13 ส.ค. 2021 เวลา 11:17 • ประวัติศาสตร์
ยุวชนฮิตเลอร์ : ค่านิยม โฆษณาชวนเชื่อ และอิทธิพลต่อเยาวชน
ครั้งหนึ่งชาวเยอรมันทุกเพศทุกวัยจะต้องร้องเพลงชาติที่บอกว่าชนชาติเยอรมันนั้นเหนือกว่าชาติอื่นๆ ซึ่งเป็นหนึ่งในความพยายามของพรรคนาซี (Nazi) ที่จะปลูกฝังพลเมืองของตนว่า ชนชาติเยอรมันของพวกเขานั้นยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก
ฮิตเลอร์และพรรคนาซีต้องการสร้างประเทศเยอรมนีให้ยิ่งใหญ่ เกรียงไกร ซึ่งไม่เพียงแต่สร้างแสนยานุภาพทางการทหาร แต่รวมถึงการปลูกฝังและสร้างเยาวชน ก็เป็นส่วนหนึ่งของการสร้างชาติเยอรมนีที่ยิ่งใหญ่ด้วยเช่นกัน
ดังนั้นในช่วงที่นาซีมีอำนาจ ค่านิยมและโฆษณาชวนเชื่อเหล่านี้จะถูกปลูกฝังให้ชาวเยอรมันตั้งแต่เด็ก
ยุวชนฮิตเลอร์ (Hitler Jugend / Hitler Youth)
พรรคนาซีก่อตั้งยุวชนฮิตเลอร์ ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1922 โดยได้รับอิทธิพลมาจากลูกเสือที่อังกฤษเป็นผู้ริเริ่มเมื่อต้นศตวรรษที่ 20
เริ่มแรกยุวชนฮิตเลอร์มีจำนวนเยาวชนเข้าร่วมทั้งหมด 50,000 กว่าคน และภายใน ค.ศ. 1933 จำนวนเยาวชนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเป็น 2 ล้านคน และ ภายใน 3 ปีหลังจากนั้น ได้เพิ่มมากถึง 5.4 ล้านคน เกินครึ่งอยู่ในวัย 10-18 ปี และในปีค.ศ. 1940 เยาวชนและคนรุ่นใหม่มากกว่า 90% ในเยอรมนีเป็นยุวชนฮิตเลอร์
1
ฮิตเลอร์ และ กลุ่มยุวชนฮิตเลอร์ (Credit : https://www.history.com/news/how-the-hitler-youth-turned-a-generation-of-kids-into-nazis)
การเดินสวนสนามของยุวชนฮิตเลอร์
ยุวชนฮิตเลอร์ เป็นองค์กรเยาวชนของพรรคนาซี ซึ่งในตอนแรกประกอบไปด้วยเยาวชนชายเพียงอย่างเดียว และมีลักษณะเป็นกองกำลังกึ่งทหารหรือลูกเสือ โดยเริ่มจากการสมัครใจก่อนในช่วงแรก กระทั่งปี 1936 เป็นต้นมาก็ได้ออกกฎหมายบังคับให้เยาวชนทุกคนเข้าร่วม ภายใต้คติพจน์ว่า "จะเชื่อฟัง หรือ จะรับบทลงโทษ"
โดยแบ่งเป็น 4 กลุ่ม ดังนี้
1. German Youngsters (Deutsches Jungvolk) สำหรับเด็กผู้ชายอายุ 10-14 ปี
1
Credit : Wikipedia
2. Young Girls’ League (Jungmädelbund) สำหรับเด็กหญิงอายุ 10-14 ปี
Credit : Wikipedia
3. The League of German Girls (Bund Deutscher Mädel, or BDM) สำหรับเยาวชนหญิง อายุ 14-18 ปี
Credit : https://www.geo.de/magazine/geo-epoche-panorama/bau-der-reichsautobahnteilstrecke-zwischen-rosenheim-und-traunstein_30133520-30166892.html
4. Hitler Youth (Hitler Jugend) สำหรับเยาวชนชาย อายุ 14-18 ปี
Credit : https://www.grunge.com/346714/the-untold-truth-of-the-hitler-youth/
ค่านิยมและโฆษณาชวนเชื่อต่อยุวชนฮิตเลอร์
เมื่อ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ แห่งพรรคนาซีก้าวมามีอำนาจในปี ค.ศ. 1933 เขาได้เปลี่ยนแปลงการศึกษาครั้งใหญ่ของเยอรมนีทันที โดยสั่งให้กระทรวงศึกษาธิการเปลี่ยนแปลงหลักสูตร และจัดทำหลักสูตรใหม่ ในเรื่อง "เชื้อชาติ" เพื่อสอนในโรงเรียนทุกแห่ง
โดยพรรคนาซีปลูกฝังเยาวชนชาวเยอรมัน ดังนี้
- พรรคนาซีสั่งให้กระทรวงศึกษาออกแบบหลักสูตรและปลูกฝังเรื่องความยิ่งใหญ่ของเชื้อชาติอารยัน และ ความยิ่งใหญ่ของอาณาจักรไรซ์ (Reich) เยอรมนีในอดีต
Credit : https://sites.lib.jmu.edu/studio395/2019/04/25/why-did-education-change-in-nazi-germany/
- เด็กๆทุกคนจะได้รับเครื่องแบบเฉพาะที่ต้องใส่
- เด็กเยอรมันทุกเพศทุกวัย จะต้องเรียนรู้เรื่องชีววิทยา ธรรมชาติวิทยา เพศศึกษา และประวัติศาสตร์ ที่เชื่อมโยงกับเชื้อชาติอารยันที่พรรคนาซีเชื่อว่าเป็นเชื้อชาติที่ยิ่งใหญ่และสูงส่งที่สุด
- เด็กนักเรียนจะได้เรียนประวัติศาสตร์ พร้อมกับการจำแนกลักษณะของชาวอารยัน ออกจากเชื้อชาติอื่นๆ
โดยฮิตเลอร์ได้จัดตั้งหน่วยงานเฉพาะที่ทำงานเกี่ยวกับ "เชื้อชาติ" และส่งเจ้าหน้าที่ไปวัดขนาดศีรษะ ตรวจสีผิว เส้นผม สีดวงตาของนักเรียนตามโรงเรียนด้วย เพื่อเปรียบเทียบและจำแนกกับตารางลักษณะของชาวอารยัน และสร้างแผนผังตระกูลของประชาชนที่มีเชื้อสายอารยันบริสุทธิ์ ที่สำคัญคือต้องการแยกจากเชื้อชาติอื่นๆ เช่น ยิว
เด็กนักเรียนหญิงกำลังเรียนเรื่องเชื้อชาติอารยันในโรงเรียน (Credit : https://spartacus-educational.com/GEReducation.htm)
- หลักสูตรจะบรรจุการยกย่องและเทิดทูนตัวผู้นำฮิตเลอร์และพรรคนาซี และสอนให้รู้จักการทำความเคารพหรือทักทายแบบนาซี (Nazi Salute) ซึ่งปัจจุบันยังคงเป็นท่าทางที่ละเอียดอ่อนไม่ควรเลียนแบบอย่างยิ่ง
Credit : https://www.historyextra.com/period/second-world-war/hitler-youth-children-history-soldiers-fight-jojo-rabbit-film-ww2/
- เด็กชายทุกคนที่อายุ 14-18 ปี จะต้องเข้าร่วมกลุ่มยุวชนฮิตเลอร์ และได้รวมทั้งเยาวชนหญิงและชายจำนวนมากต่อมา ดังที่กล่าวไปด้านบน โดยผู้ปกครองจะไม่สามารถห้ามเด็กๆเข้าร่วมกิจกรรมของพรรคนาซีได้ เพราะถือว่าผิดกฎหมาย
1
- นอกจากนี้ พรรคนาซียังมีการคัดเลือกเด็กชาย อายุระหว่าง 12-18 ปี ที่มีศักยภาพจะเป็นผู้นำในอนาคต โดยเด็กๆจะถูกคัดเลือกและส่งตัวไปยังโรงเรียนอดอล์ฟฮิตเลอร์ ลักษณะเป็นโรงเรียนเตรียมทหาร โดยจะปลูกฝังอุมการณ์ของนาซีและจะมีการฝึกเข้มเตรียมให้พวกเขาเข้าร่วมกับพรรคในอนาคต
ที่โรงเรียนประจำนี้ พวกเขาจะได้รับการฝึกทหาร ฝึกใช้อาวุธ เรียนรู้หลักสูตรการต่อสู้พื้นฐาน
Credit : https://www.history.com/news/how-the-hitler-youth-turned-a-generation-of-kids-into-nazis
ยุวชนฮิตเลอร์ถูกสอนให้อ่านแผนที่ (Credit : https://www.historyhit.com/who-were-the-hitler-youth/)
ทหารเยอรมันสาธิตการใช้ปืนปืนที่ทำสงครามแก่ยุวชนฮิตเลอร์ โดยมีพ่อและแม่เด็กยืนอยู่ด้านหลัง (Credit : https://www.akg-images.com/archive/-2UMDHUHPY9VK.html)
ยุวชนฮิตเลอร์ที่กำลังฝึกใช้ปืนไรเฟิล (Credit : Wikipedia)
- ส่วนเด็กผู้หญิง พวกเธอจะได้รับการปลูกฝังให้มีความสามัคคี ร่วมแรงร่วมใจ และสนับสนุนกิจกรรมของกลุ่มและครอบครัว การจะเป็นผู้หญิงอารยันที่ดี พวกเธอจะต้องทำหน้าที่เป็นทั้งภรรยาและแม่ที่ดี โดยพวกเธอมักจะได้เรียนเรื่องงานบ้านเป็นหลัก เช่น การทำอาหาร การเลี้ยงดูและพยาบาลผู้ป่วย และการเย็บปักถักร้อย เป็นต้น
กลุ่มเยาวชนหญิง (The League of German Girls) เข้าร่วมกิจกรรมของพรรคนาซี ช่วยเลี้ยงเด็กเล็กขณะที่ผู้ปกครองต้องทำงานระหว่างวัน เป็นการเรียนรู้บทบาทของแม่และการเลี้ยงเด็ก (Credit : https://www.facinghistory.org/holocaust-and-human-behavior/chapter-6/joining-hitler-youth)
- ส่วนครูอาจารย์ในสถานศึกษาที่มีเชื้อสายยิว จะถูกไล่ออก โดยไม่ได้รับเงินชดเชยใดๆ ส่วนครูอาจารย์ชาวเยอรมันจะต้องเข้าร่วม "สมาคมครูแห่งพรรคนาซี" เพื่อรับการอบรมและตรวจสอบจากพรรคนาซีก่อนว่ามีคุณสมบัติถูกต้องตามกำหนด และสามารถถ่ายทอดอุดมการณ์ของพรรคนาซีให้แก่นักเรียนได้
- ในช่วงปิดเทอมครูทุกคนก็จะต้องเข้าร่วมกิจกรรมรับการอบรมจากพรรคนาซีด้วย
- ขณะที่นักเรียน ช่วงปิดเทอมจะมีแคมป์ฤดูร้อนสำหรับยุวชนฮิตเลอร์ โดยเด็กๆจะสวมใส่เครื่องแบบที่กำหนด ทำกิจกรรมร่วมกัน เช่น ร้องเพลง ฝึกทหารเบื้องต้น ปีนเขา ทำกิจกรรมกองไฟตอนกลางคืน เป็นต้น แต่ที่สำคัญทุกคนจะถูกปลูกฝังให้ยกย่องและเทิดทูนผู้นำฮิตเลอร์
ในภายหลังแคมป์ฤดูร้อนเปลี่ยนไป เด็กผู้ชายจะเน้นไปที่ฝึกทหาร การใช้อาวุธมากขึ้น ส่วนเด็กผู้หญิงจะเน้นการพยาบาลผู้ป่วย และการทำอาหาร
- นักเรียนสามารถแจ้งเจ้าหน้าที่ของพรรคนาซีได้ด้วย ถ้าครูอาจารย์มีแนวคิดที่เป็นปฏิปักษ์ต่อพรรคนาซี หรือการสอนไม่เป็นไปตามที่พรรคกำหนด
Hitler Jugend Summer Camp (Credit : https://ww2db.com/image.php?image_id=14093)
ผลกระทบที่เกิดขึ้น
ผลกระทบจากการที่พรรคนาซีใช้หลักสูตรที่เน้นเรื่องเชื้อชาติอารยัน และการสรรเสริญพรรคนาซี ทำให้คุณภาพการศึกษาของเยอรมนีลดลงและนักเรียนได้รับความรู้วิชาและทักษะทางวิชาการลดลง
การปลูกฝังค่านิยมและโฆษณาชวนเชื่ออุดมการณ์นาซี มีเป้าหมายในการสร้างรัฐเผด็จการของฮิตเลอร์ ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อทำลายโครงสร้างทางสังคมแบบเดิมที่ชนชั้นสูงจะได้รับสิทธิพิเศษ การก่อตั้งยุวชนฮิตเลอร์ทำให้เด็กไม่ว่าจะฐานะใด พ่อแม่เป็นใครก็ตาม ก็จะต้องเข้าร่วม เป็นการขจัดความแตกต่างทางสังคมและชนชั้นไปในตัวด้วย
เนื่องจากพบว่าผู้ปกครอง หรือ ผู้ใหญ่บางกลุ่มต่อต้านอุดมการณ์ของพรรคนาซี การที่ฮิตเลอร์บังคับให้เด็กและเยาวชนต้องเข้าร่วมยุวชนฮิตเลอร์ และเปิดโอกาสให้เยาวชนฟ้องเจ้าหน้าที่พรรคนาซีได้ถ้าพ่อแม่เป็นปฏิปักษ์ต่อพรรค จะช่วยทำให้พรรคนาซีควบคุมความคิดของประชากรได้ง่ายขึ้น และเผยแพร่อุดมการณ์นาซีเข้าไปยังทุกส่วนของสังคมได้ง่ายขึ้นด้วย
Credit : https://www.theholocaustexplained.org/the-nazi-rise-to-power/the-nazi-rise-to-power/sa-and-ss/
นักเรียนทุกเพศทุกวัยจะได้รับการปลูกฝังเรื่องสังคมไร้ชนชั้น และเชื่อมโยงประวัติศาสตร์ความยิ่งใหญ่ของเยอรมนี ที่ลงมาสู่จุดที่แพ้สงครามโลกครั้งที่ 1 ว่าเป็นเพราะความเสื่อมโทรมของสังคม และ "ชาวยิว"
ส่วนเด็กผู้หญิงจะได้รับผลกระทบเนื่องจากหลักสูตรที่ไม่หลากหลาย และบังคับเรียนแต่เฉพาะการเป็นภรรยาและแม่เท่านั้น ทำให้โอกาสที่จะได้เรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัยมีน้อยลงไปด้วย
นอกจากนี้ผลกระทบที่มากที่สุดเกิดกับเด็กชาวยิว ในช่วง ค.ศ. 1939 เป็นต้นไป เด็กนักเรียนชาวยิวจะโดนรังแก ข่มเหง ดูถูก และท้ายที่สุดคือโดนจับตัวไปเข้าค่ายกักกัน
ผลจากการปลูกฝังอุดมการณ์นาซีและโฆษณาชวนเชื่อเรื่องเชื้อชาติอารยัน ทำให้เยาวชนชาวเยอรมันมากกว่า 7 ล้านคนในตอนนั้นกลายเป็นพลเมืองแบบที่นาซีต้องการ และ ส่วนใหญ่ไม่มีใครคิดที่จะต่อต้านพรรคนาซี
Credit : Wikepedia
พวกเขาพร้อมที่จะแจ้งพรรคนาซีทันที ถ้าพ่อแม่ ครูบาอาจารย์ของพวกเขา มีแนวคิดที่ต่อต้านหรือห้ามไม่ให้พวกเขาร่วมกิจกรรมของพรรคนาซี
ฮิตเลอร์ออกกฎหมายห้ามไม่ให้มีการรวมกลุ่มอื่นๆที่นอกเหนือไปจากยุวชนฮิตเลอร์ ครั้งหนึ่งมีกลุ่มลูกเสือที่แมกซ์ เอเบล เป็นหนึ่งในสมาชิก ถูกกลุ่มยุวชนฮิตเลอร์เอามีดแทงไปที่มือ หลังจากที่แมกซ์ปฏิเสธที่จะเข้าร่วมกลุ่มยุวชนฮิตเลอร์ หลังจากนั้นเขารู้ได้ทันทีว่าชีวิตเขาในประเทศเยอรมนีไม่ปลอดภัยอีกต่อไป ถ้าเขาจะไม่เข้าร่วมกลุ่ม
1
แมกซ์เป็นหนึ่งในเยาวชนชาวเยอรมันกว่าล้านคนที่โดนบังคับและปฏิเสธที่จะเข้ากลุ่มยุวชนฮิตเลอร์ ทำให้พวกเขาเหล่านี้ต้องหลบหนีออกนอกประเทศ กรณีของแมกซ์ เขาลี้ภัยไปอยู่ที่สหรัฐอเมริกาและได้เป็นพลเมืองในภายหลัง
กลุ่มต่อต้านยุวชนฮิตเลอร์ที่มีขนาดใหญ่ในเยอรมนี มีชื่อว่า โจรสลัดเอลเดอร์ไวซ์ (The Elderweiss Pirates) ซึ่งรวบรวมคนได้มากกว่า 5 พันคนที่ไม่เห็นด้วยกับการบังคับและอุดมการณ์ของพรรคนาซี พวกเขาจะสนใจอุดมการณ์ แนวคิดและวัฒนธรรมจากอังกฤษและสหรัฐอมเริกามากกว่า
พวกเขาจะคอยโจมตี และก่อกวนกิจกรรมของกลุ่มยุวชนฮิตเลอร์ เช่น การวาดกราฟิติต่อต้านสงครามและฮิตเลอร์บนกำแพงในที่สาธารณะ
The Elderweiss Pirates (Credit : https://www.qcaa.qld.edu.au/downloads/senior/snr_eat_sem1_16_mod_history_sources.pdf)
ในปี 1944 พรรคนาซีได้จับผู้ต้องสงสัย 6 คนที่คาดว่าจะอยู่ในกลุ่มต่อต้าน และแขวนคอพวกเขาโดยไม่มีการไต่สวนใดๆก่อนที่เมืองโคโลญ
ทว่านาซีสามารถปลูกฝังค่านิยมและโฆษณาชวนเชื่อเหล่านี้ได้เพียงแต่เยาวชนระดับประถมและมัธยมเท่านั้น เยาวชนที่โตกว่าและเข้าเรียนระดับมหาวิทยาลัยแล้ว ส่วนใหญ่จะรู้เท่าทัน เพราะโตมาก่อนยุคที่นาซีจะมีอำนาจ และได้รับการเรียนการสอนที่เน้นวิพากษ์วิจารณ์ และเข้าถึงชุดข้อมูล เอกสารที่หลากหลายกว่า ทำให้ในภายหลังพวกเขาได้กลายเป็นปัญญาชนที่รวมกลุ่มต่อต้านพรรคนาซี และมีส่วนร่วมในการลอบสังหารฮิตเลอร์ก่อนที่สงครามโลกครั้งที่ 2 จะยุติ
รวมถึงกลุ่มต่อต้านฮิตเลอร์ที่ได้ย้ายไปฝรั่งเศส ได้ช่วยเด็กชาวยิวกว่า 40 คน ให้รอดพ้นจากการถูกจับตัวไปที่ค่ายกักกันในเอาช์วิทซ์ (Auschwitz) ด้วย
ยุวชนฮิตเลอร์และสงครามโลกครั้งที่ 2
เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการในปีค.ศ. 1939 ยุวชนฮิตเลอร์ อายุ 18 ปีขึ้นไป ชายและหญิง ที่ได้รับการฝึกแบบทหารมาแล้ว ถูกเกณฑ์ไปเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ 2 และเดินทางไปยังพื้นที่ที่เยอรมนีเข้าไปยึดครอง ในฐานะ ตำรวจ ทหาร หมอและพยาบาล
ยุวชนฮิตเลอร์ในวัย 16 ปีที่ได้รับเลือกให้เข้ารบในสงครามในปี 1945 (Credit : https://www.historyhit.com/who-were-the-hitler-youth/)
เยาวชนชายที่ถูกส่งไปยังพื้นที่สงคราม
ส่วนยุวชนที่มีอายุน้อยและยังไม่ได้รับการฝึกทางทหาร จะได้รับหน้าที่จัดของ จัดอาหาร จัดเครื่องมือสำหรับผู้ที่จะไปร่วมสงคราม
บางส่วนถูกส่งไปยังพื้นที่ชายขอบหรือชนบทที่ห่างไกลของเยอรมนี เพื่อเผยแพร่อุดมการณ์นาซี สอนภาษาเยอรมัน เพื่อทำตามเป้าหมายของพรรคนาซีในการรวมและสร้างจักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่
และเมื่อสงครามเข้าสู่ปี ค.ศ. 1943 เป้าหมายของยุวชนฮิตเลอร์ที่แท้จริงก็ปรากฏขึ้น เมื่อเด็กและเยาวชนทุกคนที่อายุ 17 ปีขึ้นไป ต้องเข้าเป็นทหารไปร่วมรบ และจะยิ่งเด็กขึ้นเรื่อยๆเมื่อฝ่ายนาซีต้องการทหารจำนวนมากไปรบ ทำให้เด็กหลายคนต้องหยุดเรียนและไปทำสงคราม
ยุวชนฮิตเลอร์ในวัย14-16 ปีที่ถูกส่งไปยังพื้นที่สงคราม (Credit : https://www.historyhit.com/who-were-the-hitler-youth/)
ยุวชนฮิตเลอร์และทัศนศึกษาที่ญี่ปุ่น
เมื่อเยอรมนีเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ 2 และก่อตั้งกลุ่มพันธมิตรเป็นมหาอำนาจอักษะ (Axis Power) อันประกอบไปด้วย เยอรมนี อิตาลี และญี่ปุ่น เพื่อคานอำนาจต่อสู้กับฝ่ายสัมพันธมิตรอย่างอังกฤษ ฝรั่งเศส และสหรัฐอเมริกา
ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 เยอรมนีและญี่ปุ่นเป็นศัตรูฝ่ายตรงข้ามกัน ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไปก่อนเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 2 ทั้งสองประเทศก็กลับมาเจริญสัมพันธ์ทางการทูต แลกเปลี่ยนวัฒนธรรม ความรู้วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี
ก่อนที่ญี่ปุ่นจะเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 2 อย่างเป็นทางการ พรรคนาซีของเยอรมนีได้ส่งยุวชนฮิตเลอร์เดินทางไปทัศนศึกษาที่ญี่ปุ่นด้วย
เนื่องจากเยอรมนีถูกสกัดกั้นการเดินทางทางอากาศและทางน้ำ ทำให้ไม่สามารถขึ้นเครื่องบินและเรือได้ ยุวชนฮิตเลอร์จึงได้เดินทางด้วยรถไฟ ผ่านทางรถไฟที่ยาวที่สุดในโลก ข้ามทวีปยุโรปและเอเชียได้ คือ ทางรถไฟสายทรานส์ไซบีเรีย ไปลงที่กรุงวลาดิวอสต็อก ของโซเวียตซึ่งพรมแดนติดกับญี่ปุ่น
เป้าหมายแรกของการทัศนศึกษาของยุวชนฮิตเลอร์กลุ่มนี้ คือ ไปศึกษาพื้นที่ที่ญี่ปุ่นเข้าไปยึดครอง ในแมนจูเรียและเกาหลีก่อน เพื่อซึมซับวิธีการที่ญี่ปุ่นใช้ ความรู้สึกชาตินิยม ความแข็งแกร่ง ความหล้าหาญของเหล่าทหารญี่ปุ่น รวมถึงเด็กชายชาวญี่ปุ่นที่ถูกฝึกทางทหารที่ฮาร์บิน ที่สามารถทำการเกษตรและตั้งถิ่นฐานในแมนจูเรียได้
1
กลุ่มยุวชนฮิตเลอร์ที่ไปทัศนศึกษา จะได้เห็นความสำเร็จของญี่ปุ่นที่เข้าไปยึดครองพื้นที่อื่นๆ เพื่อมาปรับใช้ในเยอรมนี ที่สำคัญคือการปลูกฝังทัศนคติว่าการที่จักรววรดิจะขยายตัวและเข้าไปครอบครองพื้นที่ประเทศอื่นนั้น "ไม่ผิด" แต่อย่างใด
ยุวชนฮิตเลอร์ตั้งค่ายที่ประเทศจีนในปี 1935 (Credit : https://www.akg-images.com/archive/-2UMDHUHPY9VK.html)
กระทั่งคณะทัศนศึกษาได้เดินทางเข้าประเทศญี่ปุ่น คณะยุวชนฮิตเลอร์ได้รับการต้อนรับด้วยวงดุริยางค์ ธงที่มีสัญลักษณ์สวัสดิกะและธงอาทิตย์อุทัยของญี่ปุ่น ถูกประดับไปตามเส้นถนนรอบเมืองที่คณะจะเดินทางผ่าน
คณะทัศนศึกษาเดินทางไปเยี่ยมเยียนสถานที่สำคัญของราชวงศ์ญี่ปุ่น ไปเยี่ยมชมการเรียนการสอนในโรงเรียนญี่ปุ่น ได้พบและพูดคุยกับเจ้าหน้าที่สำคัญๆของญี่ปุ่นเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นด้วย
ที่สำคัญคณะทัศนศึกษายุวชนฮิตเลอร์ ได้เดินทางไปเยี่ยมชมศาลเจ้ายาสุคุนิ ซึ่งเป็นศาลเจ้าชินโตที่อุทิศให้กับทหารกล้าของญี่ปุ่นในสงครามต่างๆ
ขบวนต้อนรับยุวชนฮิตเลอร์ที่ญี่ปุ่นในปี 1938 (Credit : https://commons.wikimedia.org/wiki/File:Hitlerjugend_marching_on_a_Japanese_street_1938.jpg)
ขณะยุวชนฮิตเลอร์เยือนศาลเจ้ายาสุคุนิในปี 1938 (Credit : https://ww2db.com/images/other_hitleryouth133.jpg)
สิ่งที่ฮิตเลอร์ต้องการปลูกฝังยุวชนฮิตเลอร์จากการทัศนศึกษาที่ญี่ปุ่น คือ ฮิตเลอร์ต้องการให้เยาวชนเหล่านี้สัมผัสถึง "จิตวิญญาณความเป็นญี่ปุ่น" ซึ่งอธิบายเป็นคำพูดได้ค่อนข้างยาก แต่พอจะบอกลักษณะได้ว่า เป็นลักษณะของการอุทิศตนอย่างแรงกล้าให้กับความเชื่อ (อาจจะเป็นความเชื่อของเซนและชินโตที่ฝังรากลึกในสังคมญี่ปุ่น) ความมีระเบียบวินัย ความศรัทธา และพลังจากบุคคล
ในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ชาวเยอรมันไม่ค่อยเคร่งในการนับถือศาสนาใดๆ นับถือพระเจ้า แต่ไม่ห้ามว่าจะเป็นนิกายใดและไม่มีความขัดแย้งระหว่างนิกาย ทำให้ผู้คนจะไม่มีจุดร่วมในการแสดงความศรัทธาหรือต้องอุทิศตนให้กับความเชื่อใดๆเท่าไหร่นัก
กระทั่งพรรคนาซีและฮิตเลอร์เรืองอำนาจ การดึงผู้คนจำนวนมากให้หันมาศรัทธาและอุทิศตนให้กับผู้นำจึงเป็นเรื่องที่สำคัญ ฮิตเลอร์พยายามปรับสถานะให้ตนเป็นผู้นำทางความเชื่อและศูนย์รวมความศรัทธาด้วย
ดังนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องปลูกฝังยุวชนฮิตเลอร์ให้อุทิศตนต่อพรรคนาซีและฮิตเลอร์ เหนือสิ่งอื่นใด ถึงจะสามารถสร้างชาติที่แข็งแกร่งและขยายจักรวรรดิต่อไปได้
Credit : Wikipedia and Getty Images
เมื่อญี่ปุ่นเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 1 อย่างเต็มตัว การทัศนศึกษาและเปลี่ยนวัฒนธรรมระหว่างเยอรมนีและญี่ปุ่น ก็ได้หยุดลง เนื่องจากการสกัดกั้นการเดินทางที่มากขึ้น และการเกณฑ์คนจำนวนมากไปเข้าร่วมสงครามของทั้งสองประเทศ
กระทั่งพรรคนาซีเริ่มเพลี่ยงพล้ำและกำลังจะแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 หลายๆเมืองของเยอรมนีเกิดภาวะขาดแคลนอาหารอย่างหนัก บ้านช่องของผู้คนพังพลายจากสงคราม ทำให้บทบาทของยุวชนฮิตเลอร์ปรับเปลี่ยนมาเป็นการช่วยเหลือพลเรือนมากขึ้น
เยาวชนชายมีส่วนช่วยในการอพยพผู้คนออกจากพื้นที่สงคราม เป็นกองกำลังป้องกันภัย และซ่อมแซมบ้านเรือนผู้คน ส่วนเยาวชนหญิงมีหน้าที่ ทำอาหารและปฐมพยาบาลผู้ป่วยและผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจากสงคราม
ขณะเดียวกันยุวชนฮิตเลอร์บางส่วนได้ก่อตั้งเป็นอีกกลุ่มย่อยชื่อว่า Waffen-SS ซึ่งประกอบไปด้วยเยาวชนชายอายุเพียง 16-17 ปี เข้าไปทำภารกิจสังหารหมู่ที่ฝรั่งเศส และภารกิจสังหารหมู่ในอีกหลายเมือง รวมถึงภารกิจพลีชีพต่างๆด้วย
1
ยุวชินฮิตเลอร์ที่ถูกส่งไปทำภารกิจต่างๆในสงคราม
ท้ายที่สุดเยอรมนีแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 พรรคนาซีถูกประกาศโดยฝ่ายสัมพันธมิตรให้เป็นรัฐบาลผิดกฎหมาย รวมถึงได้ยุติกิจกรรมและการรวมกลุ่มของยุวชนฮิตเลอร์ทั้งหมด
สมาชิกยุวชนฮิตเลอร์ส่วนใหญ่ที่อายุน้อยกว่า 18 ปีที่ถูกจับได้ ส่วนใหญ่ไม่ได้รับข้อหาที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมสงคราม โดยมองว่าพวกเขายังเป็นเด็กและเยาวชน แต่ผู้ใหญ่ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการก่อตั้งกลุ่มถูกจับตัวและนำตัวไปขึ้นศาลในภายหลัง ด้วยข้อหาปลูกฝังความรุนแรงและลัทธิสังคมนิยมแก่เยาวชนเยอรมัน
เด็กและเยาวชนเยอรมันที่เกิดในช่วงปีค.ศ. 1920-1930 ที่ถูกบังคับให้เข้าร่วมกลุ่มยุวชนฮิตเลอร์ในปี 1936 กลายเป็นผู้ใหญ่ในช่วงสงครามเย็น ทำให้ผู้นำและข้าราชการระดับสูงของเยอรมนีตะวันตกและตะวันออกหลายคน เคยเป็นสมาชิกยุวชนฮิตเลอร์มาก่อน (เยอรมนีถูกแบ่งเป็นสองฝั่งหลังสงครามโลกครั้งที่ 2)
หลายคนกล่าวว่า พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่น และไม่สามารถไม่เข้ากลุ่มได้ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้อยู่ในบัญชีดำและต้องรับโทษ
ส่วนสมาชิกคนอื่นๆ ในภายหลังพวกเขาได้ออกมาให้สัมภาษณ์เล่าเรื่องราวในตอนที่ได้อยู่ในกลุ่มยุวชนฮิตเลอร์ ส่วนใหญ่เสียใจและตระหนักได้ถึงความเลวร้ายที่พวกเขาอาจจะเคยทำลงไประหว่างที่โดนฮิตเลอร์ปลูกฝังค่านิยมและโฆษณาชวนเชื่อ
บางคนกล่าวโทษตัวเองว่าเป็นต้นเหตุที่ทำให้นาซีฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวไปนับล้าน โดยในตอนนั้นพวกเขาไม่รู้หรืออาจจะเมินเฉยต่อความโหดร้ายที่นาซีกระทำ
หลายคนต้องเข้ารับการรักษาจิตใจจากความโหดร้ายในสงครามที่พวกเข้าต้องเจอในวัยที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะเสียด้วยซ้ำ
บางคนกล่าวว่า ฮิตเลอร์ปล้นชีวิตวัยเด็กของพวกเขาไป พวกเขาสูญเสียอิสรภาพเพื่อทำตามผู้นำเผด็จการที่ฆ่าคนไปเป็นล้าน ซึ่งพวกเขาเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้เกิดการฆ่ามนุษย์ด้วยกันเองเยอะเช่นนี้ โดยไม่ได้ตระหนักรู้เลยว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง
References:
โฆษณา