5 ส.ค. 2021 เวลา 03:42 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์
กว่าจะมาเป็น 'Lady and The Tramp' หรือ 'ทรามวัยกับเจ้าตูบ' ที่เรารักในแบบ Live-action!
เชื่อว่าหลายๆคนคงจะต้องคุ้นเคยกับภาพยนตร์ 'Lady and The Tramp' จาก Disney อย่างแน่นอน เพราะเป็นเรื่องในดวงใจหลายๆคนที่อาจได้ดูตั้งแต่สมัยแบเบาะ เพราะเนื้อเรื่องที่คลาสสิค เรียบง่าย และอบอุ่นหัวใจของเจ้าสุนัข Lady และ Tramp ซึ่งเวอร์ชั่นดั้งเดิมนี้ถูกฉายในปี 1955
ในปี 2019 ที่ผ่านมา ทาง Disney ได้หยิบเรื่องนี้ขึ้นมารีเมคเป็นแบบ Live-action หลังจากเวอร์ชั่นดั้งเดิมถึง 64 ปีเลยทีเดียวและถูกฉายใน Disney+ โดยเวอร์ชั่น 2019 นี้มีรายละเอียดในเรื่องหลายอย่างที่แตกต่างจากเดิมเพื่อเพิ่มอรรถรส และยังมีจำนวนนาทีที่เพิ่มขึ้นกว่าเดิมราว 30 นาทีเลยทีเดียว
ซึ่งเชื่อว่าหลายๆคนก็ตื่นเต้นถึงแม้อาจจะยังไม่มีโอกาสได้รับชมในประเทศไทย และเมื่อวันนี้เรามีโอกาสได้รับชมกันแล้วทาง Disney+ Hotstar Thailand ทาง Art of จึงขอนำเสนอเรื่องราวเบื้องหลังของหนังเรื่องนี้ สำหรับใครที่อยากจะดูแล้วมีอรรถรสมากขึ้น หรือดูจบแล้วก็อาจจะอินมากกว่าเดิม! อย่ารอช้า ไปอ่านกันเลย!
นักแสดงตัวเอก Lady และ Tramp
ถึงแม้ว่าในหนังจะมีฉากที่ต้องใช้ CG จำนวนมากในการทำให้สุนัขพูดและมีอิริยาบถต่างๆ แต่ก็ต้องมีฉากที่ใช้นักแสดงสุนัขจริงๆรวมถึงใช้เป็นต้นแบบด้วย ทีมงานจึงได้คัดเลือกสุนัขตัวเอกมาแบบที่เรียกได้ว่า เหมือนจนน่าทึ่ง!
เริ่มกันที่ Lady นักแสดงสุนัขตัวนี้ชื่อว่า Rose ซึ่งเป็นนักแสดงตัวแรกที่คัดเลือกเข้ามา Rose เป็นสุนัขสายพันธุ์ cocker spaniel และด้วยสายตาที่เป็นประกายและหูที่เป็นเอกลักษณ์แบบในหนังดั้งเดิมอย่างไม่ผิดเพี้ยน เธอก็ได้ครองใจทีมงานและมาเป็นตัวเอกในที่สุด!
และพระเอกของเรา Tramp ที่เป็นสุนัขข้างทางจริงๆนั้นได้มาจากการค้นหาในเว็บไซต์รับเลี้ยงสุนัข สุนัขตัวนี้ชื่อว่า Monte ถูกพบที่ข้างถนนใน New Mexico พอประกอบกันทั้ง 2 ตัวก็พบว่า นี่มันเป็นทรามวัยกับเจ้าตูบในอุดมคติชัดๆ!
เปรียบเทียบตัวแสดงทั้ง 2 เวอร์ชั่น
หากดูในภาพรวมแล้ว ตัวแสดงในเรื่องนั้นค่อนข้างใกล้เคียงกับเวอร์ชั่นดั้งเดิมมากเลยทีเดียว มีการเปลี่ยนแปลงบ้างเล็กน้อย เช่น เจ้า Jock ได้เปลี่ยนเพศเป็นเพศหญิงชื่อ Jacqueline จากสุนัขที่ชอบขุดหลุมฝังกระดูก มาเป็นสุนัขที่ชอบแต่งตัวและรักสวยรักงาม และสายพันธู์แมวตัวร้ายในเรื่องก็เปลี่ยนจาก Siamese cat เป็นพันธุ์อื่น
การทำ CGI ควบคู่กับการใช้นักแสดงสุนัขจริง
แน่นอนว่าข้อจำกัดของการใช้นักแสดงที่เป็นสัตว์ก็คือการควบคุมให้เป็นไปแบบที่ต้องการนั้นยาก จึงต้องมีการใช้ฉากที่เล่นจริงผสมกับ CG โดยมีฉากที่เล่นจริงประมาณ 25-30% ซึ่งถือว่าช่วยได้มาก โดยสุนัขในเรื่องต้องถูกฝึก โดยเริ่มจากคำสั่งง่ายๆไปจนถึงคำสั่งที่ซับซ้อน
อีก 70-75% จึงเป็นหน้าที่ของ CG ซึ่งทีมงานก็ทุ่มไม่อั้นเช่นกัน ซึ่งหลายๆครั้งต้องใช้สุนัขจริงไปเซ็ตที่ฉากจริงเพื่ออ้างอิง เช่นฉากบนเรือ เพื่อดูลักษณะของแรงลมกับเส้นขน แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือความปลอดภัยของตัวสุนัขเอง ซึ่งทีมงานให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก ดังนั้นฉากใดที่เสี่ยง ทีมงานก็จะเลือกใช้ CG อย่างแน่นอน
ความท้าทายออีกอย่างคือ ต้องทำอย่างไรให้สุนัขในเรื่องมีอิริยาบถที่สมจริงในแบบที่ยังเป็นสุนัขอยู่และไม่เป็นแบบคน ทีมงานจึงต้องละเอียดมากๆในจุดนี้ การแสดงสีหน้าต่างๆก็ต้องอ้างอิงจากสุนัขจริงร่วมกับการแสดงของคนพากย์เสียง
เมื่อนับทั้งเรื่องแล้วมีการใช้ CG กว่า 1,150 ช็อตเลยทีเดียว ด้วยการทำงานกว่า 9 เดือน โดยทีมงาน Framestore และ Weta Digital
ฉากสปาเกตตี้มีทบอลในตำนาน
ฉากในตำนานที่คงจะตราตรึงใจหลายๆคนคงหนี้ไม่พ้นฉากกินสปาเกตตี้พร้อมกับเสียงเพลง 'bella notte'บรรเลง เป็นฉากของสุนัขที่น่ารักและโรแมนติกจริงๆ
ทีมงานต้องฝึกสุนัขหลายต่อหลายเดือนเลยทีเดียวเพื่อฉากนี้ โดยถูกฝึกให้จ้องตากันนานๆและกระทั่งฉากที่พระเอกของเราใช้จมูกดันมีทบอลก็ต้องถูกฝึกขึ้นมาอีกด้วย! แต่ท้ายที่สุดแล้วก็ต้องใช้ CG ช่วยเพื่อให้อิริยาบถนั้นชัดเจนขึ้น
ฉากเมือง
Setting ของเมืองในเรื่องนั้นอยู่ที่ Savannah, Georgia โดยมีการถ่ายทำบางส่วนที่สถานที่จริงและบางส่วนเช่นฉากในบ้าน ถ่ายทำที่สตูดิโอ ฉากเมืองในเรื่องนั้นก็ผ่านการวาด Story board และจำลองภาพสามมิติเพื่อออกมาเป็นเมืองในปี 1955
โฆษณา