3 ส.ค. 2021 เวลา 14:10 • หุ้น & เศรษฐกิจ
คนไทยเป็นหนี้เร็ว เป็นหนี้เยอะ เป็นหนี้นาน "ปัญหาหนี้สินครัวเรือน"
2
ปัญหาหนี้ครัวเรือน ปัญหาเดิมที่ถูกซ้ำเติมโดยโควิด
📌 ปัญหาหนี้ครัวเรือน ได้กลายเป็นประเด็นเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจไทย
ข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทยชี้ว่า สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีของประเทศไทยได้เพิ่มจาก 57.2% ในต้นปี 2553 มาเป็น 78.4% ในปี 2562
สัดส่วนหนี้ครัวเรือนของไทยได้เพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา
เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศกำลังพัฒนาด้วยกันแล้ว ข้อมูลจาก Bank of International Settlement (BIS) ชี้ว่าไทยเป็นประเทศที่มีระดับหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีสูงที่สุดในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งเกิดมาตั้งแต่ช่วงก่อนเกิดวิกฤติโควิดเสียอีก
ประเทศไทยมีหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีสูงสุดในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาตั้งแต่ก่อนเกิดวิกฤตโควิด-19
ทั้งนี้ แม้แล้ว พื้นฐานมูลเหตุของการก่อหนี้ในภาคครัวเรือน ก็คือ การที่รายรับไม่เพียงพอกับค่าใช้จ่าย โดยปัจจัยสำคัญที่ทำให้หนี้ครัวเรือนเพิ่มขึ้นอย่างมาก มาจากการที่ครัวเรือนขาดทักษะความรู้ทางด้านการเงิน (Financial Literacy) ส่งผลให้มีการใช้จ่ายเกินตัว และให้ความสำคัญกับการบริโภคในปัจจุบันมากกว่าการเก็บออมเงินไว้เพื่อการใช้จ่ายที่จำเป็นในอนาคต
นอกจากนี้ บริษัทสินเชื่อส่วนบุคคลต่างออกแคมเปญ เพื่อดึงดูดให้คนใช้จ่ายมากขึ้น อย่างเช่น โปรผ่อน 0% นาน 10 เดือน เที่ยวก่อนผ่อนที่หลัง เป็นต้น ซึ่งทำให้ผู้บริโภคสามารถก่อหนี้ได้ง่ายขึ้น อีกทั้งยังมี นโยบายรัฐที่ทำให้คนเป็นหนี้ อย่างเช่น นโยบายรถคันแรกที่จูงใจให้คนซื้อรถเมื่อปี 2554 และนโยบายประชานิยมอื่นๆ อีกด้วย
ขณะเดียวกัน ฝั่งผู้ให้บริการสินเชื่อ ก็อาจจะมีการปล่อยกู้ที่มากเกินไป เนื่องจากอาจมีการพิจารณาจากความเสี่ยงด้านเครดิต (Credit risk) แต่เพียงอย่างเดียว แต่ไม่ได้มีการพิจารณาถึงความเสี่ยงที่ว่าปล่อยกู้ไปแล้ว อาจทำให้ผู้กู้หรือผู้บริโภครายนั้นอาจมีเงินไม่เพียงพอต่อการดำรงชีพ (Affordability risk) จากการแข่งขันในตลาดสินเชื่อรายย่อยที่มีความรุนแรงมากขึ้นในช่วงที่ผ่านมา
งานวิจัยของสถาบันวิจัยป๋วย อึ๊งภากรณ์ ซึ่งศึกษาข้อมูลของสำนักงานเครดิตบูโร พบว่า
1) คนไทยเป็นหนี้เร็ว โดยผู้กู้ใหม่ในแต่ละปีมีแนวโน้มอายุน้อยลงเรื่อยๆ
2) เป็นหนี้เยอะ โดยภาระหนี้รวมทุกสินเชื่อต่อหัวเพิ่มขึ้นจาก 377,109 เป็น 552,499 บาท ในช่วงสิบปีที่ผ่านมา (2552-2561)
3) เป็นหนี้นาน หรือกล่าวคือ มีหนี้นานตั้งแต่เริ่มทำงานจนเกษียณ เมื่อกู้มาแล้ว ก็ต้องชำระภาระหนี้ไปจนแก่
ค่าเฉลี่ยหนี้ทุกประเภทต่อรายเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมาชี้ให้เห็นถึงคนไทยมีหนี้เยอะขึ้น
งานวิจัยดังกล่าวชี้ให้เห็นอีกว่า กว่า 4 ใน 5 ของการขยายตัวในหนี้ครัวเรือนไทยก็มาจากผู้กู้รายเดิม
📌 วิกฤติโควิด-19 ได้ทำให้ปัญหาหนี้ครัวเรือนยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นไปอีก
มาตรการควบคุมการระบาดต่างๆ ที่รัฐบาลประกาศออกมา ได้ส่งผลกระทบต่อความสามารถในการหารายได้ของคนเป็นจำนวนมาก
เมื่อไม่สามารถหารายได้เพื่อมาเลี้ยงชีพได้เช่นเดิม ประชาชนส่วนหนึ่งจึงเกิดปัญหาสภาพคล่องขาดแคลน ทำให้มีความจำเป็นต้องกู้เงินเพิ่ม เพื่อแทนรายได้ที่ขาดไป ทั้งเอาไปใช้ในการอุปโภคบริโภคทั่วไป ทั้งใช้ในการประกอบอาชีพ เติมสภาพคล่องให้กับธุรกิจตัวเอง
ขณะเดียวกัน ปัญหาสภาพคล่องดังกล่าวก็ได้ส่งผลให้ครัวเรือนต่างๆ มีปัญหาในการชำระหนี้ มีการนำหนี้ก้อนใหม่เพื่อไปโปะหนี้ก้อนเก่า อีกด้วย
ที่ผ่านมา ทางธนาคารแห่งประเทศไทยก็ได้ออกมาตรการบรรเทาผลกระทบต่างๆ เช่น การลดอัตราผ่อนชำระขั้นต่ำในกรณีของบัตรเครดิต การพักชำระเงินต้น และการพักชำระเงินต้นและดอกเบี้ยขึ้นมา เพื่อช่วยเหลือครัวเรือนในยามที่สภาพคล่องมีจำกัด และป้องกันไม่ให้หนี้ของครัวเรือนเหล่านี้กลายไปเป็นหนี้เสีย
งานวิจัยของดร.โสมรัศมิ์ จันทรัตน์และคณะ ซึ่งศึกษาเกี่ยวกับข้อมูลสินเชื่อที่เข้าร่วมมาตรการช่วยเหลือจากวิกฤติโควิด-19 พบว่า มีสินเชื่อกว่าร้อยละ 60 ที่เข้าร่วมโครงการภายในเดือนเมษายน 2563 และจากสัดส่วนของกลุ่มที่เข้ามาตรการ พบว่ากว่าร้อยละ 71 ที่เป็นการเลื่อนชำระหนี้ และร้อยละ 28.5 เป็นการลดอัตราการชำระ และมีเพียงร้อยละ 3.7 เท่านั้นที่เข้าร่วมมาตรการสำหรับหนี้เสีย ซึ่งจะต้องเข้าสู่การปรับโครงสร้างหนี้ หรือคลินิกแก้หนี้ต่อไป
1
มาตรการต่างๆ เหล่านี้เป็นเพียงแค่มาตรการชั่วคราว หากมาตรการสิ้นสุดลง และการระบาดยังคงรุนแรงและยืดเยื้อเช่นนี้อยู่ ก็หมายความว่า อาจจะมีคนจำนวนไม่น้อยที่จะเผชิญกับภาวะการหารายได้ไม่เพียงพอกับค่าใช้จ่ายไปอีกนาน ซึ่งอาจทำให้วันหนึ่ง เขาไม่สามารถชำระภาระหนี้ต่างๆ ที่มีได้อีกต่อไป จนกลายเป็นหนี้เสีย และกลายเป็นแผลเป็นทางเศรษฐกิจของประเทศไปในระยะยาว
1
สัดส่วนหนี้ครัวเรือนของไทยกระจุกตัวอยู่ที่การอุปโภคบริโภคมากกว่าการนำไปใช้จ่าย เพื่อสร้างรายได้ระยะยาว
ทั้งนี้ โควิดได้ส่งผลให้หนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีเพิ่มขึ้นอย่างมาก จากแต่เดิมที่อยู่ประมาณร้อยละ 78 ก่อนเกิดวิกฤติ จนล่าสุดเป็นร้อยละ 90.5 ในไตรมาสที่หนึ่งของปี 2564 ซึ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ และสูงที่สุดในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาอีกด้วย โดยมีปัจจัยสำคัญมาจากทั้งมูลหนี้ที่เพิ่มสูงขึ้น และจีดีพีที่ลดลง
1
📌 แล้วถ้าหนี้ครัวเรือนที่สูงเช่นนี้ จะเกิดปัญหาอะไรตามมา?
ก่อนอื่น ต้องเข้าใจก่อนว่าการก่อหนี้นั้นไม่ได้เป็นสิ่งที่แย่เสมอไป หากสามารถรักษาระดับภาระหนี้ไว้ให้เหมาะสม ไม่สูงเกินไป หรือหนี้ที่กู้มาถูกนำไปใช้ในทางที่สามารถก่อให้เกิดประโยชน์ในอนาคตได้ ก็จะถือว่าเป็นสิ่งที่ดี
ในกรณีหนี้ครัวเรือนไทย สิ่งที่น่ากังวลใจคือ หากไปดูสัดส่วนของเงินให้กู้ยืมแก่ภาคครัวเรือนโดยจำแนกตามประเภทสินเชื่อในไตรมาส 1/64 จะพบว่า หนี้ครัวเรือนของไทยกระจุกตัวอยู่ที่การกู้ยืมเพื่อการอุปโภคบริโภค คิดเป็นเกินกว่าครึ่งหนึ่งของเงินให้กู้ยืมของภาคครัวเรือนทั้งหมด ขณะที่สัดส่วนสินเชื่อบ้านคิดเป็นเพียงแค่ราวๆ ร้อยละ 20 เท่านั้น เมื่อเทียบกับทั้งหมด ซึ่งถ้าเทียบกับประเทศพัฒนาแล้ว จะพบว่าหนี้ครัวเรือนกว่าร้อยละ 70 เป็นหนี้บ้านหรือหนี้ที่จะเอาไปสร้างความมั่นคงในชีวิตได้ในระยะยาว
นอกจากนี้ ระดับหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีที่ร้อยละ 90.5 ก็ถือว่าน่ากังวลใจไม่น้อย โดยจากงานศึกษาของ BIS แสดงให้เห็นว่า หากสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีสูงกว่าร้อยละ 85 อาจจะส่งผลต่ออัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศในระยะต่อไปได้
สำหรับภาคครัวเรือน การที่มีภาระหนี้ที่สูงเกินไป อาจจะนำไปสู่ภาวะ Debt Overhang คือการมีภาระหนี้สูงเกินไปจนส่งผลต่อความสามารถในการใช้จ่ายของภาคครัวเรือนในอนาคต หรือทำให้ไม่สามารถกู้ยืมเงินเพิ่มได้ในอนาคต แม้ว่าการกู้ยืมเงินเหล่านี้จะเป็นการกู้ไปเพื่อนำไปสร้างรายได้หรือความมั่นคงในชีวิตในระยะยาวก็ตาม
ภาระหนี้ที่สูงเหล่านี้ อาจจะกลายเป็นปัญหาเพิ่มเติมให้กับครัวเรือนและเศรษฐกิจโดยรวม โดยเฉพาะในช่วงที่เศรษฐกิจขยายตัว และดอกเบี้ยเข้าสู่วัฏจักรขาขึ้น (Up Cycle) ซึ่งทำให้ภาระดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นอีกด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่สินเชื่อดังกล่าวมีอัตราดอกเบี้ยลอยตัว ก่อเป็นความเปราะบางในเสถียรภาพของระบบการเงิน
📌 หนทางสู่การแก้หนี้... ปลดชนวนระเบิดเวลาลูกใหญ่
สิ่งที่ต้องเร่งดำเนินการคือ จะทำอย่างไรที่จะลดหนี้ครัวเรือนลงให้ได้ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาตามที่กล่าวมา
หัวใจสำคัญเรื่องนี้คือ การแก้ปัญหาดังกล่าวให้ตรงจุด นั่นก็คือ
(1) จะทำอย่างไรที่จะให้ความรู้แก่ผู้บริโภคและครัวเรือนเพื่อให้มีทักษะความรู้ด้านการเงิน (Financial literacy) เพื่อที่จะระมัดระวังในการใช้จ่ายและการก่อหนี้มากยิ่งขึ้น และ
(2) จะทำอย่างไรที่จะกำกับดูแลไม่ให้สถาบันทางการเงินต่างๆ ส่งเสริมให้คนเป็นหนี้มากที่ควร มีการคำนึงถึงเรื่อง Affordability risk ซึ่งเป็นความเสี่ยงในด้านผู้กู้เป็นหลัก มากกว่าพิจารณาเพียงแค่ความเสี่ยงด้านเครดิต (Credit risk) แต่เพียงอย่างเดียว
นอกจากนี้ สิ่งที่ต้องดำเนินการควบคู่กันไปคือ
(3) จะทำอย่างไรที่จะช่วยปรับโครงสร้างหนี้ให้กับครัวเรือนต่างๆ ที่ตกอยู่ในภาวะหนี้ท่วมหัวจนกลายไปเป็นหนี้เสีย ให้เขากลับมาลืมตาอ้าปาก หลุดพ้นจากกับดักหนี้ และมอบชีวิตใหม่ให้กับเขาได้ โดยที่ผ่านมา ธนาคารแห่งประเทศไทยก็ได้พยายามดำเนินการผ่านโครงการคลินิกแก้หนี้ ซึ่งทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการปรับโครงสร้างหนี้ให้กับลูกหนี้สินเชื่อส่วนบุคคลที่ได้กลายเป็นหนี้เสีย
ทั้งหมดนี้ คือสิ่งสำคัญที่จะช่วยปรับแก้หนี้ครัวเรือนที่เป็นหนึ่งในปัญหาสำคัญของเศรษฐกิจไทย อย่างไรก็ตาม ภาพของหนี้ครัวเรือนที่ได้เล่ามาก็เป็นเพียงแค่ภาพส่วนหนึ่งของหนี้ในภาคครัวเรือนในระบบเท่านั้น เพราะยังมีหนี้อีกเป็นจำนวนไม่น้อยของภาคครัวเรือนที่เกิดจากการกู้นอกระบบ ซึ่งเป็นโจทย์และความท้าทายที่แตกต่างไปอีก และเป็นสิ่งที่ Bnomics จะนำมาเล่าให้ทุกคนฟังในวันถัดไปครับ
#หนี้สินครัวเรือนพุ่ง #แก้หนี้ครัวเรือน #ปัญหาหนี้สินครัวเรือน
#Bnomics #Economics #เศรษฐศาสตร์เป็นเรื่องง่ายสำหรับทุกคน
ผู้เขียน : เอกศิษฎ์ น้าวิไลเจริญ Economist, Bnomics
ภาพประกอบ : จินดาวรรณ อรรถมานะ Graphic Designer, Bnomics
▶︎ ติดตามช่องทางของ Bnomics ได้ที่
Line OA : @Bnomics https://bit.ly/3eYkTJC
Bnomics - Bangkok Bank Economics
'Be an Economist for Everyone'
วิเคราะห์ เจาะทุกประเด็นเศรษฐกิจ ให้เป็นเรื่องง่ายสำหรับคุณ
Reference:
โฆษณา