12 ส.ค. 2021 เวลา 05:55 • การเมือง
บทที่ 3 อุทิศแด่ข้าพเจ้า "Creep" (สวะ)
ตัวอย่างของวาทกรรมที่สร้างความเกลียดชัง Hate Speech
Hate Speech วาทกรรมที่สร้างความเกลียดชัง คือสิ่งที่พวกเค้าเรียก และตีตราผมและคนอื่นๆว่า "เด็กเปรต" หรือความล้มเหลวที่พ่อแม่ ไม่อยากจะเห็น แต่ลูกชายคนเดียว คนสุดท้องกลับเปลี่ยนไป กลายเป็น สิ่งที่พ่อแม่รังเกียจ เกิดอะไรขึ้นกับเด็กคนนั้น เกิดอะไรขึ้นกับเด็กที่เคยใส่เสื้อเหลือง ออกไปเป็นการ์ด V For Thailand ออกมาใส่หน้ากาก Guy Fawkes สมัครเป็นการ์ดอาสา ในม็อบสวนลุมพินี เด็กหนุ่มคนนั้น อายุ 20 ต้นๆในวันนั้น เรียนใกล้จบมหาลัย แต่ยอมสละเวลาอันมีค่า เที่ยวเดินตามหลังทหารที่เค้าก็ไม่รู้จัก แต่เห็นป้าๆลุงๆพากันยกมือไหว้ ในกลางดึก เด็กหนุ่มคนนั้น ทำตัวเป็นองครักษ์ ให้ทหารยศอะไร เค้ายังไม่รู้ ซึ่งทหารผู้นั้น ขอให้เด็กหนุ่มคนนั้นไปพัก แต่เค้ายืนกรานที่จะเฝ้า เพราะกลัวคนเห็นต่างมาทำร้ายคนที่เค้าก็ไม่รู้ว่าใคร แต่เค้าเคยเชื่อว่า นี่คือความถูกต้อง เพราะพ่อแม่เค้าเชื่อเช่นนั้น มหาลัยที่เรียนก็ชี้ทางแบบนั้น
เด็กหนุ่มคนนั้น เคยศรัทธา และได้รับเลือกให้ทำภาพยนตร์สั้นเทิดพระเกียรติ ให้กับองค์ราชินี ภายใต้การอนุเคราะห์จาก กปร.ทำเด็กหนุ่มคนนั้น ไม่เคยจับปืนรบกับผู้ก่อการร้ายที่สามจังหวัดไฟใต้ แต่เค้าไปพื้นที่สีแดงโดยมีกล้องและปากกาในการแก้ปัญหาด้วยวิธีคิด ทัศนคติ และเหตุผล
เกิดอะไรขึ้นกับสลิ่มหนุ่มในวันนั้น อะไรเปลี่ยนเค้าให้เป็นเด็กเปรต ชังชาติ หนักแผ่นดิน และสุดท้าย เค้าถูกเวรกรรมตามสนอง เค้าเคยถูกสอนให้มองคนเห็นต่างว่ากินหญ้า เป็นควาย วันนี้ พวกเขาเรียกเราว่า "สามกีบ" ซึ่งตอนนี้ผมอาจใช้กีบแทนปลายนิ้วในการกระแทกแป้นพิมพ์บทความ ลง Blockdit ผมอาจเป็นส่วนผสมที่ล้มเหลวของลูกหลานคนเดือนตุลา เนื่องจากพ่อแม่ผม เมื่อ 40ปีก่อน ท่านก็เคยถูกมองว่าเป็นภัยอันตรายของชาติ พวกคอมมิวนิสต์ ผมไม่รู้ประวัติศาสตร์ เพราะต่อให้ผมว่าผมรู้ มันก็มาจากความรู้ที่เค้าเล่าต่อๆกันมา ทั้งภาพยนตร์ ละคร ข่าว และคนใกล้ชิด โดยสื่อดูชี้นำว่า คอมมิวนิสต์ในช่วงนั้น พวกนักศึกษาถูกหลอกใช้ ซึ่งพวกท่านที่เป็นคนรุ่นเก่าน่าจะหาคำตอบได้ดีกว่าผม แต่สำหรับผม ผมมองพ่อแม่ผมว่า ทั้งคู่ ถูกความรักบิดบังตา เพราะความรักทำให้เราทำเรื่องโง่ๆ โดยปราศจาก เหตุและผล
ตัวอย่างของผม ในสายตาคนเหล่านั้น
เกิดอะไรขึ้นกับพ่อแม่ผม ในช่วงวัยรุ่น พวก ท่านพบรักกันในมหาลัยธรรมศาสตร์ และบังเอิญ ช่วงนนั้น เกิดเหตุการณ์ที่ผมคงอธิบายไม่ได้ดีเท่าคนรุ่นเก่า เช่น พ่อของผมที่เดินทางเข้าป่าหลบหนีไปกับแม่ และนักศึกษานับหมื่นจากทั่วประเทศ ผมไม่ขออธิบายสิ่งที่ผมไม่รู้ แต่สิ่งนึงที่ผมรู้คือ เด็กหนุ่มเนิร์ดๆ(พ่อผม) เก่งภาษาอังกฤษจากลำปาง แอบหลงรักสาวเขื้อจีนอย่างแม่ผม และการเข้าถึงเธอได้นั้นไม่ยาก แค่ลงชื่อ ร่วมรณรงค์ไปกับแม่ และพี่ชายแม่ ซึ่งพี่ชายแม่คือแกนนำนักศึกษาธรรมศาสตร์ในสมัยนั้น ผมไม่เข้าใจเหมือนกัน ว่าเมื่อถึงวันที่ 14 ตุลาคม นักข่าว เกือบทุกช่องไปสัมภาษณ์ลุงผม พี่ชายแม่ (ศ.ดร.ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ)
ผมชอบคำนี้ของลุงผมนะ พ่อผมมักชอบอ้างเสมอว่าท่านผ่าน 14 ตุลา ท่านมีส่วน ทุกคนมีส่วน หรือบางทีเราอาจเป็นแค่ส่วนเล็กๆในจำนวนมหาศาล ของยุคของสมัย
แต่ก็เอาเถอะ ผมไม่รู้ว่าคุณจะเชื่อมั้ยว่าผมเคยเป็นหมาที่เชื่องของพ่อแม่ และทำทุกอย่างให้พ่อแม่สบายใจ แม้แต่ความคิด ผมควรจะคิดแบบเค้า ผมตั้งใจเขียนบทละครเรื่องหนึ่งให้ท่านนายกฯ ผมคือเศษเล็กๆในจำนวนมหาศาลที่อยากเห็นประเทศพัฒนา และนายกฯ บอกกับสื่อนักข่าวว่า เราแย่แล้ว ไม่มีคนเรียนอาชีวะเลย เราต้องเสียเงินมหาศาลจ้างแรงงานอาชีวะต่างประเทศ พวกสื่อพวกละคร หันมาทำเรื่อวราวเด็กอาขีวะบางสิ เอาแบบดีๆ ไม่มีต่อยตี เด็กมันจะได้อยากเรียน ขอบคุณพระเจ้า นี่คือโอกาสที่ผมจะทำให้พ่อแม่ภูมิใจ ผมมีสิทธิ์ร่วมแข่งขันเสนอบทประมูลกับช่องทีวีภาครัฐ Thapbs ที่ได้รับโจทย์ให้ทำหนังอาชีวะ และในบรรดาโปรดักชั่นเฮ้าท์มากมาย ที่ร่วมแข่งขัน ทางช่อง เลือกบทที่ผมเขียนจำนวน 20หน้ากระดาษ ในชื่อโปรเจ็ค Dreamteen ฝันให้สุด แต่ถ้าคุณสงสัยว่าใครเขียน คุณจะไม่พบชื่อของผม เพราะผมคือเด็กคนนึง แต่ชื่อผู้เขียนคือทีมงานบริษัทเท่านั้น
"Dreamteen" (ฝันให้สุด) ซีรี่ส์อาชีวะที่จะเปลี่ยนมุมมองอาชีวะในมุมใหม่ๆนอกจากนักเรียนนักเลง
อะไรเล่าคือสาเหตุที่เกริ่นไปยืดยาว ว่าเปลี่ยนผมให้เป็นสามกีบ ท่านนายกเหรอ คนในพรรคนั้นเหรอ หรือ คนที่ผมไม่ควรพูด เพราะยังไงก็ไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจาก พ่อแม่ผมเอง วันนึงขณะที่ผมทำงานในห้องเช่า หอพักใกล้ที่ทำงาน ทำอย่างขมักเขม้น เพื่อเข็นโปรเจ็คต่อๆไปให้บริษัทโปรดักชั่นเฮ้าท์ สำหรับ ถ้ามีงาน ผมจะเก็บตัว สันโดษ ขังตัวเองในห้อง ไม่เปิดทีวี ไม่ดูข่าว แต่โฟกัสประเด็นที่ได้รับมอบหมาย เฉพาะเจาะจง ผมหายไปจากโลก 1-2 เดือน ไม่รู้อัพเดทบ้านเมือง ว่ามีอะไร เกิดขึ้นบ้าง จนแม่ผมโทรมาบอกคำนึง "อย่าไปชุมนุมกับพวกเด็กเปรต" ผมถาม เด็กเปรตไหน อะไร ยังไง ผมไม่ได้ตามข่าว แม่ว่าทำงานเอ็งไป และก็ด่าเด็กพวกนั้นเสียงหายไปซึ่งผมรับไม่ได้อย่างรุนแรง เพราะปัจจุบัน พ่อแม่ผมเกษียณ วัย 65 ขึ้นทั้งพ่อและแม่ ท่านเปิดโบสถ์ สร้างคริสตจักรขึ้นมา ซึ่งนั่นแหละสิ่งที่ผมไม่ปลื้มเลย ท่านเลือกทางนักบุญ พระเยซูสอนท่านให้รักเด็ก
พระเยซูสอนสิ่งสำคัญที่สุดของชีวิต คือการให้อภัย การมอบความรัก การยอม และไม่ตัดสินผู้อื่น จงรักเพื่อนบ้านดั่งเช่นเรารักตัวเราเอง
นั่นแหละคือจุดเริ่มต้นที่ผมเริ่มสนใจในพวก "เด็กเปรต" มันมาจากการที่พ่อแม่ผมถูกปลูกฝั่งให้เกลียดชังคน "รุ่นใหม่" ผมขอเรียกตัวเองว่าคนรุ่นใหม่ด้วย เพราะผมอยู่ระหว่างลอยต่อพอดี เค้าแบ่งที่เกิน 35+ ขึ้นไปคือคนรุ่นเก่า และต่ำกว่า -35 ปี คือคนรุ่นใหม่ ซึ่งปีหน้าผมคงกลายเป็นคนรุ่นเก่า เพราะฉะนั้น ผมขอใช้สิทธิช่วงโค้งสุดท้าย บันทึกการเมืองในมุมมอง จากผลกระทบ ซึ่งผมคิดดูแล้ว ช่วงว่างๆโควิดไม่สามารถทำให้ผมกลับไปทำงานได้เช่นเคย ไม่รู้ว่านานแค่ไหน กองถ่าย และระบบจะกลับมารันตามปกติ ผมขอใช้ช่วงเวลานี้ ตีแพร่การเมืองในมุมมองที่สามกีบอ่าน สลิ่มอ่านก็ดี ในช่วงบทต่อไป เมื่อนักอยากเขียนสงสัย พวกเค้าต้องลงพื้นที่ ลองไป ม็อบสามกีบ
โฆษณา