12 ส.ค. 2021 เวลา 14:59 • ความคิดเห็น
ในแต่ละวันย่อมมีสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกทุกข์ในจากความผิดหวังที่สั่งสมมาเป็นธรรมดา
เมื่อจะจบวัน หากวันนั้นมีความผิดหวังหรือไม่ได้ตามคาดมากเป็นพิเศษ ก็ทำให้เกิดความทุกข์ในสะสมและอาจแบกนำมันไปรวมต่อในวันต่อไปได้
เช่น วันนี้ทำอาหารออกมาเท่าไหร่ก็ได้รสชาติออกมาไม่เป็นไปตามเป้า ปรับสูตรมาเป็น 10 รอบแล้วก็ยังเหมือนเดิม ความรู้สึกเฟลเหล่านี้ย่อมสั่งสมในจิตใจเราได้โดยไม่รู้ตัวเลย เป็นต้น
แน่นอนแหละ ระหว่างวันเราสามารถค่อย ๆ ระบายความรู้สึกเหล่านี้ออกได้ในขณะที่ทำงานอยู่ แต่เราก็ไม่รู้หรอกว่ายังต้องพบเจอกับความล้มเหลวนี้อีกซักกี่ครั้งถึงจะทำมันให้บรรลุเป้าได้
การกลับมาระบายออกเมื่อจบวันก่อนเข้านอนหรือเมื่อเลิกงานในวันนั้นจึงสำคัญต่อการไม่ให้ความรู้สึกเหล่านี้สั่งสมข้ามวัน และช่วยลดการเก็บมาคิดขณะนอนหลับ
เป็นการตั้งค่าสถานะทางใจในเรื่องนั้น ๆ ให้เหลือศูนย์ (set zero) เพื่อพร้อมสำหรับการเริ่มต้นใหม่ในวันต่อไป แล้วใจจะไม่สะสมไปด้วยสารพิษแห่งความท้อใจว่ายังทำไม่ได้ ยังทำไม่สำเร็จ
ระบายออกโดยการกลับมาที่ตัวเอง ทำความเข้าว่าในวันนี้ที่ยังไม่สำเร็จ ไม่ได้หมายความว่าเราจะล้มเหลวตลอด อย่างน้อยก็รู้ว่าวิธีไหนใช้ไม่ได้ ให้มันเป็น progress ไป เพียงแค่เริ่มใหม่ให้ได้เรื่อย ๆ ด้วยความเชื่อว่าจะสำเร็จได้ซักวัน
เชื่อเพื่อเป็นแรงขับเคลื่อนใจไปหาเป้าหมาย -> ลงมือทำ -> ล้มเหลว -> ล้มเหลว -> ล้มเหลว -> ... -> เกิดการสั่งสมความรู้สึกลบในใจ -> จบวันคลายออกเพื่อตั้งความเชื่อใหม่สำหรับวันข้างหน้า -> แล้วทำต่อเป็นลูป จนกว่าจะสำเร็จ
ทั้งนี้ การระบายออก (release summation of feeling like a failure) จะแตกต่างกับการเคลียร์ความคิดตัวเองในแต่ละวันเล็กน้อย (end task)
ตรงที่แบบแรกจะเป็นการจัดการตัวเองเพื่อการคลายออกของความรู้สึกลบ ลดความเสี่ยงที่ทำให้เราท้อแท้ หมดแรง หมดไฟ
แต่แบบหลังจะเป็นการจัดการตัวเองเพื่อคลายความคิดที่คิดติดวน ลดโอกาสการเสียพลังงานจากการคิดไม่หยุดจนไม่ได้รู้สึกพักจริง ๆ
ซึ่งเป็นล้วนสิ่งสำคัญที่น่าสนใจในการฝึกทำในทุก ๆ วัน
ที่พลาดไม่ได้อีกส่วนหนึ่งคือการโฟกัสไปที่การเรียนรู้ในการพัฒนารูปแบบการลงมือทำ สังเกตว่าเราได้อะไรบ้างจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แล้วจะเอามาพัฒนาปรับใช้อย่างไรหากเกิดขึ้นอีก
ทุกคนล้วนมีด้านที่ยังไม่สมบูรณ์ แต่หลายครั้งเราคาดหวังในตัวเองมากเกินสิ่งที่เกิดขึ้นจริงว่าเรานั้น perfect (ในแบบที่เราคิด)
จงให้ยอมรับในตัวเองกับทุกสิ่งที่เกิดขึ้น และอภัยตัวเองเถิด หากผิดพลาด การโบยตีด้วยใจที่รุณแรงแข็งกระด้างกับตัวเองย่อมไม่ช่วยอะไร แต่กลับทำให้แผลนั้นยิ่งเหวอะมากไปกว่าเดิม
ในที่นี้มิได้หมายความว่าให้เอาตามใจจนสปอยตัวเอง แต่ให้กระทำกับตัวเองด้วยความเมตตา ซึ่งจะแสดงออกมาในรูปแบบจริงจังชัดเจนหรืออ่อนโยนนุ่มนวลก็ได้ หรือตามแต่จะประยุกต์อันเป็นศิลปะ
ดั่ง "วาบิ ซาบิ" ปรัชญาของญี่ปุ่น ที่ว่า "ความไม่สมบูรณ์นั้นล้วนสวยงามในแบบของมัน" เพียงแต่เราจะ(ยอม)สังเกตในแง่มุมนี้หรือไม่เท่านั้นเอง
ท้ายนี้ เห็นใจทุก ๆ คนมากเลยจากสถานการณ์โรคระบาด การเมือง ภัยพิบัติ ข่าว ฯลฯ ที่เกิดขึ้นอีรุงตุงนังมากมาย จึงขอให้ได้รักษาใจของตนเอง ให้ถึงทุกข์ใจมากแค่ไหนก็สามารถมองเห็นทางออกหรือแง่งดงามในชีวิตได้บ้าง ให้เป็นกำลังใจเล็ก ๆ สำหรับการหายใจในทุก ๆ วันนะครับ 😊
โฆษณา