11 ส.ค. 2021 เวลา 19:33 • การเมือง
บทที่2 "Love Has No Color" (ความรักของเราคือสีที่มองไม่เห็น)
บทความนี้ อุทิศให้แด่มารดา ผู้ตั้งครรภ์ผู้เขียนที่เป็นลูกไม่เอาไหน และดันโตมากลายพันธุ์มีสีสันที่ต่างจากผู้ให้
ขอมอบบทความนี้ให้กับผู้หญิงที่ผมรักมากที่สุด ผู้ที่เป็นแรงบันดาลใจให้ผมเริ่มขีดเขียน เพลงนี้ Qua Sera Sera "what ever will be will be" (อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด) มันคือเพลงโปรดของแม่ผม สมัยที่แม่ผมเรียนมัธยม เธอเล่าว่า เธอร้องเพลงนี้วิชาภาษาอังกฤษ ซึ่งทุกคนต้องร้องเพลงภาษาโลกที่หนึ่ง หลายคนคงรู้จักเพลงนี้จากโฆษณาขายประกันภัย
ผมควรจะเริ่มยังไงดี วันนี้เป็นวันแม่ และแถมมันคือวันเกิดแม่ของเขาผม 12 สิงหาคม สมัยเด็กๆ ผมดีใจมากที่รัฐบาล มีนโยบายโอนเงินให้ผู้เป็นแม่ 500บาท ทุกปี แต่ปัจจุบัน นโยบายนี้ถูกยกเลิกไป เพราะคงสิ้นเปลือง ยังไงก็เถอะบทความนี้ ผมเขียนให้แม่ แต่หวังว่าแม่ไม่ควรต้องอ่านมัน เพราะแม่ผมคงจะร้องไห้ เช่นสมัยผมเด็กๆ พ่อแม่ผมทำงานกับ NGO นักสังคมสงเคราะห์ ช่วยผู้ป่วย จากโรคเอดส์ สำหรับผม ผมไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองจนเลย เพราะผมโตมาในโรงเรียนนานาชาติที่ชื่อว่า jingle bells Dancing บางคนเรียก Jupiter Dancing แต่อะไรก็เถอะ ผมโตมาในโรงเรียนวัดเทพลีลา ใจกลางชุมชนแออัดที่สุดและหลากหลายทางความเชื่อ และฐานะของประเทศไทย ย่านรามคำแหง คงเหมือน Brooklyn ใน New york City
ชีวิตวัยประถมของผมชิลมากๆ ผมเดินจากบ้าน ซ.รามคำแหง32(ร.พ.ราม) ไปถึง มหาลัยราม มองทางด่วนที่กำลังเริ่มก่อสร้างเหนือหัวเรา มีป้ายติดตลอดทางว่า "สภาพอากาศตรงนี้ อันตรายเกินกว่าที่มนุษย์จะหายใจ" ซึ่งมันติดแบบนี้ นานนับปี แต่คงมีงบเพียงพอแต่ติดป้ายเตือน เพราะไม่มีใครทำอะไร แต่ยังไงก็เถอะ ผมไม่รู้สึกว่าบ้านเราจนเลยนะ ที่พ่อแม่ไม่มีเงิน ให้ผมนั่งรถตู้โรงเรียน ผมสนุกที่ได้เดินกลับบ้านกับเพื่อนๆ เพราะมีคนที่จนกว่าผมเยอะมากในโรงเรียนนี้ ผมไม่รู้เลยว่าเงินเดือนละ 5000-6000บาท มันหนักแค่ไหนสำหรับการเลี้ยงครอบครัวลูกสาม ซึ่งผมดันเป็นคนสุดท้าย ลูกชายคนเดียว ที่โตมากับสังคม ตกเย็นผมจะไปเล่นบอลกับเพื่อนๆในโรงงาน ไทยน้ำทิพย์ มีรถ 18ล้อ ขับผ่านทุก 30นาที ซึ่งเสียงบีบแตรดังลั่นคือนกหวีดที่บอกหมดครึ่งเวลาสำหรับเรา และในบางคืน พ่อแม่ต้องพาผมไป พัฒพงษ์เอดส์ เพราะไม่มีคนอยู่บ้าน แต่งานคือ แค่เดินแจกถุงยางให้สาวๆ
มันคือรสชาติชีวิตที่เด็กน้อยคนจะได้เห็น ชีวิตผมเหมือนเครื่องดื่มที่ไม่มีสูตรสำเร็จ เหมือนเราได้ดื่ม Coca-Cola ที่รสชาติไม่ซ้ำกันแบบไม่อั้น เพราะโรงงานไทยน้ำทิพย์ มีข้อดี คือ จะล็อตที่เครื่องดื่มมีปัญหา เค้าเอามาให้คนขับรถ ซึ่งบางขวดซ่าส์เกิน บางขวดหวานไป เราก็จะเปิดกันแบบเป็นสิบขวดเพื่อตามหารสชาติที่อร่อยที่สุด ซึ่งผมยังจำรสชาติของ Cock ที่ผิดเพี้ยนแต่มันถูกปากผมได้ถึงทุกวันนี้ ผมไม่ค่อยชอบไปโรงเรียน เพราะกลัวอาจารย์ภาษาอังกฤษมาก ท่านลงโทษเราด้วยหน้าสาม ถ้าคิดไม่ออกให้นึกถึงขาเก้าอี้นักเรียน ถ้าใครซวยโดนสันเหลี่ยมมัน ก็จะม่วงไปเป็นอาทิตย์
จากความผิดพลาดที่เขียนสะกดชื่อตัวเองผิด ผมชื่อ "ภูมิ" ชื่อจริงตัวเดียวโดดๆ ผมเขียน "Poom" ผมโดนตี 2 ที เพราะอาจารย์ว่า ภูมิต้องเขียน "Phome" Ph=ภ. O =สระ ( ู) me = ม. ผมกลัววิชานี้มาก ทุกวันนี้สงสัยมาก เข้าไป Google Translate พิมพ์คำว่า Phome แต่เสียงเธอ ออกชัดเจนมาก "ฟูมม" Ph = ฟ. แล้วผมลองพิมพ์ตามที่ผมสะกด มันออกเสียงใกล้เคียงมากคือ "พูม" ผมจำจากการ์ตูน ถ้าเสียงระเบิดมันเขียน Boom ไอ้เด็ก ป.4-5 คนนั้นเลยคิดไปว่างั้น ภูมิ(พูม) ก็ต้องเขียน Poom สิ ... ทุกวันนี้ผมตามหาอาจารย์สอนภาษาอังกฤษคนนั้นอยู่ เหอๆ
แต่ความสุขและความใสของผมต้องจบลง เมื่อก้าวเข้าสู้ โรงเรียนมัธยม เมื่อพ่อแม่ ได้งานใหม่ จากอาม่าซึ่งต้องการขยายร้านขายปุ๋ยไปทำสาขาใหม่ ร้านเก่าจึงต้องให้แม่กลับมาบริหาร ซึ่งมันคือจุดเปลี่ยนของชีวิตเด็กคนนั้น จากหน้ามือหลังตีน จากพวก 99% เป็น พวก 1% ซึ่งจริงๆมันอาจจะไม่ใช่ แต่ความรู้สึกเด็กคนนั้น มันรู้สึกแบบนั้นจริงๆ เราได้ไปทำงานบนสุดของห่วงโซ่อาหาร คือขายปุ๋ยยาฆ่าแมลง ซึ่งสมัยนั้น เศรษฐีค่า GDP มาจากเกษตรกร แต่มันก็มีราคาที่แลกมามหาศาล คือท่านไม่ได้ดูแล เด็กในช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อที่สุดคือวัย teenager ช่วงที่ควรจะอยู่ใกล้เด็กหนุ่มมากที่สุด แต่ท่านไปทำงานที่เพชรบุรี กลับมาบ้านคืนวันเสาร์ เพื่อพาครอบครัวเราไปโบสถ์คริสเตียนในวันอาทิตย์ ซึ่งครอบครัวเป็นคริสเตียน อาจเพราะพ่อแม่ทำงานใกล้ชิดกับต่างชาติ ก็มีส่วนได้รับอิทธิพลทางศาสนา (ซึ่งผมจะขยายในบทใหม่ๆในชื่อ "พวก 1%" หมายถึง 1% ในศาสนา)
สรุปคือ พ่อแม่ทิ้งผมไว้กับวัตถุ ผมได้ขับรถเก๋งตั้งแต่มัธยม ในสมัยนั้น จนท.ไม่สน ว่าคนหลังพวงมาลัยอายุเท่าไหร่ เด็กที่ซื้อบุหรี่ และเหล้าอายุเท่าไหร่ ผับบ้านๆแชะหรูหราต้องตรวจบัตรด้วยเหรอ ผมอยู่ในช่วงก่อนการเปลี่ยนแปลงกฎหมาย แต่มันพลาดตรง พวกเค้ายังไม่เปลี่ยน ผมจำความรู้สึกหดหู่ครั้งนั้นได้ หลังขับรถจากโรงเรียน ผมเปิดกระจก จุดบุหรี่ เปิดเพลงฮัมชิลๆ และบังเอิญเงยหน้าขึ้นไป ผมเห็นคนมากมาย พนักงานออฟฟิศ นักศึกษา นักเรียน ก้มมองผมจากรถเมล์คันใหญ่ สายตาพวกเค้า มันทำให้ผมหดหู่มากๆ ผมพยายามเรียกร้องความสนใจ ด้วยการซื้อเบียร์จากร้านโชว์ห่วย เอามาเทใส่ตัว กลั้วปาก ทำให้มีกลิ่นเหล้าหึ่งให้ได้มากที่สุด เพื่อให้คืนที่แม่กลับมาบ้าน จะได้ ด่าผม และผมก็โดน ผมแค่เรียกร้องความสนใจ และผมเรียกร้องหนักขึ้นเรื่อยๆ จนหันไปใช้ยาเสพติดที่เด็กสมัยนั้น ติดกันคือ ยาบ้า ก่อนที่รัฐบาลทักษิณจะปราบปราม (ซึ่งจะแยกไปอีกบท)
สรุปแล้ว วันนึง แม่ผมก็ร้องไห้ไม่หยุด เธอร้องไห้เป็นสัปดาห์ ผมถามว่าเกิดอะไรขึ้น แม่ก็ว่าเปล่า แต่พอจ้องตาผม แม่ก็ร้องไม่หยุด จนผมมารู้ว่า แม่แอบอ่านความเลวร้ายทุกอย่างที่แม่ไม่รู้ แต่ผมบันทึกมันลงไดอารี่ของผมรู้ ถ้าเป็นสมัยนี้ เด็กคนนั้นคงโพสในไดอารี่สาธารณะ แต่ตอนนั้น ผมแค่ต้องการระบายความอัดอั้น หลังจากนั้น แม่ผมก็ให้ผมลาออก จากโรงเรียนเก่า เพื่อไปเรียน โรงเรียนเอกชนแบบคริสต์ที่เพชรบุรี และนั่นแหละคือจุดเริ่มต้นของผม ที่มีความฝันอยากเปลี่ยนแปลงผู้คนด้วยเรื่องราวงานเขียน
ขอโทษสำหรับการทำให้แม่ร้องไห้ แต่บางครั้งการร้องไห้ครั้งนั้น มันก็มีข้อดีของมัน ท่านเข้าใจผม และหาวิธีแก้ไข พาผมไปทำกิจกรรม พ่อพาผมไปตกปลาที่ชะอำ สองพ่อลูกก็มั่วๆกันไป พาผมไปฝึกทำไร่ เช่าไร่เล็กๆมาลองปลูกพืชผัก ซึ่งขอบคุณที่ยังคงเชื่อมั่นในตัวผม แม้วันนี้ เราอาจกลับมาคิดต่างกันอีกครั้งในบทต่อไป....
พรุ่งนี้จะเข้าประเด็นการเมืองแล้วนะ เมื่อสลิ่ม และสามกีบ เกิดขึ้นใน บทที่3
โฆษณา