13 ส.ค. 2021 เวลา 00:00 • ประวัติศาสตร์
ศรีวิชัยที่ไชยา
: แนวคิดเรื่องศรีวิชัย จากการค้นหาศูนย์กลางของอาณาจักร สู่ความเป็นสหพันธรัฐ
เมืองท่า
อาจารย์ศรีศักร วัลลิโภดม เขียนเรื่องแนวคิดในการศึกษาความเป็นบ้านเมืองของ “ศรีวิชัย” ไว้ดังนี้
ในวงการประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ “ราว ๔๐ ปี” ที่ผ่านมา มีการค้นคว้าและถกเถียงกันใหญ่โตถึงเรื่องอาณาจักรศรีวิชัย ที่มีความเจริญรุ่งเรืองทั้งการเมืองและเศรษฐกิจกว่าบรรดารัฐและบ้านเมืองอื่นๆ ในภูมิภาคช่วงเวลาแต่พุทธศตวรรษที่ ๑๓-๑๕ อาณาจักรนี้มีอำนาจปกครองบรรดาบ้านเมืองต่างๆ ทั้งในหมู่เกาะและชายทะเลบนคาบสมุทรมลายูที่ปัจจุบันอยู่ในเขตประเทศอินโดนีเซีย มลายู และทางตอนใต้ของประเทศไทย
ปัญหาทางประวัติศาสตร์ที่มีการถกเถียงกันก็คือ อาณาจักรศรีวิชัย มีเมืองหลวงที่เป็นศูนย์กลางการปกครองอยู่ที่ไหน? อยู่ทางใต้ของประเทศไทยหรือบนคาบสมุทรของมาเลเซีย หรือบนเกาะในประเทศอินโดนีเซีย? ดังกล่าวเป็นการถกเถียงกันในระดับระหว่างประเทศ
ขณะเดียวกันภายในแต่ละประเทศก็มีการถกเถียงกันว่าอยู่ที่เมืองใด เช่น ที่อินโดนีเซียอยู่ที่ชวาหรือสุมาตรา และในสุมาตราอยู่ที่เมืองปาเล็มบังหรือเมืองจัมบี ส่วนในประเทศไทยถกเถียงกันว่าอยู่ที่ไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี หรือที่จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นต้น
1
แต่เมื่อสรุปแล้ว นักประวัติศาสตร์และโบราณคดีต่างประเทศ เช่น ฝรั่งเศส อังกฤษ ฮอลันดา และอินเดีย ให้น้ำหนักอยู่ที่เมืองปาเล็มบัง บนเกาะสุมาตราของอินโดนีเซียว่า เป็นศูนย์กลางของอาณาจักรศรีวิชัย
ในกรณีนี้มีการคัดค้านหลักฐานทางโบราณคดีโต้ตอบกันระหว่างศาสตราจารย์ยอร์ช เซเดส์ (Prof. George Coedès) นักโบราณคดีชาวฝรั่งเศส ผู้เป็นปรมาจารย์ของนักโบราณคดีไทย เสนอว่า เมืองปาเล็มบัง คือเมืองหลวงของอาณาจักรศรีวิชัย กับ ดร. ควอริตช์ เวลส์ (Dr. Quaritch Wales) นักโบราณคดีชาวอังกฤษ ซึ่งเห็นว่าศูนย์กลางศรีวิชัยอยู่ที่เมืองไชยา อ่าวบ้านดอน จังหวัดสุราษฎร์ธานี
ดร.เวลส์ คือผู้ที่ศึกษาเส้นทางข้ามคาบสมุทรจากเมืองท่าที่เกาะคอเขา อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา ทางฝั่งทะเลอันดามันข้ามเขาสกในเทือกเขาตะนาวศรี มาออกทะเลอ่าวไทยที่อ่าวบ้านดอน ซึ่งเป็นแหล่งเมืองท่า แต่ภายหลัง ดร. เวลส์ ได้ยอมรับข้อเสนอของศาสตราจารย์เซเดส์ว่า ศรีวิชัย อยู่ที่ปาเล็มบัง
ขณะที่ท่านพุทธทาสภิกขุ ผู้ศึกษาแหล่งโบราณคดีของอ่าวบ้านดอน ยังยืนกรานตามข้อเสนอที่ว่า ศรีวิชัย อยู่ที่ไชยา และยืนยันข้อคิดเห็นนี้อย่างเหนียวแน่น ด้วยการหาหลักฐานทางโบราณคดีมาเสนอและเปรียบเทียบกันกับบรรดาหลักฐานที่ว่าศรีวิชัยอยู่ที่เมืองปาเล็มบัง บนเกาะสุมาตรา ความขัดแย้งดังกล่าวค่อยซาลงภายหลังสมัยเวลาของศาสตราจารย์เซเดส์ ดร. เวลส์ และท่านพุทธทาสภิกขุ
จนกระทั่งราว ๒๐ ปีให้หลัง การค้นคว้าประวัติศาสตร์โบราณเอเชียอาคเนย์ได้ฟื้นตัวขึ้นอีกครั้งหนึ่ง โดยการนำเสนอของ ศาสตราจารย์โอ. ดับเบิลยู. วอลเตอร์ส (Prof. O. W. Wolters) แห่งมหาวิทยาลัยคอร์เนล สหรัฐอเมริกา อาจารย์วอลเตอร์สและนักวิชาการร่วมสมัยกับท่านไม่สนใจในเรื่องเมืองหลวงหรือศูนย์กลางของอาณาจักรศรีวิชัยว่าอยู่ตรงไหน แต่พยายามค้นคว้าเรื่องราวของศรีวิชัยทั้งบนคาบสมุทรและหมู่เกาะ ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ การเมือง และวัฒนธรรม
พร้อมเสนอว่า ศรีวิชัย ไม่ใช่ราชอาณาจักรที่มีศูนย์กลางหรือเมืองหลวงอยู่ ณ ที่ใดที่หนึ่งเพียงแห่งเดียว แม้ว่าในส่วนตัวจะเห็นว่า เมืองปาเล็มบัง มีตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ เศรษฐกิจ และหลักฐานทางโบราณคดีหลายอย่างชี้ให้เห็นว่าเป็นเมืองใหญ่และสำคัญในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๓-๑๔ ลงมาก็ตาม
เหตุที่ไม่ยอมรับศรีวิชัยเป็นราชอาณาจักร เพราะโครงสร้างทางการเมืองการปกครองที่จะต้องเป็นลักษณะรวมศูนย์ แต่ศรีวิชัยเป็นกลุ่มเมืองชายทะเลและหมู่เกาะที่มีความสัมพันธ์กันในลักษณะเป็นสหพันธรัฐที่เรียกว่า มัณฑละ (Mandala) หรือ มณฑล ซึ่งแต่ละรัฐในมณฑลต่างๆ มีราชาของตนปกครองอย่างเป็นอิสระ แต่เชื่อมโยงกันด้วยความสัมพันธ์ทางสังคมและการเมืองระหว่างกษัตริย์ของแต่ละรัฐ ด้วยการกินดองเป็นเครือญาติด้วยการแต่งงาน ที่ทำให้กษัตริย์ผู้อาวุโสและมากด้วยปัญญาบารมี ได้รับการยกย่องให้เป็นมหาราชาหรือจักรพรรดิราช อันเป็นแนวคิดของทางอินเดีย
โดยสรุปก็คือเป็นประมุขของสหพันธรัฐนั่นเอง และการเป็นประมุขของมัณฑละดังกล่าวเป็นเรื่องเฉพาะกษัตริย์ ที่ไม่จำเป็นต้องยึดติดกับเมืองหลวงหรือเมืองสำคัญทางการเมืองและเศรษฐกิจ หากสิ้นพระชนม์ไปแล้ว อาจมีกษัตริย์จากรัฐอื่นที่มีบารมีก้าวขึ้นแทนที่ จึงทำให้ตำแหน่งของเมืองสำคัญเปลี่ยนตามไปด้วย
: อาจารย์ศรีศักร วัลลิโภดม เสนอรายละเอียดแนวคิดรูปแบบในความสัมพันธ์ของการเป็นสหพันธรัฐหัวเมืองต่างๆ ผ่านการแต่งงานและระบบเครือญาติของผู้ปกครองหรือในแวดวงของกษัตริย์ อันเรียกว่าเป็นระบบมัณฑละ [Mandala] อีกว่า
แนวคิดในเรื่องการกินดองหรือความสัมพันธ์ทางการเมือง อันเกิดจากการแต่งงานระหว่างกษัตริย์ผู้ครองรัฐในรูปมัณฑละนี้ สอดคล้องกันกับการศึกษาประวัติศาสตร์เมืองสุโขทัย สุพรรณภูมิ อโยธยา เพชรบุรี ราชบุรี แพรกศรีราชา และสุพรรณบุรี ที่เป็นบรรดานครรัฐในลุ่มน้ำเจ้าพระยาในภาคกลาง ซึ่งข้าพเจ้าคิดเสมอว่าความเป็นราชอาณาจักรของกรุงศรีอยุธยานั้น หาได้เกิดมาแต่สมัยการสร้างกรุงศรีอยุธยาในรัชกาลของสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ (พระเจ้าอู่ทอง) ไม่
ความเป็นราชอาณาจักรที่มีโครงสร้างการปกครองรวมศูนย์ปรากฏขึ้นในพุทธศตวรรษที่ ๒๑ ตั้งแต่รัชกาลสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถลงมา เพราะฉะนั้นอาจกล่าวได้ว่าบ้านเมืองที่ประกอบด้วยหลายนครรัฐแต่สมัยพุทธศตวรรษที่ ๒๐ ขึ้นไป ก็คือการเป็นกลุ่มของนครรัฐ ซึ่งหมายความว่าเมืองอโยธยาหรืออยุธยาเอง ก็เป็นหนึ่งในนครรัฐที่มีสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ (พระเจ้าอู่ทอง) เป็นประมุขของสหพันธรัฐดังกล่าว ข้าพเจ้าเห็นด้วยกับแนวคิดของศาสตราจารย์วอลเตอร์สในการเรียก “มัณฑละ” เพราะหมายถึงความสัมพันธ์ทางสังคมและการเมืองในรูปการกินดองของการแต่งงานระหว่างกษัตริย์ผู้ปกครองแต่ละนครรัฐ
มัณฑละในที่นี้จึงหมายถึงแวดวงของกษัตริย์ (Circle of the kings) ไม่ใช่แวดวงของนคร (circle of the city states)
เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๓ ข้าพเจ้าได้รับเชิญให้ไปสอนวิชาประวัติศาสตร์โบราณคดีประเทศไทยที่มหาวิทยาลัยคอร์เนลเป็นเวลา ๖ เดือน ได้เรียนรู้และแลกเปลี่ยนความรู้กับศาสตราจารย์วอลเตอร์ส ศาสตราจารย์สแตนลีย์ เจ. โอคอนเนอร์ (Prof. Stanley O’Connor) นักโบราณคดีประวัติศาสตร์ศิลปะ และศาสตราจารย์โทมัส เคิร์ช (Prof. Thomas Kirsch) นักมานุษยวิทยาอาวุโส ผู้ร่วมงานกับอาจารย์วอลเตอร์สในการศึกษาประวัติศาสตร์ศรีวิชัย
ข้าพเจ้าเคยเสนอกับท่านว่า เห็นด้วยกับการเป็นกลุ่มของนครรัฐในรูปสหพันธรัฐของศรีวิชัยที่เรียกว่า มัณฑละ เพราะได้ศึกษาการเมืองการปกครองในลักษณะนี้เช่นกันกับเมืองอโยธยา และนครรัฐร่วมสมัยก่อนพุทธศตวรรษที่ ๒๑ คือเกิดก่อนการรวมศูนย์อำนาจที่พระนครศรีอยุธยาซึ่งเป็นราชอาณาจักร และข้าพเจ้าเชื่อว่าก่อนหน้าพุทธศตวรรษที่ ๒๑ นั้น ประเทศไทยแต่โบราณไม่มีบ้านเมืองใดรวมตัวกันเป็นราชอาณาจักรทั้งสิ้น คงจะมีแต่ที่กัมพูชาในสมัยเมืองพระนคร ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๕ ลงมา บ้านเมืองแต่สมัยเจนละและสมัยทวารวดีในประเทศไทยที่มีอายุแต่พุทธศตวรรษที่ ๑๒ ลงมา ก็หาเรียกได้ว่าเป็นราชอาณาจักรไม่
บ้านเมืองเหล่านี้สะท้อนให้เห็นจากบันทึกการเดินทางของหลวงจีนฟาเหียน หลวงจีนเหี้ยนจัง และหลวงจีนอี้จิง ที่เดินทางจากจีนไปสืบค้นและเล่าเรียนพุทธศาสนาในอินเดียระหว่างพุทธศตวรรษที่ ๑๑-๑๓ ได้กล่าวถึงบรรดารัฐต่างๆ เช่น ศรีเกษตร หลั่งยะสิว (นครชัยศรี) ทวารวดี อิศานปุระ และมหาจำปา ที่นับเนื่องในบริเวณแผ่นดินใหญ่ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และบรรดารัฐที่อยู่บนคาบสมุทรและหมู่เกาะที่เรียกว่า ศรีวิชัย ซึ่งล้วนอยู่ร่วมสมัยเดียวกันทั้งสิ้น จากแนวคิดดังกล่าว
ข้าพเจ้าเชื่อว่าที่เรียกว่าอาณาจักรทวารวดีก็ดี หรืออาณาจักรเจนละก็ดี ล้วนเป็นกลุ่มนครรัฐร่วมสมัยที่เป็นลักษณะมัณฑละทั้งสิ้น
งานค้นคว้าหลักฐานทางโบราณคดีของท่านพุทธทาสภิกขุชี้ให้เห็นว่า บ้านเมืองรอบอ่าวบ้านดอนอยู่ในอาณาบริเวณของกลุ่มเมืองศรีวิชัยที่เรียกว่า มัณฑละ เพราะนอกจากพบโบราณสถานและโบราณวัตถุในพุทธศาสนามหายาน และจารึกที่ปรากฏพระนามพระเจ้ากรุงศรีวิชัยแล้ว ยังสัมพันธ์กับการเป็นแหล่งเมืองท่าบนเส้นทางการค้าและการคมนาคม จากอินเดียและตะวันออกกลางผ่านคาบสมุทรไทยไปเวียดนามและจีนด้วย
เส้นทางและการค้าขายกับจีนในสมัยพุทธศตวรรษที่ ๑๒-๑๓ มีจารึกเอ่ยพระนามของพระเจ้ากรุงศรีวิชัย เพียงพอที่จะบอกว่าเมืองไชยาที่อ่าวบ้านดอนเป็นศรีวิชัย หรือเป็นเมืองหนึ่งในกลุ่มมัณฑละศรีวิชัย แต่ไม่อาจบอกได้ว่าเป็นเมืองศูนย์กลางหรือเมืองหลวงของอาณาจักรศรีวิชัย ที่กล่าวเช่นนี้ก็เพราะเรื่องการเป็นเมืองหลวงของศรีวิชัยเป็นเรื่องพ้นสมัยไปแล้ว แต่ไชยาเป็นศรีวิชัย โดยเป็นนครรัฐหนึ่งในมัณฑละศรีวิชัย
: ไชยาคือนครรัฐหนึ่งในมัณฑละศรีวิชัย
อาจารย์ศรีศักร วัลลิโภดม ยังเสนอแนวคิดเกี่ยวกับความเป็นนครรัฐไชยา ที่กินพื้นที่บริเวณรอบอ่าวบ้านดอน ตามแนวทางที่ท่านพุทธทาสภิกขุบุกเบิกศึกษามาแต่แรกเริ่ม
โดยกล่าวถึงจารึกที่เอ่ยพระนามของพระเจ้ากรุงศรีวิชัย นอกจากพบที่ไชยาแล้ว ยังพบอีกแห่งหนึ่งที่เมืองปาเล็มบังบนเกาะสุมาตราของอินโดนีเซีย เป็นภาษามลายูโบราณ มีอายุอยู่ในพุทธศตวรรษที่ ๑๒ แต่จารึกที่ไชยาเป็นภาษาสันสกฤต มีอายุอยู่ในพุทธศตวรรษที่ ๑๓-๑๔ จึงบอกได้ว่าเมืองปาเล็มบังเป็นนครรัฐแห่งหนึ่งของมัณฑละศรีวิชัย และศรีวิชัยเกิดขึ้นตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๑๒ นับเป็นยุคแรก ขณะที่ไชยาเป็นศรีวิชัยในยุคหลังลงมา ที่มีข้อความกล่าวถึงกษัตริย์ราชวงศ์ไศเลนทร์ที่อยู่ที่เกาะชวา อันแสดงให้เห็นว่าเป็นยุคที่มัณฑละศรีวิชัยแผ่กว้างไปถึงชวาและคาบสมุทรไทย เป็นยุคที่พุทธศาสนามหายานเป็นปึกแผ่นด้วยความเจริญทางศิลปวัฒนธรรม เช่น การเกิดสถาปัตยกรรมทางศาสนา พระพุทธรูปแบบศรีวิชัย ซึ่งเป็นลักษณะผสมผสานของศิลปะแบบปาละ ชวา และทวารวดี
แต่ที่เมืองปาเล็มบังบนเกาะสุมาตรา แม้จะภูมิฐานเป็นเมืองใหญ่ใกล้แม่น้ำที่มาจากทะเล และตั้งอยู่ใกล้เขาศักดิ์สิทธิ์คือเขาบูกิตเซกุลตัง (Bukit Seguntang) พบโบราณสถานและโบราณวัตถุทางพุทธศาสนาน้อยมาก ดูแล้วแทบไม่มีศาสนสถานและวัตถุในสมัยพุทธศตวรรษที่ ๑๓-๑๔ เท่าใด เท่าที่ข้าพเจ้าได้ไปเห็น คือพระพุทธรูปที่มีจีวรเป็นริ้วคล้ายกับพระพุทธรูปแบบอนุราธปุระของลังกาและแบบอมราวดีของทางอินเดีย ที่ล้วนมีอายุราวพุทธศตวรรษที่ ๑๒ ขึ้นไป แต่ที่สำคัญ ที่เมืองปาเล็มบังได้พบพระพุทธรูปแบบทวารวดี ซึ่งเป็นของที่นำไปจากทางไชยาหรือไม่ก็นครปฐม
สิ่งที่ยืนยันได้ดีว่าศรีวิชัยที่ปาเล็มบังเก่าแก่กว่าศรีวิชัยที่ไชยาก็คือ รอบเขาบูกิตเซกุลตังพบเศษเครื่องปั้นดินเผาจีนในสมัยราชวงศ์ฮั่น ที่มีอายุเก่าแก่กว่าเครื่องปั้นดินเผาของราชวงศ์ถังหลายร้อยปี ขณะที่ไชยาพบแต่เครื่องปั้นดินเผาสมัยราชวงศ์ถังเป็นส่วนใหญ่ และสัมพันธ์กับแหล่งขนถ่ายสินค้าชายทะเลที่แหลมโพธิ์ รวมทั้งแหล่งเมืองท่าที่เกาะคอเขา อำเภอตะกั่วป่า
เครื่องปั้นดินเผาสมัยราชวงศ์ฮั่นดังกล่าว จากการค้นคว้าของนายแพทย์บัญชา พงษ์พานิช ผู้เชี่ยวชาญเรื่องลูกปัดให้ข้อมูลว่า พบมากที่เขาสามแก้วใกล้แม่น้ำท่าตะเภา อันเป็นแหล่งเมืองท่าโบราณที่มีอายุเก่าแก่ไปถึงพุทธศตวรรษที่ ๓-๔
การพบเครื่องปั้นดินเผาเคลือบจากแหล่งท่าเรือชายทะเล แสดงให้เห็นว่ามีการติดต่อค้าขายกับจีนมาแต่สมัยราชวงศ์ฮั่น ราวพุทธศตวรรษที่ ๕-๖ ลงมาแล้ว เป็นการค้าจากฝั่งทะเลจีนผ่านคาบสมุทรมลายูและหมู่เกาะไปยังฝั่งทะเลอันดามัน ข้ามมหาสมุทรอินเดียไปยังเมืองท่าฝั่งตะวันออกของอินเดีย แต่ที่อ่าวบ้านดอนอันมีเมืองไชยาเป็นเมืองสำคัญนั้น จากการค้นคว้าของนักโบราณคดียังไม่พบเครื่องปั้นดินเผาสมัยฮั่น แต่แหล่งโบราณคดีที่พบลูกปัดสมัยสุวรรณภูมิตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๓ ลงมา พบเครื่องปั้นดินเผาจีนสมัยราชวงศ์ฮั่นที่ท่าชนะ ซึ่งอยู่เหนืออ่าวบ้านดอนขึ้นไป บริเวณนี้มีแหล่งชุมชนโบราณบนแนวสันทรายใกล้กับเวิ้งน้ำที่เรียกว่า ลากูน มีทางน้ำไปออกทะเล ทำให้เรือสินค้าขนาดเล็กตามชายฝั่งเข้ามาได้ ชุมชนบนแนวสันทรายนี้คือแหล่งที่พบบรรดาลูกปัดสมัยสุวรรณภูมิลงมาจนถึงสมัยราชวงศ์ฮั่น
แหล่งชุมชนบนแนวสันทรายในเขตอำเภอท่าชนะ น่าจะเป็นชุมชนที่ทำอุตสาหกรรมการผลิตแก้วและทำลูกปัด (cottage industry) เพราะพบเศษชิ้นส่วนของแก้วและหินสีมีค่าที่ใช้ในการทำลูกปัดในสมัยก่อนทวารวดีและศรีวิชัย ส่วนบริเวณแหลมโพธิ์ซึ่งอยู่ตอนปลายสุดของแนวสันทรายที่ปลายแหลมซุยและแหลมโพธิ์ แหลมซุยเป็นแนวสันทรายเกิดใหม่ แต่แหลมโพธิ์ที่อยู่ต่ำลงมาเป็นแนวสันทรายเก่าที่อยู่ตรงปากคลองพุมเรียง ซึ่งไหลลงมาจากท้องน้ำที่เป็นลากูนริมทะเลในเขตตำบลตะกรบ อำเภอไชยา ตรงปลายแหลมโพธิ์คือบริเวณที่พบแหล่งลูกปัดและเครื่องปั้นดินเผาแต่สมัยราชวงศ์ถังลงมา เป็นแหล่งจอดเรือขนถ่ายสินค้าทางทะเล รวมทั้งเป็นแหล่งผลิตแก้วและลูกปัดในสมัยทวารวดี-ศรีวิชัย
นับเป็นแหล่งขนถ่ายสินค้าและท่าจอดเรือของบรรดาพ่อค้านานาชาติในยุคนั้น การขุดค้นทางโบราณคดีพบร่องรอยอาคารก่ออิฐเพียงเล็กน้อย แต่พบบ่อน้ำกินกว่า ๒๐ แห่ง อันแสดงให้เห็นว่าเป็นบริเวณที่อยู่อาศัยของพวกพ่อค้า ไม่ใช่บริเวณชุมชนคนพื้นเมือง
ภาพจาก https://en.wikipedia.org/wiki/Srivijaya... พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรขนาดความสูง ๒.๗๗ เมตร ศิลปะอมราวดี จากบูกิตเซกุลตัง ปาเล็มบัง อายุราว พุทธศตวรรษที่ ๑๒-๑๓
: เมืองไชยาสมัยทวารวดี-ศรีวิชัยที่สันทรายเก่า ปากคลองพุมเรียงและเมืองไชยาที่ใกล้ทะเล
อาจารย์ศรีศักร วัลลิโภดม ลำดับพัฒนาการความเป็นบ้านเมืองไชยาตามสภาพภูมิวัฒนธรรมตั้งแต่ปากคลองพุมเรียงไล่มาจนถึงสันทรายภายใน ที่เป็นบ้านเมืองในคราวสมัยศรีวิชัย และที่ต้องเน้นประเด็นสำคัญก็คือ อาจารย์ศรีศักรชี้ให้เห็นว่า ศาสนสถานเก่าแก่ที่วัดแก้ว วัดหลง วัดพระบรมธาตุไชยา นั้นเป็นปราสาทเจดีย์ประดิษฐานรูปเคารพทั้งพุทธมหายานและฮินดู ไม่ใช่ความเป็นพระสถูปบรรจุบรมธาตุที่เป็นศูนย์กลางของอาณาจักร จนทำให้เกิดวาทกรรมเรื่องศูนย์กลางของอาณาจักรศรีวิชัยอยู่ที่ไชยาหรือปาเล็มบัง เพราะกลายมาเป็นรูปแบบพระสถูปอันเป็นที่บรรจุพระบรมธาตุเลียนแบบทรงปราสาทสมัยศรีวิชัย มีซุ้มทิศที่ประดิษฐานพระพุทธรูป มีโบสถ์และวิหารโถงขนาดใหญ่ที่ประดิษฐานพระพุทธรูปหินทรายแดง และที่ระเบียงคดรอบพระอุโบสถก็เป็นที่รวมของพระพุทธรูปหินทรายแดงในช่วงเวลาต่างๆ แต่พุทธศตวรรษที่ ๑๘ จนถึงพุทธศตวรรษที่ ๒๑
มีชุมชนบ้านเมืองที่สัมพันธ์กับแหล่งขนถ่ายสินค้านั้นอยู่ที่ป่ายาง บนเนินทรายชายฝั่งทะเลใกล้กับปากคลองพุมเรียง เป็นพื้นที่ดอนเหมาะกับการตั้งถิ่นฐานบ้านเมืองแต่สมัยศรีวิชัยลงมา เป็นบริเวณที่ชาวบ้านขุดพบบรรดาเครื่องปั้นดินเผาสมัยราชวงศ์ถังลงมา และลูกปัดสีต่างๆ เช่นเดียวกันกับที่พบที่แหลมโพธิ์ นับเป็นแหล่งชุมชนบ้านเมืองเรื่อยมาจนถึงสมัยอยุธยาและกรุงเทพฯ จนกลายเป็นที่ตั้งของเมืองไชยา ซึ่งมีขุนนางที่แต่งตั้งจากเมืองหลวงให้มาเป็นเจ้าเมือง อาจกล่าวได้ว่าบริเวณนี้คือเมืองไชยาเก่าที่ตั้งอยู่ใกล้กับทะเล เช่น เมืองเก่าแต่สมัยอยุธยาลงมาในภาคใต้ทั้งหลาย เพราะอาศัยเส้นทางทะเลในการติดต่อกับบ้านเมืองอื่น
ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ ๕ เมื่อมีการตัดทางรถไฟมายังภาคใต้ จึงขยายตัวเมืองและย้ายย่านตลาดมาอยู่ใกล้ทางรถไฟบริเวณสถานีไชยาแทน การขยายตัวของเมืองริมทะเลที่ไชยานั้น สะท้อนให้เห็นจากชีวิตของท่านพุทธทาสภิกขุ ผู้เกิดในตระกูลพ่อค้าคนจีนที่ย่านตลาดพุมเรียง ได้ศึกษาเล่าเรียนและบวชที่วัดพุมเรียงอันเป็นเมืองไชยาเก่า ปัจจุบันคนทั่วไปแทบไม่รู้เรื่องเมืองไชยาเก่า แต่รู้จักเมืองไชยาที่เกิดจากการโยกย้ายและเปลี่ยนแปลงจากเมืองเก่าที่พุมเรียงมาเป็นเมืองไชยาริมทางรถไฟ
เมืองเก่าที่พุมเรียงเหลืออยู่ในสภาพเป็นย่านตลาดที่มีความเด่นในการเป็นที่อยู่อาศัยและตลาดที่ผลิตผ้าไหมที่มีชื่อเสียงของกลุ่มคนมุสลิม เพราะกลุ่มชาติพันธุ์อื่นเช่นไทยและจีน รวมถึงคนรุ่นใหม่ส่วนใหญ่ต่างโยกย้ายออกไปอยู่ที่ตลาดไชยาริมทางรถไฟ หรือย้ายไปยังเมืองต่างๆ แต่คนมุสลิมอยู่ติดที่ จึงมีการขยายตัวของชุมชนและมัสยิดเพิ่มขึ้นอย่างเป็นปึกแผ่น ซึ่งพอจะพูดได้ว่าคนกลุ่มใหญ่ของย่านตลาดพุมเรียงในเวลานี้คือคนมุสลิม
อย่างไรก็ตาม เมืองไชยา หาได้หยุดเพียงจากพุมเรียงมาอยู่ใกล้ทางรถไฟที่สถานีไชยาเท่านั้น หากพบร่องรอยเมืองโบราณเก่าแก่กว่าเมื่อข้ามทางรถไฟไปทางตะวันตก อันเป็นพื้นที่ราบลงมาจากเทือกเขาตะนาวศรีที่กั้นระหว่างฝั่งทะเลอันดามันทางตะวันตกกับฝั่งทะเลอ่าวไทยทางตะวันออกบริเวณอ่าวบ้านดอน เป็นแหล่งชุมชนโบราณบนสันทรายเก่า มีศาสนสถานเก่าแก่แต่สมัยทวารวดี-ศรีวิชัย มีการขุดแต่งและบูรณะ ๔ แห่ง คือที่วัดแก้ว วัดหลง วัดเวียง และวัดพระบรมธาตุไชยา
ศาสนสถานที่วัดแก้ว วัดหลง และวัดพระบรมธาตุไชยา มีรูปทรงเป็นปราสาทที่ประดิษฐานรูปเคารพทั้งในพุทธศาสนามหายานและฮินดู หาใช่เป็นแบบพระสถูปที่บรรจุพระบรมธาตุไม่ บรรดาศิลปะและรูปแบบของพระพุทธรูปและเทวรูปที่พบในบริเวณนั้น ส่วนใหญ่เป็นแบบที่เรียกว่า ศรีวิชัย โดยบรรดาเทวรูปพระโพธิสัตว์และพระพิมพ์ที่เทียบอายุได้แต่พุทธศตวรรษที่ ๑๓-๑๔ ลงมา และยิ่งเมื่อนำศิลาจารึกที่มีพระนามพระเจ้ากรุงศรีวิชัยมาเชื่อมโยงก็เกิดความคิดเห็นและความเชื่อว่าเมืองโบราณแห่งนี้คือ เมืองศรีวิชัย และเชื่ออีกว่าเป็นเมืองศูนย์กลางของอาณาจักร จึงเกิดวาทกรรมถึงเรื่องศรีวิชัยอยู่ที่ไชยาหรือปาเล็มบังขึ้นในบรรดานักโบราณคดีและประวัติศาสตร์ตามที่กล่าวมาข้างต้น
นอกจากนี้ยังมีสิ่งที่เพิ่มความสำคัญของเมืองไชยาขึ้นไปอีกก็คือ เมื่อมีการตั้งชื่อพระบรมธาตุอันเป็นศาสนสถานโบราณเหมือนกับวัดแก้วและวัดหลงว่า พระบรมธาตุไชยา ซึ่งหมายถึงพระเจดีย์บรมธาตุแห่งเมืองไชยา เลยทำให้คนทั่วไปเข้าใจผิดว่าเมืองไชยาที่วัดพระบรมธาตุ คือเมืองไชยาเก่ามาแต่โบราณ
เพราะในการศึกษาและวิเคราะห์หลักฐานทางโบราณคดีในมิติทางภูมิวัฒนธรรม (cultural landscape) ของอาจารย์ศรีศักรถือว่า
เมืองโบราณบนสันทรายเก่าที่มีปราสาทสมัยศรีวิชัยตั้งอยู่นั้น ไม่ได้เรียกชื่อเป็นเมืองไชยา อีกทั้งเมืองนี้ก็หาใช่เมืองชื่อศรีวิชัยไม่ เพราะศรีวิชัยเป็นชื่อทั้งแว่นแคว้นและพระมหากษัตริย์ผู้เป็นประมุขของแคว้น เช่นเดียวกันกับคำว่าทวารวดี
เมืองโบราณแห่งนี้ไม่ได้ตั้งอยู่ทางฝั่งทะเลที่พุมเรียง แต่อยู่ห่างจากปากคลองพุมเรียงเข้ามาภายในทางตะวันตกกว่า ๖ กิโลเมตร อยู่ในบริเวณที่เป็นที่ราบลุ่มน้ำลำคลอง ซึ่งใช้ลำน้ำเป็นเส้นทางคมนาคม ตำแหน่งของเมืองอยู่ทางเหนือของอ่าวบ้านดอน ที่ติดกับพื้นที่ที่เป็นท้องทุ่งและป่าเขาของอำเภอท่าชนะ เป็นตำแหน่งที่อยู่ระหว่างลำน้ำหลายสายที่ไหลลงจากเทือกเขาทางตะวันตก แตกออกเป็นแพรก ไหลผ่านบริเวณเมือง ก่อนจะไหลไปออกทะเลที่พุมเรียง โดยปากน้ำอยู่ที่ปากคลองไชยาและปากคลองท่าปูน พบร่องรอยของโบราณสถาน โบราณวัตถุ ที่ท่านพุทธทาสบันทึกไว้ในหนังสือ แนวสังเขปของโบราณคดีรอบอ่าวบ้านดอน ท่านได้ถ่ายภาพและรวบรวมโบราณวัตถุหลายยุคหลายสมัย ตั้งแต่สมัยทวารวดีอันเป็นสมัยศรีวิชัยตอนต้นมาจนถึงสมัยศรีวิชัยตอนปลาย
: เมืองไชยาโบราณที่สันทรายเก่าคือเมืองท่าภายใน
ในบันทึกที่ท่านพุทธทาสกล่าวว่า ลำคลองท่าโพธิ์ที่ไหลผ่านบริเวณย่านใหม่ของเมืองไชยาที่อยู่สองข้างทางรถไฟนั้น เมื่อ ๕๐ ปีก่อนเคยเป็นคลองกว้างที่เรือเดินทะเลเข้าไปถึง และตามลำคลองนี้มีการพบชิ้นส่วนเทวรูปพระนารายณ์ถือตะบองและสังข์เหนือสะโพก ซึ่งนำมาเก็บไว้ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ไชยา ในปัจจุบัน
เทวรูปพระนารายณ์ถือสังข์เหนือสะโพกนี้ เป็นของเก่าแก่ในราวพุทธศตวรรษที่ ๙-๑๐ ซึ่งเก่าแก่กว่าสมัยทวารวดีและศรีวิชัย
เพราะฉะนั้นจากการเป็นพื้นที่ลุ่มน้ำลำคลองที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงมากเท่าใด ยกเว้นการตื้นเขินของลำน้ำในปัจจุบัน เมืองโบราณบนสันทรายสมัยทวารวดี-ศรีวิชัยนั้น คือเมืองท่าที่เป็นนครรัฐ ซึ่งมักจะอยู่ห่างจากทะเลเข้ามาภายใน เช่น บรรดาเมืองท่าทั้งหลายในสมัยโบราณ และเรือทะเลที่จะเข้ามาถึงก็คงไม่ใช่สำเภาขนาดใหญ่ หากเป็นบรรดาเรือขนาดเล็กที่เดินทางตามชายฝั่งและสามารถเข้าไปตามลำน้ำใหญ่ถึงบ้านเมืองที่อยู่ภายในที่ราบลุ่มน้ำลำคลองได้
ปัจจุบันมีการพบซากเรือดังกล่าวหลายแห่งทางภาคใต้ เช่น ที่คลองท่อมและอ่าวบ้านดอน ที่ข้าพเจ้าได้เห็นมามี ๒ แห่ง คือที่เมืองเวียงสระแห่งหนึ่ง และที่ก้นลากูนในเขตตำบลทุ่ง อำเภอไชยา เป็นเรือขนาดยาว ๑๕ เมตร และกว้าง ๓.๕๐ เมตร ที่มีรูเจาะและใช้เดือยไม้แทนตะปูเพื่อการยึดโยงองค์ประกอบของเรือ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าบรรดาเรือเดินทะเลเหล่านี้จะไม่ใช้เหล็กหรือตะปูตอกยึดส่วนประกอบแต่อย่างใด
เรือดังกล่าวทำด้วยไม้ตะเคียนและใช้เชือกที่ทำจากใยมะพร้าวเหมือนกับเชือกมะนิลาในการผูกติด เรือที่พบที่ก้นลากูนที่ตำบลทุ่งอยู่ในสภาพดีกว่าที่เวียงสระซึ่งอยู่ในสระน้ำ ที่สำคัญคือเมื่อพบยังมีชิ้นส่วนของเครื่องปั้นดินเผาสมัยราชวงศ์ถัง ๒-๓ ชิ้นภายในเรือ เป็นเครื่องยืนยันอายุของเรือในสมัยพุทธศตวรรษที่ ๑๓-๑๔ อันนับเนื่องในสมัยศรีวิชัยยุครุ่งเรืองที่มีการค้าขายกับจีน
จากการศึกษาทางภูมิวัฒนธรรม เรือลำนี้พบในพื้นที่ไม่ไกลจากฝั่งทะเล ซึ่งอยู่ทางด้านตะวันออก เพราะมีแนวสันทรายขวางกั้น แต่พบในพื้นที่เป็นเวิ้งน้ำเก่าของลากูนที่ปากน้ำออกทะเลไปอยู่ที่ปากคลองพุมเรียง ซึ่งมีแหล่งนำเรือออกขนถ่ายสินค้าอยู่ที่แหลมโพธิ์ และมีชุมชนโบราณอยู่ทางฝั่งเมืองไชยาเก่าตามที่กล่าวมาแล้ว
เพราะฉะนั้นก็คือหนึ่งในเรือที่เกี่ยวกับแหล่งโบราณคดีทั้งสอง โดยเข้าไปจากทางปากคลองใหญ่พุมเรียง หรืออีกนัยหนึ่งตรงปากลากูนแล้วเข้าไปจนถึงก้นลากูนในเขตตำบลทุ่ง ส่วนเรือลำที่พบที่เวียงสระเหลือให้เห็นเพียงกระดูกงูและชิ้นส่วนอื่นๆ เล็กน้อย แต่ก็ชี้ให้เห็นว่ามีความยาวราว ๑๕ เมตร และมีการเจาะใส่เดือยไม้แทนตะปูเช่นที่พบที่ไชยา ถึงแม้ว่าจะไม่พบเต็มลำ แต่แสดงให้เห็นว่าเป็นเรือขึ้นล่องตามลำน้ำ จากปากแม่น้ำตาปีเข้ามาเมืองเวียงสระที่อยู่ห่างจากปากแม่น้ำที่อ่าวบ้านดอนราว ๖๒ กิโลเมตร
: เมืองเวียงสระบนเส้นทางข้ามคาบสมุทร
เมืองเวียงสระนับเป็นเมืองท่าภายในบนลำน้ำตาปี แต่ที่อยู่ห่างไกลจากชายทะเลนั้น เพราะก้นอ่าวบ้านดอนจากปากแม่น้ำตาปีอยู่ลึกกว่าเมืองไชยาที่อยู่ตอนเหนือของอ่าวบ้านดอน ซึ่งบริเวณชายฝั่งทะเลเป็นสันทรายและเนินทราย มีแต่ลำน้ำสายเล็กๆ ไม่เป็นลำน้ำใหญ่ เช่น ลำน้ำพุนพินและลำน้ำตาปี ก้นอ่าวของลำน้ำตาปีกินลึกมาจนถึงตำบลบ้านท่าสะท้อน อำเภอพุนพิน ที่เริ่มแลเห็นร่องรอยของชุมชนริมฝั่งน้ำไปจนเขตอำเภอบ้านนาสาร เวียงสระ พระแสง จังหวัดสุราษฎร์ธานี กับอำเภอฉวาง จังหวัดนครศรีธรรมราช อันเป็นชุมทางของบรรดาลำน้ำที่เป็นต้นแม่น้ำตาปี
ลำน้ำตาปีจากอำเภอพระแสงที่ไหลลงไปถึงอำเภอฉวาง คนท้องถิ่นเรียกว่า ลำน้ำฉวาง หรือคลองฉวาง เป็นเส้นทางตามลำน้ำที่คนเมืองสุราษฎร์ธานีเดินทางล่องตามลำน้ำไปไหว้พระบรมธาตุเมืองนครศรีธรรมราช นั่นคือเมื่อเดินทางตามแม่น้ำมาถึงอำเภอฉวาง ก็แยกจากแม่น้ำเข้าคลองมินและคลองจันดี ที่มีต้นน้ำอยู่ที่น้ำตกท่าแพของเทือกเขาหลวง แล้วเดินทางจากบ้านคลองจันดีข้ามผ่านช่องเขามาลงลำน้ำที่ไหลมายังอำเภอลานสกา เข้าสู่นครศรีธรรมราช
เส้นทางข้ามช่องเขาหลวงจากคลองจันดีมายังนครศรีธรรมราชนี้ นับเนื่องเป็นเส้นทางข้ามคาบสมุทรเก่าแก่และร่วมสมัยกับเส้นทางจากตะกั่วป่าผ่านช่องเขาสกมาลงแม่น้ำพุมดวงหรือแม่น้ำคีรีรัฐมายังชุมชนที่เขาศรีวิชัย เส้นทางข้ามคาบสมุทรเส้นนี้คือสิ่งที่ ดร. ควอริตช์ เวลส์ และท่านพุทธทาสภิกขุ เชื่อว่าเป็นเส้นทางการค้าที่สนับสนุนความเป็นศูนย์กลางอาณาจักรของศรีวิชัย
เมืองเวียงสระคือเมืองท่าภายในบนแม่น้ำตาปี ที่อยู่ห่างฝั่งทะเลอ่าวบ้านดอน แต่เป็นเมืองที่อยู่บนเส้นทางคมนาคมที่สัมพันธ์กับเส้นทางข้ามคาบสมุทร เช่นเดียวกันกับเมืองที่อยู่บนลำน้ำพุมดวงหรือแม่น้ำคีรีรัฐที่อยู่ในบริเวณควนสราญรมย์และเขาศรีวิชัย
ตำแหน่งเมืองดังกล่าว ล้วนมีลำน้ำที่เรือเดินทะเลขนาดเล็กตามชายฝั่งเข้ามาถึงได้ ดังเห็นได้จากที่เวียงสระ แต่เมืองไชยาไม่ได้อยู่ลึกเข้ามาตามลำแม่น้ำ นอกจากลำคลองเช่นคลองท่าโพธิ์และคลองท่าปูน ซึ่งมีเรือชายฝั่งทะเลเข้าไปถึงได้ เป็นบ้านเมืองที่ตั้งอยู่บนแนวสันทรายเก่าของอ่าวบ้านดอนตอนบนที่อยู่ใกล้กับทะเล และหาได้อยู่บนเส้นทางข้ามคาบสมุทร
หากเป็นบริเวณเมืองที่สัมพันธ์กับบรรดาชุมชนชายทะเลบนแนวสันทรายใกล้ทะเลในเขตตำบลคันธุลี อำเภอท่าชนะ จังหวัดสุราษฎร์ธานี อำเภอละแมและอำเภอหลังสวน จังหวัดชุมพร ซึ่งบรรดาชุมชนเมืองท่าเหล่านี้มีเส้นทางข้ามคาบสมุทรที่อยู่เหนืออ่าวบ้านดอนขึ้นไปตามช่องเขา ตั้งแต่อำเภอท่าชนะ จังหวัดสุราษฎร์ธานี และอำเภอหลังสวน สวี และท่าแซะในเขตจังหวัดชุมพร เส้นทางข้ามคาบสมุทรเหล่านี้อยู่คนละช่วงสมัยเวลากับสมัยทวารวดี-ศรีวิชัยที่อ่าวบ้านดอนทั้งสิ้น และเป็นเส้นทางขนถ่ายสินค้ามาก่อนการเดินทางจากฝั่งทะเลอันดามันอ้อมแหลมมะละกามายังอ่าวไทย ซึ่งข้าพเจ้าวิเคราะห์ว่าเป็นเส้นทางแต่สมัยสุวรรณภูมิ ราวพุทธศตวรรษที่ ๓ ลงมา จนถึงสมัยฟูนันในพุทธศตวรรษที่ ๙-๑๐
ในขณะที่เส้นทางข้ามคาบสมุทรของอ่าวบ้านดอนอยู่ในสมัยพุทธศตวรรษที่ ๑๒ ลงมา อันเป็นสมัยทวารวดี-ศรีวิชัย ที่มีการเดินทางอ้อมแหลมมะละกา ทำให้เกิดรัฐที่เป็นพ่อค้าคนกลางที่เรียกว่า สหพันธรัฐศรีวิชัย และที่อ่าวบ้านดอนเมืองไชยาก็คือรัฐหนึ่งในสหพันธรัฐที่เรียกว่ามัณฑละตามที่กล่าวมาแล้ว เป็นรัฐที่มีเมืองใหญ่และเมืองน้อยอยู่ในบริเวณรอบอ่าวบ้านดอน
: แหลมโพธิ์ เขาศรีวิชัย ควนสราญรมย์ ถ้ำคูหา ชุมชนศรีวิชัยรอบอ่าวบ้านดอน
ชุมชนเมืองที่อยู่ใกล้กับเมืองโบราณสมัยทวารวดี-ศรีวิชัย บนสันทรายเก่าก็คือ แหลมโพธิ์ อันเป็นแหล่งท่าจอดเรือและขนถ่ายสินค้าต่ำจากไชยาลงไปทางใต้ที่อยู่บริเวณอ่าวบ้านดอนตอนกลาง ที่มีแม่น้ำใหญ่ ๒ สายมาออกทะเล คือแม่น้ำพุมดวงหรือแม่น้ำคีรีรัฐ กับแม่น้ำหลวงหรือแม่น้ำตาปี ที่ลำคลองพุนพินมีเมืองอยู่ที่เขาศรีวิชัย อันเป็นแหล่งศาสนสถานฮินดู-พุทธ ที่มีอายุแต่สมัยทวารวดีลงมาจนถึงสมัยศรีวิชัย เป็นบริเวณที่เรือสินค้าเข้ามา เป็นแหล่งที่พบลูกปัดและสินค้าที่มาจากเมืองชายทะเลฝั่งอันดามันที่เกาะคอเขา อำเภอตะกั่วป่า นับเป็นเส้นทางข้ามคาบสมุทรสำคัญที่กล่าวมาแล้ว
เมืองที่เขาศรีวิชัยนี้ ดูคล้ายกันกับเมืองที่แหลมโพธิ์ปากคลองพุมเรียง แต่เมืองใหญ่และสำคัญไปอยู่ที่ควนสราญรมย์ ตำบลท่าข้าม อำเภอพุนพิน เป็นแหล่งที่พบศาสนสถานสมัยศรีวิชัย เมื่อขุดแต่งแล้วพบพระพิมพ์ดินเผาและพระพิมพ์ดินดิบมากมายหลายรูปแบบ ที่เป็นการผสมผสานของศิลปะแบบทวารวดีที่นครปฐมและเมืองโบราณสมัยทวารวดีในภาคกลางกับศิลปะชวา กลายเป็นศิลปะที่เรียกว่า ศรีวิชัย มีอายุราวพุทธศตวรรษที่ ๑๓-๑๔ ลงมา
ที่ว่าแหล่งชุมชนเมืองที่ควนสราญรมย์เป็นเมืองใหญ่ ก็เพราะมีบริเวณพื้นที่กว้างใหญ่กว่า อันเป็นบริเวณที่ลำน้ำพุนพินมาสบกับลำแม่น้ำตาปี ก่อนจะแยกกันไปลงอ่าวบ้านดอน ลำน้ำพุมดวงหรือลำน้ำคีรีรัฐไหลจากเขาสกผ่านที่สูงมาออกอ่าวบ้านดอน แต่ลำน้ำตาปีไหลมาจากเทือกเขาหลวงนครศรีธรรมราช ซึ่งอยู่ทางใต้ ไหลผ่านพื้นที่ลุ่มน้ำที่เป็นก้นอ่าวบ้านดอน ซึ่งแยกออกเป็นแพรกหลายลำน้ำลงสู่อ่าว บริเวณดังกล่าวเคยเป็นที่ต่ำ เพิ่งมาดอนขึ้นทีหลัง รวมทั้งตัวเมืองสุราษฎร์ธานีในปัจจุบันด้วย จึงไม่พบร่องรอยของบรรดาชุมชนโบราณตามลำน้ำ จนกระทั่งบริเวณตำบลท่าสะท้อนจึงเริ่มพบแหล่งชุมชนเก่า
จากตำบลท่าสะท้อนผ่านอำเภอบ้านนาสารลงไปถึงอำเภอเวียงสระและพระแสง ซึ่งเมืองเวียงสระก็คือเมืองใหญ่ที่เป็นเมืองท่าภายในซึ่งติดต่อไปยังเมืองนครศรีธรรมราช ถัดจากบริเวณตอนกลางของอ่าวบ้านดอนของแม่น้ำพุนพินและแม่น้ำตาปี เป็นบริเวณตอนใต้ของอ่าวบ้านดอนที่เป็นที่สูงและภูเขา มีลำน้ำสำคัญอยู่ที่แม่น้ำท่าทองในเขตอำเภอกาญจนดิษฐ์ เป็นลำน้ำที่ไม่ยาวเหมือนลำน้ำตาปี ยังไม่พบร่องรอยแหล่งโบราณคดีที่พอจะเห็นว่าเป็นเมืองได้
มีโบราณสถานแห่งเดียวที่สำคัญอยู่ที่ถ้ำคูหา ซึ่งเป็นถ้ำวิหารสมัยศรีวิชัย มีการเอาดินเหนียวหรือดินดิบมาตกแต่งเป็นภาพเมืองและวัดที่มีพระสถูปเจดีย์ พระพุทธรูป ประดับไว้ที่ผนังถ้ำ
ความโดดเด่นอยู่ที่พระพุทธรูปประทับนั่งบนเก้าอี้แบบพระทวารวดีที่นครปฐม แต่พระพักตร์และรูปแบบทางศิลปกรรมกระเดียดไปทางศิลปะจามเช่นที่ชายฝั่งทะเลเวียดนามตอนกลาง ซึ่งลักษณะดังกล่าวก็เหมือนกับที่พบที่ปราสาทวัดแก้ว เมืองโบราณบนสันทรายที่ไชยา ซึ่งมีอิทธิพลศิลปะสถาปัตยกรรมจามสมัยจาเกี้ยว ที่มีอายุร่วมสมัยกับศรีวิชัย
สิ่งดังกล่าวคงสะท้อนให้เห็นว่า บนเส้นทางการค้าทางทะเลของบ้านเมืองรอบอ่าวบ้านดอน มีการเคลื่อนไหวของกลุ่มชาติพันธุ์ที่เป็นพ่อค้านานาชาติ ซึ่งพ่อค้าจามเป็นส่วนหนึ่ง
อาณาบริเวณตอนเหนือของอ่าวบ้านดอน ถัดจากอำเภอกาญจนดิษฐ์เป็นอำเภอดอนสัก จังหวัดสุราษฎร์ธานี และอำเภอขนอม จังหวัดนครศรีธรรมราช ไม่พบแหล่งบ้านเมืองและแหล่งโบราณคดีสมัยศรีวิชัย เพราะเป็นที่สูง มีชายทะเลเว้าแหว่งเป็นโขดสูง ซึ่งมีบ้านเมืองเกิดขึ้นราวพุทธศตวรรษที่ ๒๐ ลงมา
แต่ตรงสุดเขตของอ่าวบ้านดอน ชายฝั่งทะเลหักวกลงใต้ในเขตอำเภอขนอมที่เป็นจุดเริ่มต้นของชายฝั่งทะเลที่เป็นแนวตรง ขนานกับแนวสันทรายที่ทอดยาวผ่านอำเภอสิชล ท่าศาลา เมืองนครศรีธรรมราช ปากพนัง ลงไปจนถึงอำเภอชะอวด
ในการศึกษาและสำรวจแหล่งโบราณคดีตามแนวสันทราย ที่เริ่มแต่อำเภอขนอม สิชล ท่าศาลา ไปจนถึงนครศรีธรรมราชนั้น พบว่าส่วนใหญ่เป็นของในลัทธิศาสนาฮินดู ที่มีอายุแต่พุทธศตวรรษที่ ๑๒ ลงมา โดยมีแหล่งศาสนสถานและศาสนวัตถุที่เป็นพุทธมหายานบ้างเล็กน้อย ก่อนที่จะมีการเปลี่ยนแปลงเป็นพุทธศาสนาเถรวาทลังกาวงศ์ ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๘ ลงมา บ้านเมืองโบราณเก่าๆ ที่พบบนแนวสันทรายเหล่านี้ นับเป็นเขตพื้นที่ทางวัฒนธรรมที่แตกต่างไปจากบ้านเมืองรอบอ่าวบ้านดอน เป็นบ้านเมืองและพื้นที่ซึ่งมีชื่อเป็นภาษาสันสกฤตในจารึกและเอกสารโบราณว่า ‘ตามพรลิงค์’ เรียกว่าเป็นชื่อของนครรัฐที่อยู่เรื่อยมาจนพุทธศตวรรษที่ ๒๐ โดยมีเมืองสำคัญอยู่ที่เมืองพระเวียง
ตามพรลิงค์ หรือนครศรีธรรมราช มีการติดต่อกับลังกาและรับพุทธศาสนาเถรวาทลังกาวงศ์เข้ามา ทำให้เกิดการสร้างพุทธสถาปัตยกรรมและปฏิมากรรมแบบใหม่เข้ามาแทนที่รูปแบบศาสนสถานและรูปเคารพเดิมที่มีทั้งฮินดูและพุทธมหายานแต่ครั้งสมัยศรีวิชัย อันได้แก่ พระสถูปทรงกลมตั้งอยู่บนฐานทักษิณ มีพระสถูปเล็กๆ ประดับ ๔ ทิศ และพระหินทรายแดงนั่งและยืนที่แพร่หลายทั่วไปในภาคใต้และกินไปถึงภาคกลาง เป็นพุทธศิลป์ที่นับเนื่องในศิลปะแบบอู่ทอง
: เมืองไชยาที่สันทรายเก่า
จากการสำรวจหลักฐานทางโบราณคดีที่บันทึกไว้ในหนังสือ แนวสังเขปของโบราณคดีรอบอ่าวบ้านดอน ของท่านพุทธทาสภิกขุ พบว่าตำแหน่งของเมืองตั้งอยู่บนแนวสันทรายที่มีวัดเวียงอยู่ตอนเหนือ ต่ำลงมาทางใต้เป็นวัดหลงและวัดแก้ว มีลำคลองไชยาจากวัดพระบรมธาตุไชยาไหลลงมาตัดผ่านสันทราย ทำหน้าที่เป็นคลองเมืองหรือคูเมืองด้านใต้และไหลไปทางตะวันออก ความยาวของเมืองราว ๕๐๐ เมตร กว้าง ๔๒๐ เมตร จากตะวันตกไปตะวันออก โดยมีวัดหลงอยู่ภายในเมือง และวัดแก้วต่ำลงมาอยู่นอกเมือง
แต่แนวสันทรายที่เป็นพื้นที่ตั้งชุมชนที่อยู่อาศัยตลอดแนวเหนือ-ใต้ ตั้งแต่บริเวณวัดเวียงทางเหนือลงไปทางใต้คือเขาน้ำร้อนซึ่งเป็นเขาลูกโดดสูงประมาณ ๓๐ เมตร มีความยาว ๒.๓๗ กิโลเมตร ทั้งหมดนี้นับเนื่องเป็นเมือง (นครา) โดยมีปุระ (citadel) อยู่ที่วัดเวียงและวัดหลง
การกำหนดพื้นที่เช่นนี้ เป็นลักษณะของความเป็นบ้านเมืองแต่โบราณ ทั้งในอินเดียและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งประกอบด้วย “นคร” และ “ปุระ” นครคือพื้นที่ทั้งหมดที่คนทั่วไปอยู่อาศัย เมืองหรือนครนั้นบางแห่งมีแนวคูน้ำคันดินล้อมรอบ แต่บางแห่งก็ไม่มี อาจทำอย่างหลวมๆ โดยใช้แนวไม้ระเนียดโอบล้อมเพื่อการป้องกัน แต่ปุระทุกแห่งต้องมีคูน้ำและคันดินเป็นกำแพงล้อมรอบ เพราะเป็นที่รวมถึงพระราชวังหรือจวนเจ้าเมือง และสถานที่อาคารในการบริหารปกครอง ท้องพระคลังและคลังสินค้า กองทหาร เป็นต้น รวมทั้งวัดสำคัญๆ ด้วย
ปุระหรือเวียง เป็นตำแหน่งสำคัญของเมืองหรือนคร เมืองโบราณในภาคใต้ แทบไม่พบร่องรอยคูน้ำคันดินรอบเมือง ยกเว้นที่ชัดเจนคือที่ เมืองพระเวียงและนครศรีธรรมราช รวมทั้งเมืองรุ่นหลังๆ ในสมัยอยุธยา เช่นสงขลาและไชยบุรีของพัทลุง แต่มักพบปุระหรือเวียงแทน เช่นที่เมืองสทิงพระ เมืองประแวที่ปัตตานี
ที่ไชยาก็เช่นกัน ข้าพเจ้าสันนิษฐานว่า ความเป็นนครต้องกำหนดพื้นที่บนสันทรายทั้งหมด ตั้งแต่วัดเวียงลงไปถึงเขาน้ำร้อน โดยมีปุระอยู่ที่วัดเวียงและวัดหลง เรื่องการกำหนดพื้นที่ถิ่นฐานบ้านเมืองโบราณแห่งนี้ ท่านพุทธทาสภิกขุเป็นผู้ศึกษาที่มีความชัดเจนมากที่สุดจากแหล่งศาสนสถานทางโบราณคดี ที่ได้บันทึกไว้ในหนังสือแนวสังเขปของโบราณคดีรอบอ่าวบ้านดอน
โดยเฉพาะการกล่าวถึงเขาน้ำร้อน โบราณสถานและโบราณวัตถุที่พบบนเขาและบริเวณโดยรอบ รวมถึงบรรดาวัดสำคัญที่พบโบราณวัตถุตั้งแต่สมัยทวารวดี-ศรีวิชัย บนแนวสันทรายจากเขาน้ำร้อน ผ่านวัดนบและวัดอื่นๆ ไปจนถึงวัดแก้ว วัดหลง และวัดเวียง รวมทั้งวัดพระบรมธาตุไชยาที่อยู่กลางทุ่งนอกแนวสันทรายไปทางตะวันตก ห่างจากวัดเวียงราว ๗๘๐ เมตร ตั้งอยู่ริมคลองไชยาที่ไหลผ่านวัดไปยังสันทราย ทำหน้าที่เป็นคูเมืองพระเวียงก่อนไหลลงสู่ที่ลุ่มทางตะวันออก
บริเวณภายในปุระที่เป็นเวียงมีวัดสำคัญแห่งเดียวคือ วัดหลง แต่ที่วัดเวียงหาใช่วัดไม่ น่าจะเป็นบริเวณพระราชวังและที่ทำการบริหารปกครองบ้านเมือง ที่มีการถวายวังเป็นวัด ทำให้เกิดมีวิหารที่นำเอาพระพุทธรูป เทวรูป และโบราณวัตถุทางศาสนาเก่าๆ หลายยุคสมัยที่พบที่เมืองโบราณและบริเวณโดยรอบมาประดิษฐานไว้เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์
ในการศึกษารูปแบบและสมัยเวลาของบรรดาโบราณวัตถุที่พบทั้งที่วัดเวียงและข้าวของที่ท่านพุทธทาสรวบรวมไว้ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ไชยา สามารถกำหนดสมัยเวลาทางวัฒนธรรมของเมืองไชยาโบราณแห่งนี้ได้ดังนี้
สมัยแรก ที่เรียกว่าสมัยก่อนประวัติศาสตร์ มีโบราณวัตถุ เช่น เครื่องมือหินและเศษเครื่องปั้นดินเผาที่เป็นหม้อไห ใช้ในการหุงต้มและอุทิศแก่ศพนั้น เป็นสิ่งที่กำหนดอายุชัดเจนไม่ได้ เพียงแต่ประมาณได้ว่าตั้งแต่ ๕๐๐ ปีก่อนคริสตกาล หรือพุทธศตวรรษที่ ๑-๒ ขึ้นไป
สมัยที่ ๒ ราวพุทธศตวรรษที่ ๙-๑๑ เห็นได้จากเทวรูปพระนารายณ์สวมหมวกแขก ถือสังข์เหนือสะโพกในศาสนาฮินดู ที่คงได้รับมาจากบ้านเมืองโบราณในเขตนครศรีธรรมราช อาจมาจากอำเภอสิชลหรือท่าศาลา อันเป็นบ้านเมืองที่นับถือศาสนาฮินดู สมัยเวลาดังกล่าวนี้นับเนื่องเป็นสมัยฟูนัน
สมัยที่ ๓ คือสมัยทวารวดี-ศรีวิชัย แต่พุทธศตวรรษที่ ๑๒ ลงมาจนถึงพุทธศตวรรษที่ ๑๗ ด้วยเหตุนี้ในพื้นที่เมืองไชยาและแหล่งโบราณคดีรอบอ่าวบ้านดอน พบโบราณสถานวัตถุที่เป็นพระพุทธรูปและพระพิมพ์แบบทวารวดีผสมผสานกันอยู่ ทั้งพุทธศาสนาเถรวาทและมหายานปะปนกัน และมีพัฒนาการร่วมกันมาจนสมัยพุทธศตวรรษที่ ๑๘ อันเป็นเวลาที่มีการเปลี่ยนแปลงของบ้านเมืองในด้านเศรษฐกิจ การเมือง และการหันมานับถือพุทธศาสนาเถรวาทลังกาวงศ์ ที่ได้รับอิทธิพลมาจากกรุงโปโลนนารุวะของลังกา
การเปลี่ยนแปลงของเมืองและศาสนานั้น แลเห็นได้จากวัดเวียงที่อาจารย์ศรีศักรเสนอว่าเป็นบริเวณพระราชวังในตัวเวียงของเมืองโบราณบนสันทราย บริเวณวังกลายเป็นวัด มีซากวิหารหรือโบสถ์ที่มีการนำพระพุทธรูป เทวรูป และรูปเคารพของเมืองที่มีมาแต่เดิมมาประดิษฐานไว้
ในยุคนี้การสร้างเทวรูปพระโพธิสัตว์และพระพิมพ์ค่อยๆ หมดไป มีการสร้างพระพุทธรูปนั่งแบบเถรวาทด้วยหินทรายแดงขึ้นมาแทน รวมทั้งแปลงศาสนสถานที่เป็นปราสาทสมัยศรีวิชัย เช่น วัดแก้วและวัดหลง ให้เป็นวัดในพุทธศาสนาเถรวาท เช่น การสร้างช่องคูหาแต่ละทิศของปราสาทวัดแก้วให้เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปหินทรายแดง รวมทั้งการซ่อมแซมเครื่องบนช่องปราสาทวัดแก้วด้วยหินทรายแดง และมีการสร้างวัดวาอารามตามถ้ำและภูเขาทางด้านตะวันตกที่มีหินทรายแดงหลายแห่ง เช่นที่เขานางเอและเขาสายสมอ เป็นต้น
แต่ศาสนสถานสำคัญที่สุดในสมัยการเปลี่ยนแปลงเป็นพุทธศาสนาเถรวาทลังกาวงศ์ที่ไชยาก็คือ “วัดพระบรมธาตุไชยา” ที่รูปแบบของพระสถูปอันเป็นที่บรรจุพระบรมธาตุเลียนแบบทรงปราสาทสมัยศรีวิชัย มีซุ้มทิศที่ประดิษฐานพระพุทธรูป มีโบสถ์และวิหารโถงขนาดใหญ่ที่ประดิษฐานพระพุทธรูปหินทรายแดง และที่ระเบียงคดรอบพระอุโบสถก็เป็นที่รวมของพระพุทธรูปหินทรายแดงในช่วงเวลาต่างๆ แต่พุทธศตวรรษที่ ๑๘ ลงมาจนถึงพุทธศตวรรษที่ ๒๑
ภาพสันนิษฐานแนวสันทรายเก่าที่เป็นที่ตั้งเมืองไชยาโบราณ จากวารสารเมืองโบราณ ฉบับเดือนเมษายน-มิถุนายน ๒๕๖๒ ผู้วาดภาพ สุรชัย ฤทธิ์จตุพรชัย
: พระพุทธรูปหินทรายแดงสกุลช่างไชยา
ในบรรดาพระพุทธรูปหินทรายแดงของเมืองไชยาเหล่านี้ มีพระพุทธรูป ๒ องค์ที่อาจารย์ศรีศักรคิดว่าเป็นอัตลักษณ์ของสกุลช่างเมืองไชยา คือพระพุทธรูปหินทรายแดงปางห้ามญาติที่เคยประดิษฐานอยู่ที่ซุ้มหน้าประตูพระอุโบสถ ลักษณะท่าทางการยืนเป็นแบบพระพุทธรูปสมัยทวารวดี แต่นุ่งผ้าแบบศิลปะลพบุรี พระพักตร์แบบทวารวดี และมีรูปใบโพปิดหน้าพระเกตุมาลาแทนรูปพระธยานิพุทธอมิตาภะบนพระเศียรของพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร
พระพุทธรูปองค์ที่ ๒ เป็นพระพุทธรูปสำริดปางมารวิชัย ประทับนั่งเหนือบัลลังก์นาคราช ๗ เศียรที่เป็นศิลปะแบบลพบุรี มีจารึกภาษาขอมระบุ พ.ศ. ๑๗๒๕ เป็นรับสั่งของพระมหากษัตริย์ผู้ปกครองแคว้นในสมัยนั้น ให้เสนาบดีผู้รักษาเมืองครหิสร้างพระพุทธรูปนี้ไว้ให้ผู้คนสักการบูชา จึงทำให้รู้ว่าเมืองไชยาในพุทธศตวรรษที่ ๑๘ อันเป็นสมัยที่มีการนับถือพุทธศาสนาเถรวาทนั้น มีชื่อว่า ครหิ และเมืองครหิก็กลายเป็นเมืองแห่งหนึ่งในแว่นแคว้นที่มีพระราชาธิบดีปกครอง
นักปราชญ์ทางประวัติศาสตร์หลายท่านถกกันว่าพระราชาธิบดีแห่งแคว้นนั้นคือใคร บางท่านบอกว่าอยู่ที่สุมาตรา แต่อาจารย์ศรีศักรฟันธงว่า คือแคว้นตามพรลิงค์ที่มีพระมหากษัตริย์ทรงพระนามว่า จันทรภาณุศรีธรรมราช เป็นผู้ปกครอง
เพราะนอกจากมีอาณาเขตต่อแดนกับอ่าวบ้านดอนจากเขตอำเภอขนอม ผ่านสิชล ท่าศาลา ลงไปจนถึงปากพนังแล้ว ยังมีเมืองที่เป็นศูนย์กลางของรัฐอยู่ที่เมืองพระเวียงในสมัยพุทธศตวรรษที่ ๑๘ ภายใต้การปกครองของราชวงศ์ศรีธรรมโศกราช
: เมืองไชยาคือนครรัฐหนึ่งของสหพันธรัฐศรีวิชัย และศรีวิชัยก็อยู่ที่ไชยา
กล่าวได้ว่าตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๑๒ ลงมา ไชยาเคยเป็นรัฐสำคัญในกลุ่มสหพันธรัฐศรีวิชัย และย้ำอีกครั้งว่า เมืองโบราณบนสันทรายเก่า คือเมืองนครรัฐหนึ่งของศรีวิชัย หรืออีกนัยหนึ่งก็คือศรีวิชัยอยู่ที่ไชยาตามที่ท่านพุทธทาสภิกขุและนักโบราณคดีและประวัติศาสตร์รุ่นของท่านหลายคนเสนอไว้
ความเป็นเมืองศรีวิชัยที่ไชยา คือเมืองที่ในจดหมายเหตุจีนตามบันทึกของหลวงจีนอี้จิงเรียกว่า นครซิลิโฟซิ (Shih-li-Fo-Shih) ซึ่งเป็นคำที่ใกล้เคียงกับคำว่า “ศรีวิชัย” เป็นบ้านเมืองที่นับถือพุทธศาสนาอย่างเป็นปึกแผ่น และเป็นนครที่หลวงจีนอี้จิงและพระภิกษุจีนองค์อื่นๆ ที่จะไปศึกษาพระไตรปิฎกยังอินเดีย มาศึกษาภาษาสันสกฤตก่อน ๑-๒ ปี มีพระภิกษุสงฆ์พำนักถึง ๑,๐๐๐ รูป
บรรดาพระภิกษุจีนเหล่านี้คงอาศัยอยู่ในกุฏิที่สร้างด้วยไม้เป็นกระท่อม การที่พระสงฆ์จีนต้องมาศึกษาภาษาสันสกฤตก่อนไปอินเดียนั้น ย่อมแสดงให้เห็นว่าพระพุทธศาสนาในยุคของหลวงจีนอี้จิงคือ พุทธศาสนาเถรวาท ที่เรียกว่า สรวาสติวาทิน ซึ่งเป็นพุทธศาสนาที่ใช้ภาษาสันสกฤต เป็นสิ่งที่แพร่หลายในบ้านเมืองสมัยทวารวดีในภาคกลาง นับแต่นครปฐม คูบัว ไปจนบ้านเมืองในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และให้ความสำคัญกับพระโพธิสัตว์ เช่น อวโลกิเตศวรและปัทมปาณี หรืออาจกล่าวได้ว่าเป็นพระพุทธศาสนาเถรวาทที่มีพุทธมหายานเข้ามาผสมผสานด้วยแล้ว
เรื่องราวการหาหลักฐานทางโบราณคดีและประวัติศาสตร์มายืนยันความเป็นเมืองศรีวิชัยที่ไชยานี้ ได้เสนอไว้อย่างชัดเจนและดีแล้วในหนังสือแนวสังเขปของโบราณคดีรอบอ่าวบ้านดอน ซึ่งมีบทความกล่าวถึงเส้นทางเรือของหลวงจีนอี้จิง จากจีนผ่านไชยา อ้อมแหลมมลายู ผ่านช่องแคบมะละกาไปออกทะเลอันดามันสู่อินเดีย ซึ่งช่วงเวลานั้นมีการใช้เรือเดินทะเลอย่างเร็วที่เรียกว่า “เรือเปอร์เซีย” แล้ว
เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ทางกรมศิลปากรมีการขุดพบซากเรือโบราณขนาดใหญ่ยาว ๒๕ เมตร กว้าง ๑๐ เมตร ที่มีอายุอยู่ในสมัยศรีวิชัย ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๔-๑๕ ลงมา ที่ใกล้ชายฝั่งทะเลในเขตตำบลพันท้ายนรสิงห์ จังหวัดสมุทรสาคร มีหลักฐานหลายอย่างแสดงให้เห็นว่าเป็นเรืออาหรับหรือเปอร์เซียที่อาจารย์ศรีศักรคิดว่าคือเรือประเภทเดียวกันกับที่หลวงจีนอี้จิงและพระสงฆ์จีนอาศัยเดินทางผ่านอ่าวบ้านดอนมายังอ่าวไทยภาคกลางที่เมืองนครปฐมโบราณหรือนครชัยศรี ซึ่งเป็นเมืองท่าที่เป็นนครรัฐของแคว้นทวารวดี เป็นเมืองที่มีการนับถือพุทธศาสนาร่วมสมัยกับไชยาในยุคนั้น นครปฐมจึงน่าจะเป็นอีกเมืองหนึ่งที่หลวงจีนจากเมืองจีนมาศึกษาภาษาสันสกฤตและพุทธศาสนาก่อนไปอินเดีย
ติดตามบทความ วิดีโอ และรายการต่างๆ เพิ่มเติมได้ที่
.
โฆษณา