10 ส.ค. 2021 เวลา 07:49 • ประวัติศาสตร์
ศรัทธา เหตุแห่งอัศจรรย์
ในสยามนี้มีเรื่องเล่าตอนที่ 395
โดยดร. สุวิจักขณ์ ภานุสรณ์ฐากูร
ก่อนอื่นเลย ผมต้องขอแจ้งเพื่อทราบว่างานเขียนของผมที่เก็บเอาไว้ในโทรศัพท์มือถืออยู่ ๆก็เปิดไฟล์ไม่ได้
จริงอยู่แม้ว่าจะเป็น งานเขียนซึ่งนำมาลงให้อ่านแล้วก็ตาม แต่การที่เราสูญเสียข้อมูลออกจากเครื่องโทรศัพท์มือถือ มันทำให้เครียดอยู่ไม่ใช่น้อยเพราะมีไม่ต่ำกว่า 300 ตอน
และจริงอยู่อีกเช่นกันที่ผมสามารถกลับไปเอาข้อมูลเดิมจากเพจของตัวเอง แต่นั่นก็เท่ากับต้องเสียเวลาในการค้นหา
จึงอยากจะแจ้งทราบว่า การสำรองข้อมูลไว้เป็นเรื่องสำคัญ ผมเองสำหรับบทความนี้คงจะต้องสำรองข้อมูลไปเก็บเอาไว้ในอีเมลของตนเองไว้ด้วย หรือไม่ก็เซฟลงไปในเครื่องคอมพิวเตอร์ ซึ่งใช้อยู่ที่บ้านจะเป็นการดี
ครับ ผมขอเกริ่นแต่เพียงเท่านี้ ก่อนที่จะเริ่มบทความที่สำคัญ คือผมตั้งใจมากครับที่จะเขียนบทความนี้ จากความรักและความทรงจำล้วน ๆ
แต่ก่อนอื่นใดผมอยากให้ทุกท่านได้อ่านบทความนี้ จากศรัทธาและความรักมากกว่าที่จะใช้คำจำกัดความหรือขีดเส้นใต้ "ว่าโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน" ไม่..ไม่ใช่เช่นนั้นเด็ดขาด
เพราะสิ่งที่กำลังจะ เขียนให้อ่านนั้นไม่จำเป็นที่จะต้องใช้วิจารณญาณอะไรนอกเหนือจาก ความรักและคิดถึงแต่เพียงอย่างเดียว
ผมเป็นคนที่เชื่อ ในสิ่งที่สามารถพิสูจน์ได้ในทางหลักการของวิทยาศาสตร์ ไม่ว่าอะไรก็ตามสิ่งที่เกิดขึ้นจากธรรมชาติย่อมจะต้องมีเหตุผลทางวิทยาศาสตร์รองรับ แต่!!! มันเป็นอย่างนั้นทุกเรื่องหรือ
ใครสามารถพิสูจน์ เรื่องของบั้งไฟพญานาคในคืนวันออกพรรษาได้อย่างเป็นรูปธรรม ช่วยให้ความรู้กับผมหน่อยได้ไหม? นั่นเป็นเรื่องหนึ่งที่เห็นได้ชัดว่ายังหาเหตุผลในการรองรับปรากฏการณ์ดังกล่าวไม่ได้
ดังนั้นแล้วสิ่งผมจะกล่าวถึง ก็ยังคงอยู่เหนือกฎเกณฑ์ที่จะพิสูจน์ได้เช่นกัน เรื่องเช่นนี้ตั้งอยู่บนศรัทธามากกว่าตรรกะทางวิทยาศาสตร์
หลายรูปที่ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า เกิดขึ้นหลังจากที่ ในหลวงรัชกาลที่ 9 เสด็จสวรรคต มีทั้งที่เป็นก้อนเมฆซึ่งรวมตัวกันเป็นรูปต่าง ๆ ซึ่งล้วนแต่มีความคล้ายพระบรมฉายาลักษณ์ของ ในหลวงรัชกาลที่ 9 จากภาพที่เห็น ไม่ได้เกิดการตัดต่อหรือแต่งเติมแต่ประการใด นั่นเรื่องหนึ่ง...
แต่ยังมีอีกหลายครั้งหลายกรณีที่ไม่เกี่ยวกับก้อนเมฆ เช่นกรณีที่นกบินเป็นฝูงขนาดใหญ่ โดยรอบพระบรมมหาราชวัง ในวันที่ 14 ตุลาคม 2559 หรือในกรณีของ ฝูงนกสีขาวที่บินมาจากทางทิศตะวันตก เข้ามาในบริเวณพระเมรุมาศ ในช่วงของการถวายเพลิงพระบรมศพ จากนั้นก็บินหายลับกลับไปในทิศทางที่บินมา
รวมถึง หมอกปทุมเกตุ ที่ปกคลุมท้องฟ้ากรุงเทพฯ ในคืนวันที่เสด็จสวรรคต และในช่วงวันที่ถวายเพลิงพระบรมศพเช่นเดียวกัน ว่ากันว่าหมอกที่ปกคลุมอยู่นั้น เคยเกิดขึ้นในสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในวันที่พระองค์เสด็จสวรรนคตเช่นกัน
ส่วนในสมัยรัชกาลที่ 2 ครั้งพระองค์เสด็จสวรรคต ก็เกิดเมฆปะทุนเพลิงทางด้านทิศตะวันตก แดนฉานไปทั่วทั้งท้องฟ้า...
ในกรณีเช่นนี้ สำหรับผมไม่เคยหยิบยกเอาเรื่องวิทยาศาสตร์ มาเป็นพื้นฐานว่าจะต้องมีหลักฐานให้แน่นหนา ให้หนักแน่นก่อนที่จะเชื่อ เพราะผมเชื่อในเรื่องของ บุญญาธิการ บุญบารมี สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นนับครั้งไม่ถ้วน มาแต่ในอดีตแล้ว ตั้งแต่สมัยพระพุทธเจ้า เยซูเจ้า พระอัลเลาะห์เจ้า หรือศาสดาท่านอื่นๆ ก็เกิดเรื่องราวเกินกว่าทางวิทยาศาสตร์จะพิสูจน์ทั้งนั้น
ครับ ในช่วงที่เรากำลังอดทนกับความลำบากที่เกิดขึ้น มันทำให้จิตใจทดท้อเบื่อหน่าย ผมเชื่อว่า หลายท่านคงมองขึ้นไปบนท้องฟ้า พร้อมกับส่งความรู้สึกและร้องขอออกไป โดยเชื่อมั่นว่าจะมีผู้ที่รับฟังมันอยู่ อีกทั้งมอบในความปรารถนานั้นกลับมา
ครับไม่ว่าเรา จะอธิษฐานอะไร ขณะมองขึ้นไปบนฟ้า เพื่อนึกถึงใครคนหนึ่ง ที่เราไม่เคยลืมเลือน..ใช่ "ไม่แม้สักวันเดียว"
ขอให้ศรัทธานั้นยังคงมั่น ในประเทศที่มีความศักดิ์สิทธิ์เพียงพอ สิ่งที่เลวร้ายจะผ่านไป และนำความสุขสวัสดิ์กลับมาอีกครั้ง ภายใต้ร่มเงาของพระองค์ ผู้ที่ยังคงสถิตอยู่ตราบนิรันดร์
โฆษณา