11 ส.ค. 2021 เวลา 16:19 • ไลฟ์สไตล์
บทความเพื่อแม่
ในอดีต มีชายผู้หนึ่งนามว่าหยางฝู่ ตั้งแต่เล็กก็ได้รับการเลี้ยงดูอย่างดีจากบิดามารดา
แต่ว่าหยางฝู่ ร่ำเรียนมาก็มากแต่ก็ไม่เคยสอบเป็นขุนนางได้ ทำการค้าก็ไม่เคยได้กำไร และเมื่อคิดแต่งงานก็หาได้ถูกใจฝ่ายตรงข้าม
แต่ว่าผู้ที่เป็นพ่อแม่ก็รู้สึกวางใจ เพราะแม้ว่าหยางฝู่จะไม่สามารถเป็นขุนนางใหญ่ หรือทำการค้ารุ่งเรือง แต่หยางฝู่ก็มีชีวิตที่ราบรื่น
อยู่มาวันหนึ่ง หยางฝู่คิดว่าชีวิตนี้ช่างไร้ซึ่งรสชาด แต่ชีวิตคนก็แสนจะอนิจจัง จึงมีความคิดที่จะออกบวช
และเคยได้ยินมาว่า ณ มณทลเสฉวนมีพระอาจารย์ท่านหนึ่งนามว่าอู๋จี้ ซึ่งมีคุณธรรมอันสูงส่ง เขาจึงทำการลาพ่อแม่ เพื่อเดินทางไปยังเสฉวนเพื่อกราบพระอาจารย์
เมื่อเขาเดินทางมาถึงเสฉวน เขาก็ได้พบกับพระภิกษุชรารูปหนึ่ง พระภิกษุรูปนั้นได้ถามเขาว่า..
 
“ เจ้ามาจากที่ใด? มาที่นี่เพื่อการใด?”
หยางฝู่ตอบว่า
“ ข้าน้อยนั้นมาจากแดนไกล มาที่นี่เพื่อทำการกราบท่านพระอาจารย์อู๋จี้เพื่อถวายตัวเป็นศิษย์รับใช้ เพื่อเรียนรู้พุทธธรรม”
พระภิกษุชรากล่าวกับหยางฝู่ว่า
“ เจ้าต้องการกราบพระอาจารย์อู๋จี้เพื่อถวายตัวเป็นศิษย์เรียนรู้พุทธธรรม มิสู้เจ้าไปกราบพระพุทธะพระโพธิสัตว์เพื่อเรียนรู้ธรรมโดยตรงจากท่านดีกว่าหรือ?”
หยางฝู่เมื่อได้ฟัง ก็ถามกลับไปว่า
“ ข้าพเจ้าปรารถนาใครพบพระพุทธะ แต่มิรู้ว่าพระพุทธนั้นสถิตอยู่ ณ แห่งใด?
พระภิกษุชราจึงกล่าวกับหยางฝู่ว่า
“ ง่ายเหลือเกิน เจ้าจงเร่งกลับไปที่บ้านของเจ้า เมื่อเจ้าไปถึงแล้วพระพุทธะพระโพธิสัตว์ก็จะยืนอยู่ตรงหน้าเจ้า
จงจำไว้ว่า ท่านจะห่มกายด้วยผ้าห่มผืนหนา และสวมรองเท้ากลับข้างกัน นั่นแหละคือ นิรมานกายแห่งพระพุทธะ”
หยางฝู่เมื่อได้ฟัง ก็เร่งรีบกลับบ้าน เพื่อพบพระพุทธะ และเมื่อกลับถึงบ้าน ก็ปาเข้าไปถึงยามสามซึ่งนั่นก็ดึกมาแล้ว เขารีบเคาะประตูเรียกร้องให้แม่ออกมาเปิด
เมื่อผู้เป็นแม่ได้ยิน ก็รู้สึกดีใจรีบลุกจากเตียงนอน อารามด้วยความรีบเร่ง จึงคว้าผ้าห่มคุมกาย และสวมรองเท้ากลับข้างออกไป
หยางฝู่เมื่อได้เห็น ก็คิดถึงคำพูดที่ภิกษุชราได้กล่าวไว้ แม่ของเขานี่เองที่ดูแลเขาตั้งแต่เล็กจนโต เปรียบไปก็ดั่งพระพุทธะพระโพธิสัตว์ จึงรีบคุกเข่าก้มกราบผู้เป็นแม่ ร่ำไห้ขอขมา จากนั้นเป็นต้นมา หยางฝู่ก็ทำการเลี้ยงดูบิดามารดาดั่งสักการะพระพุทธะเยี่ยงนั้น
พระแท้ในบ้าน ที่แท้ก็คือพ่อแม่ของเรานั่นเอง การกตัญญูจึงเป็นหน้าที่พื้นฐานแห่งมนุษย์ เปรียบแล้วก็ดั่งการสักการะพระพุทธะเช่นกัน
ในโลกนี้มีความรักอยู่ชนิดหนึ่งที่เป็นความรักอันแท้จริง โดยไม่มีการเรียกร้องให้คืนสนอง รักนั้นมิใช่เพียงแค่สองสามวัน แต่เป็นความรักที่ให้ไปดั่งแสงแห่งดวงอาทิตย์ ให้ทั้งความอบอุ่น ให้ทั้งความชุ่มชื่น ความรักที่ว่านี้ก็คือ ความรักของบิดามารดา
เราล้วนเกิดจากบิดามารดา หาใช่เกิดจากกอไผ่ ล้วนเติบโตมาด้วยความรักและอาทรของพ่อแม่ เราลองพิจารณาดูสักนิดเถิดว่า...
ทุกเช้าตื่นขึ้นมา ใครเป็นผู้หุงหาอาหารให้แก่เรา ใครเป็นผู้ซักเสื้อผ้าให้กับเรา ใครกันดูแลเราอย่างดีที่สุด?
ทุกเช้า ออกไปทำงานนอกบ้าน ตกเย็นค่ำมืดถึงกลับมา นอกจากพ่อแม่แล้วยังมีใคร?
ตรากตรำทำงาน ไม่เคยพร่ำบ่น นอกจากพ่อแม่แล้วยังมีใคร?
เมื่อเราเจ็บป่วย ใครกันที่ห่วงอาทรที่สุด? ใครกันที่คอยดูแลอยู่ไม่ห่าง?
เมื่อเราได้รับบาดเจ็บ ใครกันที่เจ็บยิ่งกว่า? ยินยอมรับความเจ็บปวดแทนเรา?
เมื่อเราล้มเหลว ใครกันที่คอยให้คำปลอบประโลมใจ ให้เรากล้าหาญยืนหยัดขึ้นอีกครั้ง?
เมื่อเราโดดเดี่ยว ไร้คนใส่ใจ ใครกันที่ดูแลเราตลอดชีวิต? นอกจากพ่อและแม่ โลกนี้จะมีใครเล่า?
ความรักของพ่อแม่ ดั่งสายธาราไหล ไม่แบ่งเช้าสายบ่ายเย็น ไม่มีวันขาดหาย พระคุณเหล่านี้ เมื่อได้รับมา เหตุใดผู้เป็นบุตรธิดา ไม่รู้สำนึกทดแทนคุณ?
จากหนังสือ
#พระคุณบุพการี
ขอบคุณทุกคำทักทาย
ขอบคุณที่แวะมาน๊าา 😘😍
โฆษณา