักกัน พี่เค้าชื่อ “พี่ปู” พี่ปูเป็นคนน่ารักมาก อัธยาศัยดี และเป็นคนสวยมากด้วย สามีเป็นนักบินสายการบินเดียวกับที่เราทำอยู่ แกนึกเบื่อๆ ไม่อยากรอวันหยุดสามีเลยเลือกมาเที่ยวเองคนเดียวเหมือนกับเรา และเพิ่งลงจากรถคันเดียวกันกับเรานี่แหละ ที่พักของเราอยู่คนละที่เลยแยกย้ายกันไปเข้าที่พัก แล้วก็นัดแนะกันว่าจะออกมาเดินเที่ยวเมืองด้วยกัน
มิตรภาพที่เกิดขึ้นใหม่ เป็นสิ่งที่เราไม่ได้คาดคิดว่าจะเกิดขึ้นจากการเดินทางคนเดียว เราคิดว่าเราเป็นคนแปลกหน้าที่นี่ คงไม่มีใครสนใจใครและคงไม่มีใครสนใจคุยกับเรา แต่เราก็ได้เพื่อนใหม่แล้วหนึ่งคน และมันเป็นจุดเริ่มต้นของการได้มิตรภาพใหม่มากมายจากการเดินทางคราวนี้
บ้านพักของเถ้าแก่ลาวน่ารักดี อยู่ในถนนคนเดิน เป็นบ้านไม้สองชั้น เราจองห้องนอนชั้นล่างไว้เป็นห้องนอนพัดลมแบบกางมุ้งด้วยนะ เก๋ดี (เคยนอนกางมุ้งครั้งสุดท้ายก็ตอนเข้าค่ายอ่ะ) มีประตูด้านหลังห้องอีกหนึ่งบานเปิดออกไปจะเจอถนนเล็กๆสามารถออกไปเดินเล่นขี่จักรยานดูวิวแม่น้ำโขงได้ โรแมนติกดี
ที่พัก "เถ้าแก่ลาว"
ที่พักนี่ไม่มีห้องน้ำส่วนตัวต้องใช้ห้องน้ำรวมแต่ก็โอเคสะอาดสะอ้านอยู่ โรงแรมที่นี่ส่วนใหญ่คงเป็นบ้านเก่าที่เค้าเอามา renovate เป็นที่พัก ก็เลยยังมีความคลาสสิคอยู่มาก รวมถึงร้านขายของ ร้านอาหารก็ยังคงรูปแบบบ้านไม้ดั้งเดิมตามวิถีชีวิตของชาวบ้านที่นี่ แต่ละร้านก็จะมีความชิคของตัวเองตรงที่เอาของเก่ามาผสมของใหม่ เอาความโบราณของอาคารบ้านเรือนมาใส่ของตกแต่งแบบร่วมสมัยให้เกิดความน่าสนใจ ทำให้โซนถนนคนเดินของเชียงคานเป็นเหมือนเมืองย้อนยุคที่ยังคงมีกลิ่นอายของอดีตแต่ขณะเดียวกันก็ยังเห็นของที่เราคุ้นชินกันผสมผสานอยู่อย่างลงตัว
พอเก็บข้าวของอาบน้ำเสร็จแล้ว เราก็ออกไปหาอะไรกิน เจ้าของที่พักคือน้องเจี๊ยบและขวัญก็แนะนำเราว่าไม่ต้องเดินไปไกล ฝั่งตรงข้ามเถ้าแก่ลาวนี่แหละมีร้านอาหารฝีมือใช้ได้อยู่ร้านนึงไปกินได้เลย และในร้านนั้นเองก็ทำให้เราได้เพื่อนใหม่เพิ่มอีกหนึ่งคนชื่อ “ปอ”
ปอเป็นคนซ่ามาก 555 ผมทองทั้งหัวแบบไม่แคร์สื่อ ใครเจอครั้งแรกจะมีความรู้สึกแบบ ไอ้นี่ตูไม่กล้ามีเรื่องด้วยแน่ แต่จริงๆ แล้วปอเป็นคนน่ารักมาก ปอเห็นเรามาคนเดียวก็เริ่มชวนคุย จนได้รู้ที่มาของปอว่าเป็นคนกรุงเทพฯ นี่แหละ มาเยี่ยมขวัญเจ้าของเถ้าแก่ลาว อยู่ไปอยู่มาก็นึกชอบที่นี่ ปะเหมาะกับบ้านตรงข้ามเถ้าแก่ลาวว่างอยู่ก็เลยเซ้งต่อมาทำร้านอาหารแล้วก็ปักหลักอยู่ที่นี่เลย พอคุยกันซักพักเราก็ขอตัวไปเดินเล่นกับพี่ปูตามที่นัดกันไว้ แล้วไม่ลืมนัดกับปอว่าเดี๋ยวตอนเย็นจะกลับมากินข้าวเย็นที่ร้านปออีก
เจอพี่ปูแล้วก็ไปเดินเที่ยวเล่นที่ถนนคนเดินกัน ถ่ายรูปเล่นกันเพียบ เราใช้กล้อง Lomo ซึ่งเราก็ใช้ไม่เป็นหรอก แต่อยากได้อารมณ์กล้องฟิล์ม มันคลาสสิกดี ผลที่ได้คือ ภาพเบลอซะเป็นส่วนส่วนใหญ่ 5555 ช่วงที่เราไปเป็นวันธรรมดา คนเลยไม่พลุกพล่านมาก
ถนนคนเดินที่เชียงคาน
เดินเล่นเสร็จก็หาอะไรกินนิดหน่อย แล้วก็กลับมาร้านปอเพื่อมากินข้าวเย็นกัน แนะนำพี่ปูให้รู้จักแล้วเราก็ฟอร์มก๊วนเพื่อนใหม่ได้แล้ว 😆 หลังจากนั้นเราก็คุยกันว่า อีกสองวันที่เหลือหากไกด์กิตติมศักดิ์เจ้าถิ่นว่างจะพาพวกเราไปไหนกันบ้าง
วันรุ่งขึ้นเราตื่นตั้งแต่ตีห้าครึ่งเพื่อมาใส่บาตรข้าวเหนียวใกล้ๆ โรงแรม อากาศยังเย็นมากอยู่เลย ตอนแรกกะเข้าไปงีบต่อ แต่อากาศดีมาก เราเลยเดินไปตามถนนหลังโรงแรมที่เลียบแม่น้ำโขง เก็บภาพยามเช้ามาได้ แต่หมอกเยอะเลยจะมัวๆ หน่อย
วิวหลังบ้าน "เถ้าแก่ลาว"
เดินเล่นแป๊บเดียวหนังตาหย่อนละ เพราะเมื่อคืนนอนไปได้ไม่มาก มัวแต่กลัวผีทั้งคืน ทั้งที่จริงๆ ไม่มีอะไรเลย แต่ประสาทมันหลอนเพราะเป็นการนอนคนเดียวในที่ต่างถิ่นครั้งแรกในชีวิต หลับตาทีไรจิตมันก็เพี้ยนบอกตัวเองว่า เห้ย มีใครยืนอยู่ข้างๆ ฟระ เป็นแบบนี้ทั้งคืน สรุปแทบไม่ได้นอนจ้าตาสว่างไปเลยทั้งคืน 🥱🥴 บอกตัวเองว่าคืนที่สองเราจะเป็นงี้ไม่ได้ละนะ ต้องหาไรจิ๊บๆ นิดหน่อยให้พอเคลิ้มๆ จะได้หลับสบาย (อืม ความคิดดี)
หลังจากงีบต่อรอบสอง ตื่นมาก็เตรียมตัว check-out ออกจากเถ้าแก่ลาว เพื่อไปยังที่หมายใหม่ของเรา “เพลินเพลิน” โรงแรมนี้ก็น่ารักดี คราวนี้นอนชั้นสอง เห็นวิวแม่น้ำสวยเชียว
ที่พัก "เพลินเพลิน"
เก็บข้าวของเสร็จก็ออกไปเดินเล่นถ่ายรูปเหมือนเดิม เก็บภาพร้านเก๋ๆที่เชียงคานมาได้อีกหน่อย
ถนนคนเดินที่เชียงคาน
แต่วันนี้พิเศษหน่อยตรงที่ปอพาเรากะพี่ปูไปนั่งกินข้าวร้านใหม่ เปิดหูเปิดตากันซักหน่อย ทำนองว่าคน local ที่นี่ต้องกินร้านนี้ นั่งกินดื่มกันซักพักก็แยกย้ายกันกลับที่พัก ไม่มีรูปเพราะไม่ได้ถ่าย ชื่อร้านยังจำไม่ได้เบย รู้แต่กึ๊มมมกึ่ม 🤪
เช้าวันสุดท้าย ตื่นมาก็สายโด่ละ อาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็ออกมาหาข้าวเช้ากิน เป็นก๋วยจั๊บญวนอร่อยมาก กินเสร็จเดินเล่นถ่ายรูปอีกนิดหน่อยก็เก็บกระเป๋า check-out จากโรงแรม เราเอากระเป๋าไปฝากร้านปอ รถที่จะกลับกรุงเทพฯ จะออกประมาณหนึ่งทุ่ม เรายังมีเวลาเหลืออีกหลายชั่วโมงซึ่งไม่รู้จะทำอะไรแล้ว ปอกะเจี๊ยบเลยชวนเรากับพี่ปูไปเที่ยวบ้านเพื่อนที่ปากชมชื่อ “พี่จุ๋ย” ซึ่งเรานั่งมอไซค์ไปกัน 2 คัน ใช้เวลาประมาณ 45 นาที (มั้ง) คำนวนแล้วกลับมาทันรถแน่นอน โชคดีเป็นของพวกเรา รีบตอบตกลงทันทีไม่รีรอ
วิวจากระเบียงบ้านพี่จุ๋ยที่ปากชม
นั่งรถมาซะขาถ่าง แล้วก็ไม่ผิดหวังจริงๆ วิวที่บ้านพี่จุ๋ยสวยมากกกกก อยู่ติดริมแม่น้ำโขง ซึ่งฝั่งตรงข้ามบ้านก็คือประเทศลาว แกอยู่กันแค่สองคนกับสามี เลยสร้างบ้านหลังเล็กๆ ชั้นเดียว แต่ประโยชน์ใช้สอยครบครันกับวิวหลักล้าน พวกเรานั่งคุยกันเหมือนเป็นเพื่อนที่รู้จักกันมานานและได้มาเยี่ยมเยียนกัน จนได้เวลาที่จะต้องจากลาวิวร้อยล้านนี้เพื่อกลับกรุงเทพฯ กันแล้ว พวกเราซ้อนมอไซค์กลับไปเชียงคาน ระหว่างทางก็รับลมเย็นๆ เป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่จะต้องบอกลาเมืองกิ๊บเก๋แห่งนี้
ปอและเจี๊ยบมาส่งเรากับพี่ปูขึ้นรถที่ท่ารถ (บังเอิญอีกแล้วที่เรากับพี่ปูกลับรถเที่ยวเดียวกัน) ทำไมมันเป็นความรู้สึกที่แช่มชื่นหัวใจจัง เพื่อนใหม่ที่เหมือนเป็นเพื่อนเก่า และทำให้ความรู้สึกของเราระหว่างทางที่ต้องนั่งรถกลับบ้าน 9 ชั่วโมงนั้น ไม่เหงาเหมือนตอนขามาอีกต่อไป
เราโชคดีมากที่ได้มีโอกาสมาเที่ยวที่นี่ ใครจะไปนึกเนอะว่าการมาเที่ยวคนเดียว และคิดว่าคงต้องใช้ชีวิต 3 วันนี้อยู่คนเดียวแน่ๆ กลับกลายเป็นการที่เราได้รู้จักคนใหม่ๆ มิตรภาพใหม่ๆ และประสบการณ์ใหม่ๆ ที่เราไม่เคยคิดว่าจะได้
มิตรภาพใหม่ที่ไม่เคยลืม
10 กว่าปีผ่านไป มิตรภาพในวันนั้นที่เชียงคานก็ยังคงอยู่มาจนทุกวันนี้ ขอบคุณทุกคนในวันนั้นนะคะ พี่ปู ปอ เจี๊ยบ ขวัญ พี่จุ๋ยและสามี ผู้สร้างความทรงจำที่ดีมากที่สุดอันนึงให้กับเรา
การเดินทางคนเดียวไม่ได้แย่เสมอไป ขึ้นอยู่กับมุมมองของเรา สิ่งที่เราได้เรียนรู้จากการเดินทางคนเดียวครั้งนี้คือ มันทำให้เราสามารถเปิดใจกับคนแปลกหน้า เปิดรับมิตรภาพใหม่ๆ ที่มีคนหยิบยื่นให้ได้ง่ายขึ้น และคนอื่นก็กล้าเปิดใจให้กับเราเช่นกัน
ไอ้เรื่องเหงาหรอ…มีอยู่แล้วเป็นเรื่องธรรมดา แต่เราต้องรู้จักการอยู่ด้วยตัวเองให้เป็น ไม่ต้องเอาชีวิตไปผูกติดกับคนอื่นให้มากนัก มันจะทำให้เราปล่อยวางได้มากขึ้น ไม่คาดหวังว่าคนอื่นจะต้องคอยหยิบยื่นความสุขให้เรา
อยากได้ความสุขหรอ ง่ายมาก สร้างมันขึ้นมาด้วยตัวเองเลย อยากทำอะไร ออกไปทำ เราจะได้ไม่ต้องมานั่งนึกเสียดายเวลาว่า รู้งี้ ทำซะตั้งแต่ตอนนั้นดีกว่า…เนอะ
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ 😊
โฆษณา